playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว IT: Chapter 2 เชื่อมต่อเรื่องราวได้น่าประทับใจ แต่ขายฉากแหวะมากขึ้น!

สรุป

IT Chapter 2 เป็นเหมือนแค่ส่วนเติมเต็มเรื่องราวในภาคแรก ซึ่งถือว่าทำได้ดี แต่ถ้าในมุมของหนังภาคต่อขึ้นเรื่องราวใหม่ ยังทำได้ไม่กลมกล่อมลงตัวเหมือนอย่างที่ภาคแรกทำไว้ได้ดี

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
4.67 (3 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ฉากต่อเนื่องเชื่อมตัวละครช่วงแรกสุดยอด!
  • ได้รู้ที่มาที่ไปของเพนนี่ไวซ์ลึกขึ้น
  • ตัวแสดงผู้ใหญ่เนียนไปกับเด็กได้ดี
  • ฉากจบที่ลงตัวดีจริงๆ

Cons

  • เน้นฉากแหวะมากกว่าสยองมีกึ๋นแบบภาคก่อน
  • เปิดประเด็นความหลากหลายทางเพศแต่ทิ้งไว้แค่นั้น
  • เรื่องราวจำกัดวงสเกลเล็กกว่าภาคก่อน

IT Chapter 2 ภาคต่อที่เป็นบทสรุปของเรื่องราว ซึ่งตามนิยายของสตีเฟนคิงจะเป็นเรื่องราวเดียวกันโดยใช้ช่วงผู้ใหญ่นำ ก่อนตัดสลับไทม์ไลน์ช่วงเด็กกลับเข้ามา แต่ในหนังภาคก่อนจะเปลี่ยนใหม่ โดยเริ่มเรื่องในช่วงวัยเด็กเพียงอย่างเดียว แต่ก็เป็นหนังที่ดัดแปลงจากนิยายได้ดีเกินคาดมาก ซึ่ง IT เป็นหนังแนว  Coming of age +แนวสยองขวัญ ซึ่งกำลังเรียกว่าเป็นสูตรฮิตมาตั้งแต่ซีรีส์ Stranger Things ที่ลง Netflix ทำจนดังระเบิด โดยนักแสดงจากเรื่องนี้ก็มาเล่นใน IT ด้วย (น้องใส่แว่นริชชี่) แต่สำหรับภาคต่อสูตรนี้ก็ไม่สามารถเอามาใช้เป็นพล็อตเรื่องหลักได้อีกแล้ว เนื่องจากเรื่องเดินหน้าไปช่วงวัยผู้ใหญ่รุ่นพ่อแม่วัยกลางคนเข้าไปแล้ว แต่หนังก็พยายามใช้ภาพความทรงจำแฟลชแบ็คกลับไปยังช่วงวัยเด็ก หามุมที่ยังไม่ได้เล่า เอามาผสมเข้ากับเรื่องราวปัจจุบัน ซึ่งก็มีทั้งส่วนที่ทำได้ดี และส่วนที่รู้สึกว่าจงใจยืดเรื่องมากไปเหมือนกัน

ตัวละครเด็ก IT 2
บทบาทของตัวละครเด็กใน IT 2 ยังมีความสำคัญมากอยู่

ในส่วนของนักแสดงวัยเด็กยังคงสานต่อได้ดี ทั้งรูปร่างหน้าตา ความน่ารักสดใส กวนๆ เหมือนภาคแรกไม่มีเปลี่ยน (แม้อายุเด็กจะเพิ่มขึ้นจากการถ่ายทำเกือบสองปี) หนังพาไปพบกับข่วงต่อจากฉากจบภาคแรก พร้อมทั้งพาไปพบกับเหตุการณ์เจอเพนนีไวซ์ในมุมที่ยังไม่ได้เปิดเผยออกมา ซึ่งทำได้โอเคอยู่ แต่ว่าก็ไม่ได้ดีหรือสดใหม่ท่ากับภาคแรก (อย่างฉากห้องดูหนังสุดสะพรึง) หนังกลับมาใช้ความแหวะมาทำให้ดูน่ากลัวมากกว่า ซึ่งแม้ว่าจะยังน่ากลัวใช้ได้อยู่ แต่กลับไม่มีฉากน่าจดจำอะไรนัก

