playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Delhi Crime ล่าเดนเดลี จากเรื่องจริงคดีข่มขืนสะเทือนขวัญอินเดีย จนคนลุกฮือทั้งประเทศ!

Delhi Crime

สรุป

หนังสร้างจากเรื่องจริงออกมาได้อย่างละเอียด ลึก เข้มข้นสมจริงมาก มีการดำเนินเรื่องที่สนุกน่าติดตามไปตลอด 7 ตอน แทบไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย แต่หนังอาจจะมีผ่อนลงบ้างนิดหน่อยในช่วงเบรคสั้นๆ ของแต่ละตอน ให้เห็นชีวิตครอบครัวของตัวเอกวาร์ติกากับลูกน้องในทีม ที่เป็นส่วนเติมเต็มเรื่องราวให้สมบูรณ์และสมจริงมากยิ่งขึ้น

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • เก็บรายละเอียดคดีเชิงลึกได้ละเอียดยิบ
  • หนังเล่าเรื่องได้น่าติดตามทุกตอนไม่มีจุดน่าเบื่อ
  • ทีมนักแสดงสมมุติแทนตัวจริงเล่นได้สมบทบาท
  • มีเรื่องราวของอาชญากรในมุมที่ไม่ใช่เป็นปีศาจร้ายด้านเดียว
  • ถ่ายทอดความฟอนเฟะของกรุงเดลีออกมาได้สมจริง

 

Cons

  • เรื่องราวจบแค่การตามล่าอาชญากรให้ได้ครบ ไม่ได้ไปถึงส่วนของศาลทำให้โดยรวมยังดูไม่สมบูรณ์นัก
  • สร้างจากเรื่องจริง 60-70% ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด นอกนั้นเป็นเรื่องแต่งเพิ่มเข้ามา
  • ฉากจำลองเหตุการณ์ในรถเมล์ไม่มี (ผู้กำกับไม่ต้องการฉายความโหดร้ายซ้ำ)

 

Delhi Crime ล่าเดนเดลี ซีรีส์ Original Netflix สร้างจากเรื่องจริงของคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญทำให้คนทั้งประเทศต้องลุกฮือในปี 2012 ซีรีส์เรื่องนี้สร้างจากบันทึกคดีของสำนักงานตำรวจเดลีและตามติดความมุ่งมั่นของวาร์ติกา จตุรเวที เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่ต้องการลากตัวผู้ร้ายของคดีนี้มาลงโทษให้จงได้

 Delhi Crime (2019) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย IMDB

ตัวอย่าง Delhi Crime ล่าเดนเดลี

ซีรีส์ Delhi Crime สร้างจากเรื่องจริงของคดี Nirbhaya rape (ชื่อสมมุติจากสื่อ) หรือ 2012 Delhi gang rape เมื่อแก๊งชายชนชั้นล่าง 6 คนข่มขืนนักศึกษาสาวบนรถเมล์ในเมืองหลวงกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ที่จัดว่าเป็นคดีข่มขืนที่ดังจนเผยแพร่ไปทั่วโลก เนื่องจากการทำร้ายเหยื่อหญิงสาวด้วยกัดใบหน้าจนเหวอะหวะ พร้อมกับใช้แท่งเหล็กแทงเข้าไปช่องคลอดและรูทวารหลายครั้งจนอวัยวะภายในฉีกขาด แล้วใช้มือล้วงเข้าไปลากลำไส้เหยื่ออกมาทั้งเป็น จากนั้นก็จับทั้งคู่เปลือยกายแล้วโยนลงจากรถขณะวิ่ง ก่อนที่จะหวนกลับมาทับให้ตายอีกรอบ แต่เหยื่อพาตัวเองออกจากถนนไปอยู่ข้างทางจึงรอดชีวิตมาได้

