รีวิวซีรีส์ The Studio apple TV+ เสียบวงการฮอลลีวูดแบบไม่มีกั๊ก พร้อมดาราตัวจริงร่วมแกงตัวเอง

The Studio
Summary
ซีรีส์ตลกเสียดสีวงการหนังฮอลลีวูดและสตรีมมิ่งด้วยกันเองก็ไม่เว้น ด้วยเรื่องราวที่สนุก ตลก แปลกใหม่กับปัญหาจากเบื้องหลังจริงในวงการที่ออกมาแตกต่างกันไปแต่ละตอน สะท้อนความเป็นจริงของวงการอย่างเจ็บปวด โดยมีแขกรับเชิญเป็นดารากับผู้กำกับดังมาเล่นปล่อยมุกแกงตัวเองจริงๆ แบบไม่แคร์เลยว่าฉันเป็นของฉันแบบนี้ แต่มันก็ทำให้เห็นว่านี่คือแพสชั่นอันแรงกล้าของเหล่าคนเบื้องหลังความบันเทิงให้ผู้ชมอย่างเราดู ซึ่งถ้าใครชอบตามข่าววงการฮอลลีวู้ดก็จะเก็ททุกมุกที่เรื่องนี้หยิบมาเล่น แต่ถ้าใครไม่ได้ตามข่าวพวกนี้ก็คงไม่เก็ทตามไม่ทัน จนดูแล้วก็อาจจะไม่สนุกอย่างที่ทุกสำนักตอนนี้เชียร์สุดใจให้ดูกัน แต่ก็ขอยืนยันว่านี่เป็นซีรีส์ของดีจริง แบบแมสในวงกว้างที่แอปเปิลอุตส่าห์งัดออกมาจนได้ครับ!
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- ล้อเลียนวงการบันเทิงอเมริกาได้อย่างเจ็บแสบ
- ถ่ายทำด้วยลองเทคทุกตอน
- เอานักแสดงตัวจริงมาแกงตัวเอง
- เรื่องสั้นตอนละประมาณครึ่งชั่วโมง
Cons
- ถ้าไม่ได้ตามข่าวฮอลลีวู้ดมาจะไม่เก็ทมุกเลย
- ตอนจบแผ่วไป
ADBRO
ซีรีส์ “The Studio” apple TV+ 10 ตอนจบซีซั่นแรก แนวตลก เล่าเรื่อง ผู้บริหารสตูดิโอหน้าใหม่ที่เข้ามารับงาน และต้องรับมือกับความกดดันทุกรูปแบบภายในอุตสาหกรรมหนังของฮอลลีวู้ดที่กำลังเต็มไปด้วยปัญหามากมายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รีวิว The Studio apple TV+
ผลงานตลกเสียดสีวงการหนังฮอลลีวูดที่สร้างและกำกับโดย Seth Rogen และยังเล่นเป็นตัวเอกของเรื่องนี้เองด้วย โดยมีความยาวตอนละประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งไม่ยาวมากดูจบง่าย อีกทั้งยังถ่ายทำทุกตอนด้วยฉากลองเทคต่อเนื่องแทบทุกฉากทั้ง 10 ตอนกันเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่เรื่องทำได้โดดเด่นกว่านั้นก็คือการเล่าเรื่องเสียดสีวงการบันเทิงฮอลลีวู้ดที่แตกต่างกันทุกตอน โดยเนื้อเรื่องเล่าถึง Matt Remick ผู้บริหารสตูดิโอสมมติ Continental ที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าสตูดิโอและต้องรับมือกับความกดดันทั้งด้านการค้าและศิลปะภายในอุตสาหกรรมหนัง ซึ่งเขาก็ไม่เคยเจอสิ่งนี้มาก่อนแม้จะมีตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างมานาน