รีวิว A HOUSE OF DYNAMITE (Netflix) จำลองหายนะล้างโลกภายใต้ 19 นาทีได้อย่างสมจริง!
A HOUSE OF DYNAMITE
Summary
หนังจากผู้กำกับหญิง Kathryn Bigelow ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Hurt Locker และ Zero Dark Thirty ที่ยังคงเน้นความสมจริงของสถานการณ์ทางทหาร โดยเรื่องนี้มาในแนวจำลอง 19 นาทีที่ขีปนาวุธนิวเคลียร์กำลังมุ่งหน้ามายังอเมริกา และทำให้เห็นว่าภายใต้เวลาสั้นๆ นี้อเมริกาเตรียมการรับมือยังไง ซึ่งหนังลงละเอียดได้สมจริงมาก ถ่ายทอดเหตุการณ์ 19 นาทีทุกนาทีผ่านหลายมุมมองได้อย่างทรงพลัง และยังกระทั่งความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ทั้งจากคนที่ฝึกมามากแค่ไหนก็ไม่เคยเจอสถานการณ์จริงกันทุกคน รวมถึงปัญหาหลักของวอชิงตันเองที่ใช้วิธี “เขียนเสือให้วัวกลัว” มาตลอด จนมีเหตุการณ์จริงกลับพึ่งรู้ว่าหยุดหายนะนี้ไม่ได้ ซึ่งหนังมุ่งตรงไปยังประเด็นศีลธรรมต่อมนุษยชาติที่ประธานาธิบดีสหรัฐต้องตัดสินใจตอบโต้กลับไปยังทุกชาติในโลกที่มีนิวเคลียร์ เป็นเหมือนบทสุดท้ายของสงครามที่ถูกเขียนไว้ชัดกระทั่งเป็นเมนูให้ประธานาธิบดีต้องเลือกอย่างน่าขมขื่น แต่ถ้าใครไม่ชอบหนังที่เน้นแต่บทสนทนากับสถานการณ์จำลองโดยไม่มีฉากสงครามจริงก็คงผิดหวังกับตอนจบปลายเปิดของเรื่องนี้ครับ
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- สะท้อนโลกการเมืองและความเปราะบางของระบบสั่งการในยุคที่อาวุธสามารถทำลายทุกสิ่งได้ในเสี้ยวนาที
- เสียงดนตรีกับตัดต่อทำให้จังหวะหนังตึงเครียด
- งานโปรดักชันเรียบหรู
- บทพูดสมจริง เน้นน้ำหนักอารมณ์มากกว่าการอธิบายเชิงเทคนิค.
Cons
- โครงสร้างวนซ้ำ ทำให้หลังๆ ดูไม่แปลกใหม่
- ตอนจบทิ้งความกำกวมแบบเปิดปลาย
ADBRO
A HOUSE OF DYNAMITE ยุทธศาสตร์ อำนาจ ล้างโลก ภาพยนตร์ Original Netflix ภาพยนตร์แนวระทึกขวัญการเมือง–จิตวิทยาจาก Kathryn Bigelow ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Hurt Locker และ Zero Dark Thirty เมื่อสหรัฐอเมริกาถูกยิงโจมตีด้วยขีปนาวุธไม่ทราบที่มาลูกหนึ่ง ภารกิจไล่ล่าตัวคนผิดและกู้วิกฤติแข่งกับเวลาจึงเปิดฉากขึ้น
รีวิว A HOUSE OF DYNAMITE
เรื่องเกิดขึ้นระหว่างสถานการณ์วิกฤตระดับโลก เมื่ออเมริกาตรวจจับได้ว่ามีขีปนาวุธนิวเคลียร์กำลังมุ่งหน้าสู่สหรัฐอเมริกา รัฐบาลมีเวลาเพียง 19 นาที ในการตัดสินใจตอบโต้ ภาพยนตร์แบ่งออกเป็นสามส่วน โดย รีเซ็ตเวลา 19 นาทีเดิม ซ้ำสามครั้ง ผ่านสามมุมมอง — ทางการทหาร, ฝ่ายการเมือง, และประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งทั้ง 3 มุมมองนี้ก็ใช้บทสนทนาร่วมกัน โดยมีการเพิ่มมุมมองของแต่ละฝ่ายเข้าไปให้เห็นรายละเอียดวิธีการรับมือที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละมุมมองจะค่อยๆ เผยข้อมูลใหม่ที่บีบหัวใจมากขึ้น และสะท้อนการตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนชะตาของมนุษย์ชาติทั้งโลกได้
ด้วยความที่หนังทั้งเรื่องนี้เน้นไปที่บทสนทนาการรับมือกับขีปนาวุธนิวเคลียร์ล้วนๆ จึงไม่มีฉากสงครามหรือฉากระเบิดนิวเคลียร์ลงให้เห็น ซึ่งถ้าใครรอดูตรงนี้เมื่อเทียบกับผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับที่เน้นความสมจริงของปฏิบัติการล่าบินลาเดนก็คงผิดหวัง