2012 Delhi gang rape
2012 Delhi gang rape (อีก 1 คนเป็นเยาวชนเลยไม่มีการเผยแพร่ภาพให้เห็น)

นอกจากความโหดร้ายของคดีแล้ว ช่วงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นก็ตกเป็นข่าวไปทั่วโลก ทำให้อินเดียถูกจับตาว่าจะสางคดีนี้ได้หรือไม่ เพราะคดีข่มขืนเกิดในอินเดียเฉลี่ยสถิติต่อวันแล้วสูงมาก จากสถิติของรัฐบาลอินเดียในปี 2016 ระบุว่า ในทุกๆ 13 นาที จะมีผู้หญิงอินเดียถูกข่มขืน 1 คน หรือคิดง่ายๆ เป็น 4 คน ต่อ 1 ชม.ทั่วทั้งประเทศอินเดีย อ้างอิงจากบทความ 6 ปีอันสูญเปล่า “อินเดีย” เหลวขจัดข่มขืน ซึ่งคดีนี้เป็นตัวจุดชนวนการลูกฮือขึ้นชุมนุมทั่วประเทศ ทำให้รัฐบาลอินเดียถึงกับนั่งไม่ติด หวั่นๆ จะเกิดการจราจลครั้งใหญ่ถ้าจับผู้ร้ายที่หนีไปหลังเกิดเหตุไม่ได้ รวมถึงไม่มีมาตรฐานแก้ไขปัญหาข่มขืนที่เกิดขึ้นถี่ยิบทั่วประเทศ ไม่มีความปลอดภัยแม้แต่เมืองใหญ่อย่างนิวเดลีก็ยังข่มขืนกันกลางวันแสกๆ ทำให้ทางการต้องตั้งทีมสืบคดีนี้ใหญ่โต รวมถึงหาทางแก้กฏหมายข่มขืนให้มีโทษหนักขึ้น เพื่อลดความไม่พอใจของคนอินเดียกับเรื่องข่มขืนที่เกิดขึ้นซ้ำซากมาตลอด

ซีรีส์เรื่องนี้จัดเป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงผ่านการเก็บข้อมูลของ Richie Mehta ที่เป็นทั้งผู้กำกับและเขียนบท ซึ่งละเอียดถี่ถ้วนมากทุกรายละเอียดจากการพูดคุยกับตัวเจ้าหน้าที่ชุดสืบคดีจริง แต่ด้วยความที่ไม่สามารถนำเสนอหลายอย่างออกมาตรงๆ ได้ ก็เลยต้องอาศัยการแต่งเติมเรื่องราวเข้าไปให้เป็นกึ่งหนังกึ่งสารคดี โดยมีสัดส่วนรายละเอียดเรื่องจริง 60-70% ตัวละครใช้ชื่อสมมุติอ้างอิงจากตัวจริงอีกที โดยมีตัวละครหลักสมมุติ “วาร์ติกา จตุรเวที” รองผู้บัญชาการตำรวจที่เป็นผู้หญิงลงมาคุมทีมทำคดีนี้เอง ผ่านทีมลูกน้องมีฝีมือที่เธอเลือกเข้ามาร่วมทีมตามล่า 6 เดนทรชน

"วาร์ติกา จตุรเวที" รองผู้บัญชาการตำรวจ
“วาร์ติกา จตุรเวที” รองผู้บัญชาการตำรวจ ตัวเอกหลักของเรื่องนี้ (ขวาคือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่รับบทป้องกันวาร์ติกาจากการเข้ามายุ่งเกี่ยวของฝ่ายการเมือง)

