รีวิว Pluribus (Apple TV) ไซไฟสุดพิลึกจากผู้สร้าง Breaking Bad
Pluribus
Summary
Pluribus คือซีรีส์ไซไฟที่กล้าเสี่ยง ทะเยอทะยาน และไม่เหมือนใครในปี 2025 การแสดงของ Rhea Seehorn ที่แทบจะเป็น one-woman show ควรค่าแก่การยกย่องจริงๆ การกำกับของ Gilligan จาก Breaking Bad ยังคงคมคายและสวยงาม และประเด็นที่ซีรีส์ยกขึ้นมาก็ลึกซึ้งมากจนต้องหยุดสำรวจความคิดไปในทุกบทสนทนา
แต่มันไม่ใช่ซีรีส์สำหรับทุกคน ถ้าคุณคาดหวัง Breaking Bad แบบไซไฟ คุณจะผิดหวัง ถ้าคุณต้องการคำตอบรวดเร็วและแอ็คชั่น คุณจะเบื่อ แต่ถ้าคุณยินดีที่จะนั่งกับซีรีส์ที่สโลวเบิร์นไปอย่างช้าๆ กับประเด็นแนวคิดเอเลี่ยนบุกโลกแบบใหม่ที่ลึกและคมคาย เต็มไปด้วยปรัชญา เติมเต็มไปกับการสร้างบรรยากาศหายนะโลกสุขสันต์มากกว่าการทำลายล้างตรงๆ ซีรีส์ได้ตั้งคำถามให้กับผู้ชมมากกว่าจะให้คำตอบ ซึ่งนี่อาจเป็นซีรีส์ที่แปลกใหม่และดีที่สุดที่คุณจะได้ดูในปีนี้ครับ
*ซีซั่น 2 ได้รับการยืนยันแล้ว และ Gilligan วางแผน 4 ซีซั่นไว้ตั้งแต่ต้น เรื่องนี้น่าจะมีอะไรอีกเยอะที่จะบอกเล่าครับ
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- เอเลี่ยนบุกโลกแบบแปลกแหวกแนว
- สำรวจความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
- การแสดงที่ยอดเยี่ยม
- งานภาพสวยและสื่อความหมายมากมาย
Cons
- ความช้าในการเล่าเรื่อง
- บางตอนเนื้อเรื่องแทบไม่ขยับไปไหน
ADBRO
Pluribus ซีรีส์ apple TV+ 9 ตอนจบซีซั่น 1 เมื่อคนที่ทุกข์ที่สุดในโลกต้องช่วยโลกจากความสุขที่มากับเอเลี่ยนบุกโลกสุดแปลกประหลาด
รีวิว Pluribus (ไม่สปอยล์)
ไซไฟสุดพิลึกจาก Vince Gilligan ที่ท้าทายทุกความคาดหวัง
หลังจากทำให้เราติดจอกับ Breaking Bad และ Better Call Saul มากว่า 15 ปี Vince Gilligan กลับมาสู่รากเหง้าแนวไซไฟของเขาจากยุค The X-Files ด้วย Pluribus ซีรีส์ Apple TV+ ที่กล้าทำอะไรที่ไม่เหมือนใคร และประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง
Carol Sturka – ฮีโร่ที่ไม่ได้มีความสุข
Rhea Seehorn (ที่เราจำได้จาก Kim Wexler ใน Better Call Saul) รับบท Carol Sturka นักเขียนนิยายโรแมนซ์แฟนตาซีที่ประสบความสำเร็จแต่ไม่มีความสุขเลย เธอเกลียดงานของตัวเอง เรียกมันว่า “เรื่องไร้สาระ” และดูหมดไฟกับชีวิตอยู่แล้วก่อนที่โลกจะพังทลาย
แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ไวรัสจากต่างดาวแพร่กระจายไปทั่วโลก เปลี่ยนมนุษยชาติเกือบทั้งหมดให้กลายเป็น “hive mind” หรือจิตใจรวมกลุ่ม ที่มีความสุข สงบเงียบ และพอใจในทุกสิ่ง มีเพียง 13 คนในโลกเท่านั้นที่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสนี้ และ Carol ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เธอเป็นเพียงคนเดียวที่คิดแตกต่างออกไป และก็กลายเป็นแกะดำในหมู่แกะขาวของภัยพิบัติล้างโลกแบบนี้
โลกที่ความสุขกลายเป็นภัยคุกคาม
นี่คือจุดที่ Pluribus แตกต่างจากไซไฟทั่วไป นี่ไม่ใช่การบุกโลกโดยเอเลี่ยนหรือมอนสเตอร์ที่มีสภาพความรุนแรงน่ากลัว แต่เป็นผู้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเกินจริง ทักทายด้วย “Hi Carol!” อย่างร่าเริงทุกครั้ง และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อ “อำนวยความสะดวก” ให้เธอ แต่ใต้รอยยิ้มนั้นคือเจตนาที่จะดึงเธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาในท้ายที่สุด