ทำให้ทุกตอนมีธีมการเล่าเรื่องว่า “วันนี้จะต้องรับมือกับอะไร?” ซึ่งแต่ละตอนก็จะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงยากเย็นแสนเข็ญมาก อย่างเช่นตอนแรกคือการสร้างหนังเลียนแบบบาร์บี้โดยเปลี่ยนมาเป็นคูลเอด ซึ่งก็คือน้ำหวานคนจนของอเมริกาเขา อารมณ์ประมาณน้ำอัดลมสีของเราที่เลียนแบบแบรนด์ต่างประเทศ แล้วต้องให้ขวดน้ำอัดลมนี่กลายเป็นตัวละครเล่าเรื่องให้ได้ ซึ่งโจทย์นี้เขาต้องทำเพราะรับตำแหน่งนี้มาเพื่อสร้างเรื่องนี้ให้ได้ แล้วคนที่จะมารับงานคือ ผู้กำกับ “มาร์ติน สกอเซชี่” แถมยังเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของเขาอีก โดยที่เขาคิดทำหนังสารคดีฆ่าตัวตายหมู่ดังของอเมริกา ก็เลยต้องเอาสองอย่างนี้มาผสมกัน ซึ่งไอ้โจทย์แบบนี้แหละที่เรื่องนี้คิดมามันคือบ้าบอคอแตกมาก เป็นแนวประชดจิกกัดเปิดโปงเรื่องจริงอย่างแสบสุดๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงที่มันเป็นไปได้ด้วย เพราะฮอลลีวู้ดเองก็ชอบทำแบบนี้บ่อยๆ ไป ซึ่งผู้ชมก็จะได้เห็นเบื้องหลังวิธีคิดเพี้ยนๆ เพื่อสร้างสรรค์งานแบบนี้ออกมา โดยที่ตัวเอกต้องทะเลาะเบาะแว้งหรือทำป่วนไปกับทีมงานในสตูดิโอไปเรื่อย โดยแต่ละเรื่องก็จะเป็นสิ่งที่คนตามข่าวฮอลลีวู้ดคงเคยได้ยินมา อย่าง ปัญหา AI สร้างกราฟิกแทนคน การใส่คนดำลงไปแบบไม่เหยียด การที่ดาราอยากได้รางวัลแต่ทำเงียบเหมือนไม่สน (จริงๆ สนชิบหาย!) การถ่ายฟิล์มกับดิจิตอล สตรีมมิ่งกับโรงหนัง หนังมาร์เวล ฯลฯ ซึ่งถ้าคนตามเบื้องหลังวงการมาก็จะ “สนุกมว๊ากๆๆๆ” ได้หัวเราะฮากันทุกตอน แต่ถ้าไม่ได้ตามก็จะงงๆ ตามมุกไม่ทันได้เหมือนกัน เรียกว่าเข้าไม่ถึงสิ่งที่เรื่องนี้อยากให้ตลกได้ก็ต้องรู้ที่มาของธีมที่เขายกมาเล่นในแต่ละตอนก่อน ซึ่งจุดนี้มันก็ค่อนข้างถือว่ายากเลยสำหรับผู้ชมที่อาจจะชินกับการดูสตรีมมิ่งมากกว่าหนังโรงครับ
นอกจากนี้แล้วนักแสดงรับเชิญในแต่ละตอนยังเป็นคนดังในวงการจริงๆ ที่มาเล่นเป็นตัวเองในบทบาทสมมุติจริงด้วยทั้งนั้น อย่าง Martin Scorsese, Charlize Theron, Zac Efron, Zoë Kravitz, Greta Lee, Ron Howard, Ice Cube, Aaron Sorkin, Zack Snyder หรือแม้แต่ Ted Sarandos ซีอีโอ Netflix ก็มาร่วมแสดงด้วย แถมยังเปิดเผยความลับด้วยว่าทำไมนักแสดงทุกคนพูดชื่อขอบคุณเขาบนเวทีกันหมด ซึ่งมันฮามากๆ ซึ่งซีรีส์นำเสนอด้านมืดและแง่มุมตลกของตัวละครที่มาจากคนจริงๆ รวมตัวกันมาปล่อยมุกแกงตัวเองล้วนๆ และเต็มไปด้วยอีโก้ของตัวเองที่แผ่ออกมาชัดมาก แต่ก็มี passion ที่แรงกล้าในการผลักดันให้หนังออกมาให้ดีที่สุด ทั้งนี้ “The Studio” ไม่ได้มองวงการหนังด้วยสายตาหม่นมืดจนเกินไป แต่ยังแฝงความรักและศรัทธาในอุตสาหกรรมนี้เอาไว้ด้วยครับ