แต่ช่วงเวลาตอนเด็กที่ดีและสำคัญต่อเรื่องคือ หนังขยายส่วนความสัมพันธ์ของแต่ละคนเพิ่มขึ้น แม้จะนิดๆ หน่อยๆ โดยทำหน้าที่เป็นเหมือนจิ๊กชอว์เติมเต็มเรื่องไปยังวัยผู้ใหญ่ให้สมบูรณ์และน่าประทับใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพาร์ทรักสามเส้า เบน (น้องอ้วน) บิลลี่ (ตัวเอกหลัก) กับเบฟ น้องผู้หญิงคนเดียวในแก๊งขี้แพ้ที่มีเสน่ห์เหลือหลาย จุดนี้ใครตามลุ้นอยู่ต้องชอบแน่ๆ กับทุกฉากที่มีสามคนนี้ออกมา แล้วก็เน้นไปที่เรื่องราวความรักแบบป๊อบปี้เลิฟว่าสำคัญแค่ไหนกับเด็กวัยนี้ อีกทั้งยังเป็นเมนหลักของความกลัวที่เพนนี่ไวซ์จับจุดได้ และเอาใช้เล่นงานพวกเขาอีกด้วย

ตัวละครผู้ใหญ่ IT 2
ตัวละครผู้ใหญ่ IT 2 ที่จะสลับแฟลชแบ็คกลับไปมากับวัยเด็กตลอดเรื่อง เจมส์แม็คอะวอยยังมอบฝีมือขั้นเทพไว้เช่นเดิมกับบทบิลลี่ที่ต้องพูดติดอ่างไม่เปลี่ยนไปจากตอนเด็ก

ส่วนวัยผู้ใหญ่ที่อายุในเรื่องทุกคนปาเข้าไปวัยกลางคนแล้วทั้งนั้น (40+) หนังเปิดเรื่องพาไปให้เห็นว่าแต่ละคนมีชีวิตยังไงในปัจจุบัน ซึ่งทุกคนก็ดูประสบความเร็จในชีวิตกันทั้งนั้น ก่อนจะโชว์เหนือด้วยฉากต่อเนื่องเชื่อมกันของแต่ละคนที่ครีเอทออกมาได้เจ๋งมาก ก่อนที่ทุกคนจะกลับมารวมตัวกันที่เมืองเดอร์รี่อีกครั้ง ซึ่งโจทย์ยากสุดของภาคนี้ก็คือ ทำอย่างไรถึงจะสร้างเรื่องราวหลอกหลอนตัวละครผู้ใหญ่ให้เกิดความน่ากลัวได้เท่ากับตอนเป็นเด็ก เพราะภาคแรกหลักๆ ความน่ากลัวมาจากที่เราต้องเห็นตัวละครเด็กอ่อนประสบการณ์สู้กับสิ่งที่เหนือธรรมชาติเกินตัวมากๆ ด้วย และในเรื่องราวหลักเพนนี่ไวซ์ก็จงใจเลือกแต่เด็กเพราะทำให้กลัวได้ง่ายด้วย

หวังวางบทให้ตัวละครที่ออกจากเมืองไป ลืมเลือนสิ่งต่างๆ ในช่วงวัยเด็ก แล้วค่อยๆ ให้ระลึกความน่ากลัวกลับมาได้ ซึ่งไม่ต้องรอปูนาน เพราะแค่ฉากแรกที่พวกเขารวมตัวกันในร้านอาหารจีน หนังก็เปิดตัวพลังของเพนนีไวซ์ได้น่ากลัวแบบขนหัวลุกทันที และก็เป็นหนึ่งในฉากสยองที่น่าจดจำที่สุดของหนังภาคนี้ ซึ่งผู้ชมก็คงคาดหวังว่าความสยองต่อไปจะพีคมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่าหนังกลับทำได้ไม่เข้าเป้าแบบช่วงตอนแรกสักเท่าไหร่ แถมเน้นขายความแหวะมากขึ้นกว่าภาคก่อนมาก แต่ก็มีบางช่วงที่ทำออกมาดูเรียบๆ น่ากลัว อย่างในตัวอย่างที่เบฟเจอคุณยายในบ้านเก่า ก็เป็นการหลอนแบบนิ่งๆ เนิบๆ แต่ได้ผลกว่าเน้นความแหวะมาก