หนังเล่าเรื่องย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของสองหนุ่มสาวนักศึกษาที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ไม่ได้มีฉากตอนเกิดเหตุทารุณในรถเมล์ให้เห็น ซึ่งทางผู้สร้างไม่ได้ต้องการจำลองหรือฉาภาพเหตุการณ์โหดร้ายนี้ซ้ำ จึงตัดเรื่องมาหลังจากที่ทั้งคู่ถูกพบว่าถูกทิ้งเปลือยกายข้างถนน ก่อนที่จะมีคนมาพบและแจ้งตำรวจ ซึ่งเรื่องราวจะนำเสนอแบบช็อตต่อช็อตทุกจุดเป็นระดับนาทีที่เกิดเรื่องไปจนถึงโรงพยาบาล เพราะคดีนี้มีปัญหาจากการที่สื่อเข้ามาบิดเบือนนำเสนอภาพลบให้กับตำรวจ หนังจึงไล่ลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดละเอียดยิบ พร้อมทั้งเจาะลึกไปที่การนำทีมสืบสวนของวาร์ติกา ซึ่งไม่ได้หลับได้นอนเลยตลอดการไล่ล่าเกือบ 1 อาทิตย์ทั่วประเทศไม่ใช่แค่กรุงเดลี ซึ่งตรงนี้หลายคนอาจจะข้องใจว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่จากคดีจริงที่ตำรวจปิดคดีได้ไวไม่ถึงอาทิตย์ และในหนังมีรายละเอียดจุดสำคัญเชิงลึกของการตามล่าตัวอาชญากรแต่ละคนที่แตกต่างกัน จึงเข้าใจว่าน่าจะจริงเกือบทั้งหมด เพียงแต่ใช้การสมมุติเรื่องบางอย่างเสริมเพิ่มเข้าไปให้เป็นบทหนังเพื่อให้ดำเนินเรื่องได้สมูธ และดูสนุกขึ้นในแบบหนังเท่านั้น อย่างการที่ฝ่ายการเมืองลงมายุ่งเกี่ยวกับคดี โดยต้องการหาแพะในคดีนี้เพื่อหวังลดทอนอำนาจคุมคดีของตำรวจในปัจจุบัน จนเป็นเหมือนตัวร้ายของเรื่องที่คอยหาช่องเล่นงาน เพียงเพื่อต้องการอำนาจมาไว้กับตัว

หนังนำเสนอด้านตำรวจแล้ว ก็ยังนำเสนออีกด้านของคนร้ายแต่ละคนอย่างละเอียดให้เห็นถึงลักษณะนิสัยจริงของแต่ละคน โดยโฟกัสไปที่หัวโจก “ชัย สิงห์” (ชื่อในหนังสมมุติจากชื่อจริง ราม สิงห์) คนขับรถเมล์ที่ก่อเหตุ ซึ่งนักแสดงเล่นได้เข้าถึงดูวิกลจริตสมจริงมาก โดยเขาเป็นคนเริ่มข่มขืนและทำร้ายเหยื่ออย่างหนักเพียงคนเดียว และไม่มีการสำนึกผิดอะไรทั้งสิ้น แถมให้การสารภาพแบบภูมิใจในสิ่งที่ทำลงไป โดยโทษว่าสมควรแล้วที่เหยื่อต้องโดนแบบนั้นเพราะเป็นผู้หญิงออกมาเที่ยวดึก (ช่วงเกิดเหตุสามทุ่มกว่า) เรียกว่าหนังนำเสนอได้อย่างตรงไปตรงมาตามรูปคดีจริง และเน้นย้ำในส่วนนี้จากฉากการให้ปากคำของทุกคนที่ตรงกัน ว่ามีแค่ชัย สิงห์ทำคนเดียว แต่ก็ไม่ได้ห้ามเพราะกลัว กลายเป็นว่าคนอื่นดูมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ อย่างบางคนถึงกับพยายามฆ่าตัวตายเพราะเสียใจแม่รู้ข่าวนี้ หนังนำเสนอแง่มุมอีกด้านที่ทำให้เราเข้าใจเหตุผลการกระทำพวกนี้มากขึ้นกว่าแค่อ่านข่าวแล้วเหมารวมว่าเป็นปีศาจร้ายไปหมด แต่สุดท้ายก็ต้องรับโทษหนักเท่ากัน อัพเดทล่าสุดโดนโทษประหารชีวิต 4 คน แต่ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนสุดท้ายก่อนประหาร โดยอีก 1 คนรอดเพราะตอนก่อเหตุเป็นเยาวชนอายุ 16 ปี โดยมีโทษแค่คุมขังในสถาณพินิจ 3 ปีเท่านั้น

อีกด้านของเรื่องราวที่หนังเพิ่มเติมมาคือเรื่อง ครอบครัวของวาร์ติกา ที่ลูกสาวกำลังคิดไปเรียนต่างประเทศเพื่อหนีจากความเน่าเฟะของกรุงเดลี โดยคนเป็นแม่ก็กลัวลูกจะไปแล้วไม่กลับ จึงพยายามหน่วงรั้งไว้ว่าจะพาไปชมด้านสวยงามของเมือง แต่กลับมาเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเสียก่อน ซึ่งหนังใส่จุดนี้เพิ่มมาเพื่อเล่าเรื่องราวจากมุมประชาชนทั่วไปมองภาพตำรวจ มองภาพเมืองที่เกิดอาชญากรรมนี้ว่าเป็นยังไงในสายตาพวกเขา ซึ่งลูกสาวของวาร์ติกาแม้มีแม่เป็นตำรวจที่คุมคดีนี้เองก็ยังรู้สึกคลางแคลงใจการทำงานของตำรวจ จนไปเข้ากับกลุ่มผู้ประท้วงภายนอก