และไม่ใช่แค่ล้อเลียนฮอลลีวู้ด ซีรีส์ยังจิกกัดพวกสตรีมมิ่งด้วยกันเองเพิ่มไปอีก อย่างกรณีของ Amazon ที่ซื้อค่าย MGM ไป ในมุมคนทั่วไปคงไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากการเทคโอเวอร์บริษัท แต่ซีรีส์เอาเรื่องนี้มาล้อเลียนได้ในมุมลึกกว่านั้นถึงความหายนะของวงการหนังฮอลลีวู้ดที่บริษัทเทคโลยีมากลืนกินค่ายหนังได้ง่ายๆ ซึ่งตอนผู้เขียนดูก็แปลกใจว่าเฮ้ย พุดชื่อกันตรงๆ ข้ามค่ายแบบนี้ไม่มีปํญหาเหรอ แต่พอดูครีเอเตอร์ร่วมสร้าง Evan Goldberg กลับเป็น executive producer ของ The Boys ซีรีส์เรือธงของ prime เอง ซึ่งก็เอาโฮมแลนเดอร์มาล้อเล่นในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นผลงานที่ปลดปล่อยของคนเบื้องหลังวงการบันเทิงอเมริกาจริงๆ
ตัวเรื่องแยกกันเป็นตอนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งอาจจะดูแปลกสำหรับการเป็นซีรีส์ที่เห็นแต่คนเริ่มทำหนัง แต่กลับไม่มีผลลัพธ์ให้เห็น แต่เรื่องก็เอาทุกตอนมาสรุปในช่วง 3 ตอนท้ายว่ามีต่อ อย่างโปรเจ็กต์คูลเอดออกมาจริงๆ จะเป็นไง ซึ่งแม้เรื่องจะจบแผ่วไปหน่อย แล้วก็ไม่ได้ทิ้งอะไรค้างคาไว้มาก แต่แอปเปิลก็ประกาศให้ได้ทำซีซั่น 2 ต่อแล้วครับ
สรุปแล้ว “The Studio” คือซีรีส์ตลกเสียดสีวงการหนังฮอลลีวูดและสตรีมมิ่งด้วยกันเองก็ไม่เว้น ด้วยเรื่องราวที่สนุก ตลก แปลกใหม่กับปัญหาจากเบื้องหลังจริงในวงการที่ออกมาแตกต่างกันไปแต่ละตอน สะท้อนความเป็นจริงของวงการอย่างเจ็บปวด โดยมีแขกรับเชิญเป็นดารากับผู้กำกับดังมาเล่นปล่อยมุกแกงตัวเองจริงๆ แบบไม่แคร์เลยว่าฉันเป็นของฉันแบบนี้ แต่มันก็ทำให้เห็นว่านี่คือแพสชั่นอันแรงกล้าของเหล่าคนเบื้องหลังความบันเทิงให้ผู้ชมอย่างเราดู ซึ่งถ้าใครชอบตามข่าววงการฮอลลีวู้ดก็จะเก็ททุกมุกที่เรื่องนี้หยิบมาเล่น แต่ถ้าใครไม่ได้ตามข่าวพวกนี้ก็คงไม่เก็ทตามไม่ทัน จนดูแล้วก็อาจจะไม่สนุกอย่างที่ทุกสำนักตอนนี้เชียร์สุดใจให้ดูกัน แต่ก็ขอยืนยันว่านี่เป็นซีรีส์ของดีจริง แบบแมสในวงกว้างที่แอปเปิลอุตส่าห์งัดออกมาจนได้ครับ!