นอกจากนี้หนังยังพยายามใช้วัตถุดิบวัยเด็กมารีไซเคิลขายใหม่ให้เป็นฉากหลอกตัวละครผู้ใหญ่ติดๆ กันจนมากเกินไป ทำให้สึกว่าผู้กำกับอาจจะหมดมุกในการหลอกหลอนคนดูจังๆ ได้อย่างภาคก่อนที่ทำได้ดีมาก แถมเรื่องราวยังไปไวแค่ภายในวันเดียวจบ ทำให้ต้องเร่งอัดฉากเหล่านี้มาให้ครบๆ จนเหมือนเป็นสูตรสำเร็จให้เพนนี่ไวซ์ต้องหลอกจนครบคนก่อนจะเดินเรื่องต่อไปได้…

อิท 2 บ้านร้าง
โลกเกชั่นเดิมถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง

แต่สุดท้ายก็ยังดีที่หนังเก็บฉากเด็ดๆ ไปอัดไว้ช่วงท้าย ตามรอยโลเกชั่นภาคก่อน บ้านร้าง ท่อระบายน้ำ ถ้ำ แล้วก็ลงลึกถึงที่มาที่ไปของเพนนีไวซ์ได้ละเอียดพอตัว (ผู้กำกับบอกว่ามีโอกาสนำจุดนี้ไปขยายสร้าง IT ภาคก่อนกำเนิดเมืองเดอร์รี่ต่อไปด้วย) ช่วงท้ายหนังได้พาตัวละครทั้งหมดมาพบกับความสยองในแบบจัดเต็ม ผ่านเรื่องราวของแต่ละคู่ได้อย่างน่ากลัว ซึ่งก็เป็นปมที่สะท้อนจากก้นบึ้งจิตใจของแต่ละคน ก่อนจะคลายปมพร้อมกับฉากจบที่มีทั้งความเศร้าและอบอุ่นไปพร้อมกัน และยังเติมเต็มเพิ่มตัวละครที่ขาดหายไปในตอนต้นเรื่องให้กลับมามีความหมายอีกครั้ง ซึ่งเป็นฉากจบปิดท้ายเรื่องราวได้อย่างน่าประทับใจ

แม้หนังในส่วนวัยเด็กกับผู้ใหญ่ในภาคนี้จะดูกลมกลืนไปกันได้ดีแทบไม่มีที่ติ (มีแค่เบฟตอนโตที่รู้สึกแปลกแยกนิดๆ เพราะดาราตอนเด็กมีเสน่ห์กว่า) แต่หลังดูจบก็คิดว่า IT ควรจะเป็นแบบภาค 1 กับ 2 รวมกันในเรื่องเดียวแบบนิยายดั้งเดิมของสตีเฟนคิงน่าจะดีกว่า (สตีเฟนคิงก็บอกว่า IT Chapter 2 ไม่ใช่หนังภาคต่อ แต่เป็นเรื่องราวครึ่งหลังที่ไม่ได้รวมอยู่ในภาคแรก) ซึ่งผู้กำกับก็เปรยแล้วว่ามีแผนจะทำฉบับตัดต่อใหม่ชื่อ Super Cut รวมทั้ง 2 ภาคเข้าด้วยกัน แบบไม่ใช่แบ่งเป็นภาควัยเด็กหรือผู้ใหญ่แบบที่เห็น ซึ่งความยาวจะเกิน 6 ชั่วโมง (ภาคแรกก่อนตัดต่อยาว 240 นาทีก่อนตัดเหลือ 146 นาที) และก็จะเป็นภาคที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะการแบ่งเรื่องเป็น 2 ส่วนแบบนี้ ทำให้เรื่องราวตอนโตกลายเป็นแค่ส่วนเติมเต็ม แทนที่จะเป็นส่วนย้อนอดีตกลับไปพร้อมกับรู้จักความน่ากลัวเพนนีไวซ์ทีละนิดๆ แบบในภาคแรกไปพร้อมๆ กันจะได้อารมณ์กลมกลืนกว่า อย่างภาค 2 เรื่องราวการอาละวาดของเพนนีไวซ์กับชาวเมืองดูเบาบางมาก ไม่มีการตามหาคนหาย ต่างจากภาคแรกที่ความน่าสะพรึงกลัวอีึมครึมไปทั้งเมืองตลอดเรื่องจนจบ