Carol ติดอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสยดสยองแบบผิดปกติจากแนวเอเลี่ยนบุกโลกแบบอื่นๆ โลกรอบตัวเธอสงบและมีความสุข แต่เธอรู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง มันคือการควบคุมโดยเอเลี่ยน ทุกความขัดแย้งหายไป ทุกปัญหาไม่มี แต่ตัวตนของมนุษยชาติก็หายตามไปด้วย ซึ่งซีรีส์ได้ตั้งคำถามผ่านตัว Carol ที่พยายามกู้โลกแอนแสนสงบสุขนี้ให้กลับมาเป็นปกติที่มีแต่ความสับวนวุ่นวายว่ามันดีแล้วจริงๆ หรือ?
Rhea Seehorn กับการแสดงอาชีพสูงสุด
นี่เป็น one-woman show เกือบทั้งหมด และ Seehorn แบกรับภาระนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เธอต้องแสดงอารมณ์ทุกสเปกตรัม – ความกลัว ความโกรธ ความโดดเดี่ยว อารมณ์ขันแบบขมขื่น และความสิ้นหวัง ดวงตาของเธอบ่งบอกน้ำหนักที่มองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ ทุกลมหายใจสะกดความเคร่งเครียดที่ต้องรับมือกับผู้คนที่พยายามสร้างความสุขให้เธอ ซึ่งCarol ไม่ใช่ตัวละครที่น่ารัก เธอขี้บ่น เห็นแก่ตัว และมองโลกในแง่ร้าย แต่ Seehorn ทำให้เธอเป็นมนุษย์ที่เข้าใจได้ เราอาจไม่ชอบเธอ แต่เราเข้าใจเธอ
Zosia – ตัวแทนจาก Hive Mind
Karolina Wydra รับบท Zosia (อ่านว่า โซฌา) สมาชิกของ hive mind ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับ Carol ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอทั้งสองเป็นหัวใจของเรื่อง Zosia ดูเหมือนยังเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่แล้ว เธอเอาใจใส่ Carol แต่ในนามของผู้ดูแล เคมีระหว่าง Seehorn กับ Wydra ทำให้ทุกฉากของพวกเธอมีแรงดึงดูด และรู้สึกได้ว่านี่เป็นตัวเอกหลักของเรื่องทั้งหมดต่อจากนี้
การกำกับและภาพที่งดงาม
Gilligan กลับมาทำสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด – ใช้ประโยชน์จากทุกมุมของเฟรม การจัดองค์ประกอบทุกภาพมีความตั้งใจ แสงเงาในทะเลทราย สร้างบรรยากาศที่หนักอึ้งและสวยงามไปพร้อมกัน ฉากหลายฉากดีขึ้นเมื่อดูซ้ำเพราะมีรายละเอียดซ่อนอยู่ในงานประกอบฉากเยอะมาก
จังหวะช้าที่อาจท้าทาย
นี่คือจุดที่แบ่งผู้ชม Pluribus เป็น slow burn อย่างแท้จริง ตอนละ 40-60 นาที และบางช่วงรู้สึกลากยาว คนที่ชอบ Breaking Bad แบบช้าๆ จะชอบ แต่คนที่คาดหวังแอ็คชั่นหรือคำตอบรวดเร็วจะผิดหวัง
Gilligan ใช้เวลาสร้างบรรยากาศและพัฒนาตัวละครไปอย่างช้าๆ บางตอนแทบดูเหมือนไม่ได้ขับเคลื่อนพล็อตไปไหน แต่กลับเป็นการสร้างแรงกดดันทางอารมณ์ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น (เหมือนตอนตีแมลงวันใน BB)
คำถามที่ลึกซึ้ง
ซีรีส์นี้ไม่ได้แค่เป็นเรื่องเอเลี่ยน แต่เป็นบทสนทนาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ อะไรทำให้เราเป็นมนุษย์? ความทุกข์เป็นส่วนสำคัญของชีวิตหรือไม่? ยูโทเปียที่แท้จริงคืออะไร? เมื่อทุกคนมีความสุข แต่สูญเสียตัวตน นั่นคือความสวรรค์หรือนรก?