แต่ความดีงามของเรื่องนี้ก็คือ นี่เป็นหนังที่เน้นเล่าเรื่องราวของสงครามที่มีโอกาสจะเกิด แต่ไม่เคยเกิดขึ้นมาจริง ให้มันดูสมจริง ซึ่งมันแปลกใหม่มากในแง่ขั้นตอนการเล่าเรื่องที่กระชับวนไปมาเพียง 19 นาที โดยก็ใช้งบการถ่ายทำที่ต่ำสมกับทุนสตรีมมิ่งได้อย่างลงตัว โดยหนังได้ลงรายละเอียดขั้นตอนการเตรียมตัวรับมือขีปนาวุธนิวเคลียร์ให้ได้เห็นกันอย่างน่าทึ่งว่าอเมริกาคิดและเตรียมอะไรไว้บ้าง ซึ่งไม่เคยมีเรื่องไหนลงรายละเอียดสมจริงแบบนี้มาก่อน และขั้นตอนปฏิบัติการนี้ก็ไม่เคยถูกนำมาใช้จริง มีเพียงแค่การอ้างอิงข้อมูลจากทำเนียบขาว
ตัวเรื่องได้สร้างอารมณ์ความตรึงเครียดให้สมจริงมากยิ่งขึ้นเมื่อทุกคนเริ่มรู้แล้วว่าการรับมือจริงนั้นไม่เหมือนที่ซ้อมกันมาเป็นพันๆ ครั้ง ทุกคนต่างมีความผิดพลาดในสถานการณ์จริงได้ เรื่องไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จากวันชิลๆ ของทุกคน กลายเป็นหายนะวันสิ้นโลกที่ทุกคนหมดหวัง ซึ่งนักแสดงแต่ละช่วงก็งัดปล่อยของกันอย่างเต็มที่ โดยมี Rebecca Ferguson เป็นคนเปิดเรื่องด้วยหัวหน้าที่ปรึกษาความมั่นคงที่แข็งแกร่งแต่เปราะบาง ในช่วงเวลาสุดท้ายที่ใกล้หมดหวังเธอก็ยังโทรหาสามีกับลูกให้หนีไปโดยที่ไม่ได้แจ้งว่าหนีอะไร Gabriel Basso รับบทเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ต้องสื่อสารกับรัสเซียเพื่อให้ได้ข้อมูลยืนยันว่าใครยิงให้ประธานาธิบดีรับมือได้ถูก แต่ก็พบกับสถานการณ์ที่ต้องจนแต้มกับการหาคำตอบให้ผู้นำประเทศ ในขณะที่ Idris Elba รับบทประธานาธิบดีที่ต้องเลือกระหว่างศีลธรรมกับหน้าที่ โดยมีคนข้างเคียงเขาที่คอยถือกระเป๋าติดตามไปตลอด ซึ่งนี่น่าจะเป็นเรื่องแรกที่ลงรายละเอียดให้เห็นว่าในกระเป๋าใบนั้นมีอะไร และมันก็เป็นเมนูฝันร้ายที่ประธานาธิบดีสหรัฐต้องเลือกให้โลกใบนี้
ตัวหนังยังถ่ายทอดปัญหาของอเมริกาออกมาตรงๆ ผ่านบทสนทนาที่เจรจาพูดคุยกันไปมาทำให้ผู้ชมเริ่มเข้าใจว่า หลายๆ อย่างที่อเมริกาเตรียมไว้ก็เหมือน “การเขียนเสือให้วัวกลัว” ทำให้โลกเข้าใจว่าอเมริกาเตรียมพร้อมอย่างแข็งแกร่งมาก แต่ระบบต่อต้านขีปนาวุธจริงๆ ก็ไม่ได้แม่นยำเทียบกับงบที่ลงไปมหาศาล เพราะนี่คือ “การหยุดกระสุนด้วยกระสุน” เหมือนกรณีไอรอนโดมของอิสราเอลที่โดนอิหร่านยิงถล่มจนเละเหมือนกัน และปัญหาสำคัญคือการที่อเมริกาสะสมอาวุธเหมือนสร้าง “บ้านแห่งระเบิดเวลา” โดยมีกำแพงระบบป้องกันครบครัน แต่ตัวเองกลับติดอยู่ในบ้านนั้น ซึ่งก็เหมือนการฆ่าตัวตายเองมานานแล้ว ซึ่งมันก็คือปัญหาโครงสร้างอำนาจในวอชิงตันเองด้วย
สรุป
หนังจากผู้กำกับหญิง Kathryn Bigelow ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Hurt Locker และ Zero Dark Thirty ที่ยังคงเน้นความสมจริงของสถานการณ์ทางทหาร โดยเรื่องนี้มาในแนวจำลอง 19 นาทีที่ขีปนาวุธนิวเคลียร์กำลังมุ่งหน้ามายังอเมริกา และทำให้เห็นว่าภายใต้เวลาสั้นๆ นี้อเมริกาเตรียมการรับมือยังไง ซึ่งหนังลงละเอียดได้สมจริงมาก ถ่ายทอดเหตุการณ์ 19 นาทีทุกนาทีผ่านหลายมุมมองได้อย่างทรงพลัง และยังกระทั่งความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ทั้งจากคนที่ฝึกมามากแค่ไหนก็ไม่เคยเจอสถานการณ์จริงกันทุกคน รวมถึงปัญหาหลักของวอชิงตันเองที่ใช้วิธี “เขียนเสือให้วัวกลัว” มาตลอด จนมีเหตุการณ์จริงกลับพึ่งรู้ว่าหยุดหายนะนี้ไม่ได้ ซึ่งหนังมุ่งตรงไปยังประเด็นศีลธรรมต่อมนุษยชาติที่ประธานาธิบดีสหรัฐต้องตัดสินใจตอบโต้กลับไปยังทุกชาติในโลกที่มีนิวเคลียร์ เป็นเหมือนบทสุดท้ายของสงครามที่ถูกเขียนไว้ชัดกระทั่งเป็นเมนูให้ประธานาธิบดีต้องเลือกอย่างน่าขมขื่น แต่ถ้าใครไม่ชอบหนังที่เน้นแต่บทสนทนากับสถานการณ์จำลองโดยไม่มีฉากสงครามจริงก็คงผิดหวังกับตอนจบปลายเปิดของเรื่องนี้ครับ