เพนนีไวซ์
เพนนีไวซ์

IT Chapter 2 มีความยาว 169 นาที เกือบสามชั่วโมงเต็ม หนังมีส่วนเกินล้นๆ เข้ามาหลายจุดเช่น ประเด็นเพศสภาพ LGTB ในเรื่อง ซึ่งเปิดเรื่องได้ดีเหมือนจะมีอะไรในเมืองเล็กๆ แต่กลับจบลงแบบง่ายๆ แล้วก็เอาไปใส่ไว้ในเรื่องหลวมๆ กับตัวละครหลักที่ไม่เด่นชัดว่ายังไงกันแน่ เหมือนว่าหนังต้องการแค่ให้มีประเด็นนี้เข้ามาเพื่อให้ดูทันยุคนี้เท่านั้นหรือ? หรือแม้แต่ตัวละครจากภาคแรกที่คิดว่าตายไปแล้ว ก็ดึงกลับมาใช้ใหม่ แต่กลับมาในแบบเรื่องราวหลวมๆ เหมือนแค่ต้องการให้มีอะไรที่น่ากลัวเพิ่มนอกจากเพนนีไวซ์เพียงเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเรื่องราวนัก แต่ก็ยังดีที่หนังคุมโทนสยองขวัญคู่กับเรื่องราวมิตรภาพของตัวละครได้ดี ไม่มีช่วงเวลาไหนที่รู้สึกหาวหรือน่าเบื่อเกิดขึ้น แต่แค่องค์รวมทั้งหมดยังไม่กลมกล่อมดีเท่าภาคแรก ซึ่งก็น่าเสียดายไม่งั้นนี่คงกลายเป็นหนังแพ็คคู่ขึ้นหิ้งหนังสยองขวัญยุคใหม่ในอันดับต้นๆ ที่น่าจดจำครับ

รีวิว IT 2

เรื่องย่อพร้อมรายละเอียดนักแสดงกับตัวละคร

เพราะตัวตลกปีศาจเพนนี่ไวซ์จะกลับมาเยือนเมืองเดอร์รี่ รัฐเมนในทุก ๆ 27 ปี ในภาคต่อนี้จึงพาเหล่าตัวละครที่แยกย้ายจากกันไปนานกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 3 ศตวรรษหลังจากเหตุการณ์สยองเกิดขึ้นกับพวกเขาตอนเด็กในภาพยนตร์ภาคแรก สานต่อความสำเร็จจาก IT เมื่อปี 2017 โดยฝีมือกำกับของ แอนดี้ มุสชีเอตติ ผู้พาภาพยนตร์กวาดรายได้ทั่วโลกสูงถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ 

ในภาคต่อนี้ได้ตัวนักแสดงมากฝีมือมากมายมารับบทเป็น “กลุ่มขี้แพ้” ในวัยผู้ใหญ่ นำโดยผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เจสสิก้า แชสเทน (ภาพยนตร์ Zero Dark Thirty, Mama) รับบท เบเวอร์ลี่, เจมส์ แม็คอะวอย (ภาพยนตร์ Split, Glass) รับบท บิล, บิล เฮเดอร์ (ซีรีส์โทรทัศน์ Barry, The Skeleton Twins) รับบท ริชชี่, ไอเซห์ มุสตาฟา (ภาพยนตร์โทรทัศน์ Shadowhunters: The Mortal Instruments) รับบท ไมค์, เจย์ ไรอัน (ภาพยนตร์โทรทัศน์ Mary Kills People) รับบท เบน, เจมส์ แรนซัน (ซีรีส์ The Wire) รับบท เอ็ดดี้ และแอนดี้ บีน (ภาพยนตร์ Allegiant, Power) รับบท สแตนลีย์

ร่วมด้วยทีมนักแสดงเด็กหน้าเก่าผู้กลับมารับบทสมาชิกกลุ่มขี้แพ้ นำโดย โซเฟีย ลิลลิส รับบท เบเวอร์ลี่, แจเดน มาร์เทล รับบท บิล, ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด รับบท ริชชี่, โชเซน จาคอบส์ รับบท ไมค์, เจเรมี เรย์ เทย์เลอร์ รับบท เบน, แจ็ค ดีแลน เกรเซอร์ รับบท เอ็ดดี้, ไวแอตต์ โอเลฟฟ์ รับบท สแตนลีย์ รวมถึงนักแสดงตัวหลักที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ บิล ซาร์สการ์ด ที่กลับมาทวงตำแหน่งตัวตลกปีศาจในตำนาน เพนนี่ไวซ์

 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!