หนังใช้ตัวลูกสาววาร์ติกาแทรกเข้ามาเล่าเรื่องในม็อบจราจลที่กำลังก่อตัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เห็นที่มาที่ไปของแรงโกรธแค้นของคนอินเดียกับคดีนี้ จนกลายมาเป็นจราจลย่อมๆ ว่ามาจากอะไร อย่างพวกที่ต้องการศาลเตี้ยมากกว่ากฎหมาย ซึ่งก็มาจากการที่ไม่เห็นตำรวจทำงานสื่อสารออกมาให้ประชาชนรับรู้ แต่ในอีกด้านเราก็จะได้เห็นว่าตำรวจทำสุดความสามารถแล้ว เพียงแต่สื่อสารออกไปไม่ได้เพราะกลัวเสียรูปคดี ซึ่งการประท้วงนี้เกือบกลายเป็นจราจลครั้งใหญ่ที่สั่นคลอนการปกครองอินเดียได้เลย และในเรื่องจริงการจราจลย่อมๆ จากคดีนี้ก็ยังมีตามมาเรื่อยๆ เพราะปัญหาข่มขืนที่พุ่งสูงขึ้นรัฐบาลอินเดียเองยังหาทางแก้ไขไม่ได้ พอมีข่าวอย่างการปล่อยตัวผู้ต้องโทษที่เป็นเยาวชนก็ทำให้การประท้วงกลับมาลุกฮือขึ้นอีกไม่จบสิ้น

Delhi Crime เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงออกมาได้อย่างละเอียดลึกเข้มข้นสมจริงมาก มีการดำเนินเรื่องที่สนุกน่าติดตามไปตลอด 7 ตอน ไม่มีช่วงที่เรียกว่าน่าเบื่อเลย แต่หนังอาจจะมีผ่อนลงบ้างนิดหน่อยในช่วงเบรคสั้นๆ ของแต่ละตอน ให้เห็นชีวิตครอบครัวของตัวเอกวาร์ติกากับลูกน้องในทีม ที่เป็นส่วนเติมเต็มเรื่องราวให้สมบูรณ์และสมจริงมากยิ่งขึ้น จากการทำงานที่ต้องตกอยู่ในสภาพที่คนทั้งประเทศจับตามองเป็นเช่นไร ครอบครัวพวกเขาคิดเห็นอย่างไรบ้าง ดารานักแสดงในเรื่องทุกคนเล่นได้สมบทบาท มีจุดรายละเอียดนิสัยให้จดจำได้ว่าใครเป็นใครชัดเจน พร้อมทั้งความสามารถสืบคดีที่แตกต่างกัน แต่บทเด่นก็ยังตกอยู่กับวาร์ติกา ซึ่งเล่นได้สมบาทบาทมาก ดูแล้วสมกับบทผู้หญิงที่ขึ้นเป็นถึงรองผู้บัญชาการตำรวจได้ แต่ก็ยังมีมุมความเป็นแม่ที่ต้องดูแลครอบครัวและลูกสาวอยู่ด้วย

หลังฉายหนังได้รับความนิยมสูงมาก พร้อมทั้งคะแนนวิจารณ์ในระดับติดท็อปหนังอินเดียของ Netflix จึงทำให้ Delhi Crime ได้รับไฟเขียวให้ทำต่อ โดยที่คงตัวละครเดิมไว้แต่เป็นคดีอื่น ซึ่งก็เชื่อเลยว่าทีมสร้างทำต่อได้เข้มข้นแน่ๆ เพราะหลังจากคดีในเรื่องนี้แล้ว ก็ยังมีคดีโหดต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ ซึ่งร้ายแรงไม่แพ้กัน เพียงแต่ไม่ได้เป็นเรื่องโด่งดังเท่ากับคดีนี้เพียงเท่านั้นครับ

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!