Carol ต้องเลือกระหว่างความโดดเดี่ยวที่เจ็บปวดกับการยอมจำนน ระหว่างการรักษาเอกลักษณ์ของเธอกับการเข้าร่วมกับคนที่เธอรัก
ตอนจบซีซั่น 1 (มีสปอยล์)
ตอนจบทิ้งท้ายด้วย cliffhanger ที่ช็อก Carol กลับมาพบ Manousos (Carlos-Manuel Vesga) อีกคนที่มีภูมิคุ้มกันที่พยายามถอดรหัสสัญญาณวิทยุเพื่อหาที่มาของการโจมตี เธอมาพร้อมกับระเบิดปรมาณู และพูดว่า “คุณชนะ เราช่วยโลกกัน”
นี่คือการเปลี่ยนจากเรื่องเอาตัวรอดส่วนตัวมาเป็นภารกิจกู้โลก และเป็นการตั้งค่าสำหรับซีซั่น 2 ที่จะกลายเป็น two-hander ระหว่าง Carol กับ Manousos
สรุป
Pluribus คือซีรีส์ไซไฟที่กล้าเสี่ยง ทะเยอทะยาน และไม่เหมือนใครในปี 2025 การแสดงของ Rhea Seehorn ที่แทบจะเป็น one-woman show ควรค่าแก่การยกย่องจริงๆ การกำกับของ Gilligan จาก Breaking Bad ยังคงคมคายและสวยงาม และประเด็นที่ซีรีส์ยกขึ้นมาก็ลึกซึ้งมากจนต้องหยุดสำรวจความคิดไปในทุกบทสนทนา
แต่มันไม่ใช่ซีรีส์สำหรับทุกคน ถ้าคุณคาดหวัง Breaking Bad แบบไซไฟ คุณจะผิดหวัง ถ้าคุณต้องการคำตอบรวดเร็วและแอ็คชั่น คุณจะเบื่อ แต่ถ้าคุณยินดีที่จะนั่งกับซีรีส์ที่สโลวเบิร์นไปอย่างช้าๆ กับประเด็นแนวคิดเอเลี่ยนบุกโลกแบบใหม่ที่ลึกและคมคาย เต็มไปด้วยปรัชญา เติมเต็มไปกับการสร้างบรรยากาศหายนะโลกสุขสันต์มากกว่าการทำลายล้างตรงๆ ซีรีส์ได้ตั้งคำถามให้กับผู้ชมมากกว่าจะให้คำตอบ ซึ่งนี่อาจเป็นซีรีส์ที่แปลกใหม่และดีที่สุดที่คุณจะได้ดูในปีนี้ครับ
*ซีซั่น 2 ได้รับการยืนยันแล้ว และ Gilligan วางแผน 4 ซีซั่นไว้ตั้งแต่ต้น เรื่องนี้น่าจะมีอะไรอีกเยอะที่จะบอกเล่าครับ