playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา ภาคต่อที่เน้นแอ็กชั่นกระหน่ำ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นนัก

ฝ่านรกเมืองเทวดา

Summary

ภาคต่อซีรีส์ Bangkok Breaking ที่มาในแบบภาพยนตร์เป็นเรื่องราวสั้นๆ เน้นฉากแอ็กชั่นกระหน่ำแทบไม่พัก แต่ก็ไม่ได้มีฉากที่ใหญ่โตหรือโดดเด่น เนื้อเรื่องหลักแทบไม่เดินหน้าไปไหน บอสใหญ่ของเรื่องหลายคนก็ทิ้งไว้แบบเดิม และก็ยังมีบทพูดที่ไม่เป็นธรรมชาติแบบเดียวกับภาคแรกอยู่ ซึ่งทำให้เรื่องก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่ถ้าดูเอาแค่ฉากแอ็กชั่นก็ถือว่าเรื่องพอดูสนุกลากยาวให้จบในสองชั่วโมงได้ไม่หลับครับ 

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • โลกใต้ดินกรุงเทพรวมอาชญากรรมไว้ที่เดียว
  • ฉากแอ็กชั่นเยอะอัดแน่นทั้งเรื่อง
  • ฉากม็อบทำได้สมจริง
  • บทมือปืนของ ดู๋ สัญญา เด่น

 

Cons

  • บทพูดยังไม่เป็นธรรมชาติ
  • เนื้อเรื่องบอสไม่ลึก
  • มีฉากการตัดสินใจแปลกๆ ไม่สมเหตุผล
  • นางเอกบทน่ารำคาญ
  • ตัวร้ายดูพื้นๆ ทั่วไป

 

 

Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา ภาพยนตร์ Original Netflix แนวแอ็กชั่น เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เสี่ยงตาย ท่ามกลางสถานการณ์ม็อบที่ใกล้ถึงจุดแตกหัก โดยมีเด็กหญิงที่ถูกลักพาตัวเป็นชนวนเหตุของเรื่องนี้

รีวิว Bangkok Breaking: ภาคแรก

 

รีวิว Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา (ไม่สปอยล์)

ภาคต่อจากซีรีส์ภาคแรกเมื่อปี 2021 ซึ่งยังคงกำกับโดย โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ เช่นเดิม โดยเปลี่ยนจากซีรีส์ดราม่าแอ็กชั่นมาเป็นภาพยนตร์แอ็กชั่นเต็มตัว ซึ่งก็น่าจะเป็นงานที่ถนัดกว่าของผู้กำกับคนนี้อยู่แล้ว ซึ่งพอได้ทุนเน็ตฟลิกซ์มาด้วยก็ช่วยให้งานโปรดักชั่นของเรื่องนี้ดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาก เพราะเรื่องถูกเซ็ตติ้งฉากแอ็กชั่นให้อยู่กลางเมืองกรุงเทพ มีฉากไล่ล่าบนท้องถนน มีฉากแหล่งเสื่อมโทรมของกรุงเทพที่ถูกเซ็ตเรื่องไว้ว่าเป็นเขตที่รวมอาชญากรรมมากมายไว้ที่นั่น มีทั้งยาเสพติด ค้ามนุษย์ ขายอวัยวะ จนแทบจะเหมือนแดนเถื่อนของแก๊งยาเสพติดแบบโคลัมเบียหรือเม็กซิโกไปเลย ซึ่งทำให้เรื่องส่วนนี้ดูแปลกแยก ฉากดูโดดออกไปจากกรุงเทพที่เคยเห็นกัน แต่ก็ไม่ว่ากันเพราะนี่เป็นวิสัยทัศน์ที่แต่งเติมให้เรื่องดูดาร์คเกินจริงเพื่อหาทางเล่นกับฉากแอ็กชั่นได้ง่ายๆ ขึ้นโดยตรง ซึ่งพระเอก วันชัย (เวียร์ ศุกลวัฒน์) กับ สิน (ดู๋ สัญญา) พลิกบทบาทมาเป็นนักฆ่าที่รับงานลักพาตัวลูกสาวของเจ้าของโครงการสร้างตึกในที่แห่งนี้ และเขาเป็นคนพาให้ วันชัยและเหมย (มายด์ อาทิตยา 4EVE) พยาบาลสาวกับลูกชายของตัวเองเข้ามาติดในนรกแห่งนี้ 

ตัวเรื่องนำทั้ง 4 คนเข้ามาเป็นทีมที่ต้องลุยฝ่าดงแก๊งในที่แห่งนี้ ซึ่งแทบไม่มีเนื้อเรื่องอะไรมากนอกจากเด็กที่ถูกลักพาตัวมาหนีหายไปในที่แห่งนี้ แล้วทุกคนก็ต้องออกตามหาไปเรื่อยๆ ก่อนเจอสถานการณ์เสี่ยงตายเป็นระยะๆ ซึ่งก็คือฉากแอ็กชั่นที่ถูกยัดเข้ามาต่อเนื่องแทบไม่มีหยุดพักกันเลย และฉากแอ็กชั่นพวกนี้ก็เป็นฉากไล่ยิงกันแทบทั้งเรื่องกว่า 90% โดยแต่ละฝ่ายต่างก็มีอาวุธสงครามกันครบมือ จนเหมือนสงครามย่อมๆ กลางเมืองกรุงเทพที่ถูกจำกัดเขตไว้เป็นวอร์โซน โดยมีสถานการณ์ม็อบล้อมเขตนี้ไว้อีกทีทำให้ไม่มีใครเข้ามาได้ ซึ่งฉากม็อบมีโปรดักชั่นที่ค่อนข้างใหญ่โตสมจริง มีซีนสำคัญหลายครั้งเหมือนจำลองมาจากเหตุการณ์จริงที่ผ่านมา (แต่ไม่ได้ถูกโยงเข้ากับฝ่ายไหน) แต่ฉากแอ็กชั่นทั้งหมดในเรื่องก็ไม่ถึงกับโดดเด่นมาก ยังเป็นฉากแอ็กชั่นสเกลทั่วไป ไม่ได้มีฉากระเบิดยิงกันใหญ่โตหรือแปลกใหม่นัก หลายครั้งดูประหลาดๆ ด้วยภาพแก๊งขี่รถปกครองกันแบบชุมชนในโลกดิสโทเปียเหมือนหนัง Mad Max แบบนั้น แต่ด้วยจำนวนที่เยอะมากก็ช่วยพาให้เรื่องราวดูสนุกตื่นเต้นไปได้เรื่อยๆ บวกกับการแสดงของ ดู๋ สัญญา ที่แม้รูปร่างหน้าตาจะดูขัดๆ อยู่บ้าง แต่บทนักฆ่ารับจ้างที่มีฝีมือฉกาจมากก็ทำให้เขาเด่นจนเหมือนเป็นตัวเอกมากกว่าวันชัย ที่จริงๆ ก็เป็นได้แค่สายซัพพอร์ทจากสกิลกู้ภัยติดตัว (ในความคิดของผู้เขียนคือเหมือนพระรองเลยด้วยซ้ำ) แต่บทเหมยที่เป็นนางเอกใหม่มาแทนออมนักข่าวในภาคก่อน กลับได้แค่ความสวยล้วนๆ บทของเธอดูน่ารำคาญเป็นตัวถ่วงหรือตัวประกอบมากกว่า มีความพยามยัดบทดราม่าให้เธอทื่อๆ จนดูแปลกๆ บทของลูกชายสินยังมีความเด่นกว่าด้วยการได้พาร์ทดราม่าเล่าชีวิตความเป็นมาของเขากับพ่อ และได้ฉากสนิทกับเด็กหญิงปมของเรื่องโดยตรง แต่เรื่องก็ไม่ได้สานต่อให้ตัวละครนี้มีซีนน่าประทับใจอะไรมากนักอยู่ดี ตัวร้ายของเรื่องที่เล่นโดย เดย์ ไทเทเนียม ได้ตรงภาพคาแรกเตอร์กักขฬะเถื่อนๆ แต่มันก็ซ้ำกับแนวตัวละครแบบนี้อยู่แล้วจนนึกถึงยาท 4king ตลอด (ซึ่งก็ถอดแบบมาจากโจ๊กเกอร์อีกที)   

สิ่งที่เรื่องยังคงมีปัญหาติดมาจากภาคก่อนอีกครั้งก็คือ การพยายามขยายจักรวาลโลกใต้ดินของตัวละครบอสใหญ่ทั้งหลายที่ค้างไว้ตั้งแต่ภาคก่อน แต่ก็แทบไม่เดินหน้าไปไหน เรื่องฉายภาพพวกนี้ออกมาตลอดว่ามีบอสตัวร้ายหลายคน ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ตำรวจ เจ้าของมูลนิธิกู้ภัยที่วันชัยทำงานอยู่ ขนาดมีฉากพวกนี้ประชุมออนไลน์เป็นแก๊งอาชญากรรมใหญ่โต แต่เรื่องกลับไม่พยายามเล่าอะไรมากกว่านั้นเลย จนบทของตัวละครพวกนี้เหมือนแค่ให้รู้ว่าเป็นบอสใหญ่แต่ละแขนงอาชีพประจำแฟรนไชนส์นี้ มีบทมาเพื่อขัดผลประโยชน์กันแบบเบาโหวงแทบไม่รู้ที่มาที่ไปว่าเกี่ยวพันกันยังไง บทขาดความลึกในส่วนนี้ไปอย่างสิ้นเชิง และเรื่องก็ยังคงจบแบบปล่อยจอยทิ้งบอสพวกนี้ไว้เหมือนเดิมอีก ซึ่งก็เหมือนเป็นการทิ้งไว้ให้หยิบมาหากินสร้างได้เรื่อยๆ แต่ในมุมคนดูมันไม่น่าติดตามเอาซะเลยครับ

นอกจากนี้แล้วบทพูดในเรื่องยังดูไม่เป็นธรรมชาติหลายครั้งมาก อย่างการที่นางเอกพยายามถามพระเอกว่าทำไมต้องพยายามเป็นฮีโร่ขนาดนี้ เข้าใจแหละว่ามันเป็นแก่นของเรื่องเพื่อให้พระเอกได้ฉากคิดถึงคำพูดประจำใจเท่ๆ แต่หนังพยายามยัดบทพูดแปลกๆ หลายครั้งมากจนไม่เหมือนคนพูดคุยกันจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาตั้งแต่ภาคก่อนนั่นแหละครับ

สรุป ภาคต่อซีรีส์ Bangkok Breaking ที่มาในแบบภาพยนตร์เป็นเรื่องราวสั้นๆ เน้นฉากแอ็กชั่นกระหน่ำแทบไม่พัก แต่ก็ไม่ได้มีฉากที่ใหญ่โตหรือโดดเด่น เนื้อเรื่องหลักแทบไม่เดินหน้าไปไหน บอสใหญ่ของเรื่องหลายคนก็ทิ้งไว้แบบเดิม และก็ยังมีบทพูดที่ไม่เป็นธรรมชาติแบบเดียวกับภาคแรกอยู่ ซึ่งทำให้เรื่องก็ไม่ได้ดีขึ้นนัก แต่ถ้าดูเอาแค่ฉากแอ็กชั่นก็ถือว่าเรื่องพอดูสนุกลากยาวให้จบในสองชั่วโมงได้ไม่หลับครับ 

 

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!