รีวิว Frankenstein แฟรงเกนสไตน์ Netflix ของ กีเยร์โม เดล โตโร ที่เหงาอบอุ่นกว่าต้นฉบับ แต่ไม่ได้ดีกว่า…
Frankenstein
Summary
หนังแฟรงเกนสไตน์ของผู้กำกับ กีเยร์โม เดล โตโร ที่มีโครงสร้างเดียวกับต้นฉบับนิยายเมื่อ 200 ปีก่อนมาก แต่ดัดแปลงเพิ่มอารมณ์ความรักความเหงาอบอุ่นมากกว่าความแค้นกราดเกรี้ยว แบบเดียวกับ The Shape of Water แต่น่าเสียดายตรงที่มันก็มีข้อบกพร่องจากเรื่องความรักนี้เช่นกัน เมื่อเรื่องราวมันกระโดดข้ามความสัมพันธ์ที่ให้เวลามาน้อยเกินไปจนไม่สมเหตุผล และเวลาในการเดินเรื่องที่ยาวนานถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ทำให้ในหลายฉากเรื่องค่อนข้างยืดยาวมาก จนค่อนข้างน่าเบื่อกับการปูเรื่องเล่าตามโครงสร้างเดิมที่ทำกันมามากมายหลายเวอร์ชั่นแล้ว อีกทั้งตัวสัตว์ประหลาดที่ถูกรีดีไซน์ใหม่ต่างจากภาพเดิมๆ หัวเหลี่ยมมีตะปูที่เคยใช้กัน มาเป็นภาพเหมือน “เอลี่ยนผู้สร้างในหนัง Prometheus” ก็ทำให้ขาดความแปลกใหม่ ไม่น่าจดจำ แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่ร่วมสมัยแล้วก็เก็บประเด็นมนุษย์ท้าทายพระเจ้าจนส่งผลร้ายต่อตัวเองได้ดีเหมือนเดิมครับ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- ผลงานของผู้กำกับ กีเยร์โม เดล โตโร
- ดัดแปลงให้เบาลงเน้นความรัก
- ตอนจบเปลี่ยนแปลงไป
- มีพากย์ไทย
Cons
- เรื่องยาวไปจนยืดเยื้อ
- ประเด็นความรักอลิซาเบธกับสัตว์ประหลาดพัฒนาไวไป
- ดีไซน์สัตว์ประหลาดไม่ใหม่พอ
ADBRO
Frankenstein แฟรงเกนสไตน์ ภาพยนตร์ Original Netflix ของ กีเยร์โม เดล โตโร ผู้กำกับดีกรีออสการ์ ดัดแปลงผลงานคลาสสิกของแมรี เชลลีย์ กับเรื่องราวของวิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ชาญฉลาดแต่หยิ่งยโส เขาชุบชีวิตสัตว์ประหลาดขึ้นมาจากการทดลองสุดสยอง ซึ่งท้ายที่สุดได้นำความหายนะมาให้ทั้งผู้สร้างและผลงานสร้างสรรค์อันน่าเศร้าของเขา
รีวิว Frankenstein แฟรงเกนสไตน์
หนังแฟรงเกนสไตน์อีกเรื่องที่ความน่าสนใจตรงที่ได้ผู้กำกับมือทองในแนวหนังที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดทกุแบบตั้งแต่ สยองขวัญดั้งเดิม อย่าง Mimic แนวซูเปอร์ฮีโร่ Hellboy กับ Blade แนวแอ็กชั่น Pacific Rim แนวดราม่า Pan’s Labyrinth กับ The Shape of Water ที่ได้ออสการ์ไปจากเรื่องนี้ ซึ่งแฟรงเกนสไตน์นิยายคลาสสิคอายุ 200 ปีนี้ก็เป็นผลงานนิยายที่เขาอยากทำมานานแล้ว นี่เลยเป็นโปรเจ็กต์ที่ดูแล้วลงล็อคน่าสนใจว่าเขาจะทำมันออกมาในสไตล์ของตัวเองได้ยังไง ซึ่งผลลัพธ์ก็คือการเล่าเรื่องราวโดยคงโครงเรื่องต้นฉบับนิยายดั้งเดิมไว้ แต่ดัดแปลงมาเป็นโทนดราม่าเหงาๆ อบอุ่นสไตล์เดิมของเขานั่นเอง
โครงเรื่องดั้งเดิมก็คือ เรื่องซ้อนเรื่อง โดยเริ่มจากนักสำรวจชาวอังกฤษที่เดินเรือไปขั้วโลกเหนือพบเจอกับวิคเตอร์ผู้สร้างแฟรงเกนสไตน์ และก็ได้ฟังเขาเล่าเรื่องตัวประหลาดที่เขาสร้างขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้เขามาอยู่ที่ขั้วโลกเหนือนี่ โดยมีตอนจบที่ทั้งคู่ตายตามกันอย่างหดหู่
ในหนังเรื่องนี้ก็ยังคงเส้นเรื่องแบบเดิมไว้แทบทั้งหมด แต่เปลี่ยนรายละเอียดย่อยให้แตกต่างกัน อย่างการเพิ่มนายทุน Harlander (รับบทโดย Christoph Waltz) เข้ามาในช่วงแรก แต่ก็ไม่ได้มีผลทำให้เรื่องเปลี่ยนไปนัก เอาจริงๆ ตัวละครนี้ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องแปลกใหม่ขึ้นเพราะก็ยังมาด้วยพล็อตเดิมๆ คือนายทุนต้องการหาทางมีชีวิตอมตะจากโรคร้ายที่กำลังรุมเร้าเขาอยู่แค่นั้น แต่เขาก็เป็นตัวละครที่เชื่อมให้เรื่องราวของ “อลิซาเบธ” เปลี่ยนแปลงไปเป็นหลานที่กำลังแต่งงานกับน้องชายของวิกเตอร์ ต่างจากต้นฉบับดั้งเดิมที่เป็นคู่หมั้นกับเขา ซึ่งการเปลี่ยนเรื่องราวนี้ก็ทำให้ปมรวดร้าวในการใช้ชีวิตที่ผิดพลาดของวิกเตอร์เพิ่มมากขึ้น เพราะเวอร์ชั่นนี้คือเขาหลงรักอลิซาเบธ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ แม้จะมีเยื่อใยว่าเธอก็สนใจเขา แต่ก็เลือกน้องชายวิกเตอร์มากกว่า แล้วก็กลายเป็นความเคียดแค้นต่อแฟรงเกนสไตน์เมื่อสุดท้ายเธอก็ตายเพราะสิ่งที่เขาสร้างขึ้น แถมยังรักมันมากกว่าเขาอีก ซึ่งแตกต่างกับต้นฉบับที่เธอกับแฟรงเกนสไตน์ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
สิ่งที่หนังเปลี่ยนแปลงไปทำให้ดูเป็นหนังรักมากขึ้น แล้วก็ยังคงประเด็นมนุษย์ท้าทายพระเจ้าแบบโพรมีธีอัสสร้างสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากความตายและตายไม่ได้ จนทำให้เกิดปัญหากลับมายังตัวผู้สร้างเอง ทำให้เรื่องราวดูทันสมัยมากขึ้น นี่เลยไม่ใช่แนวสัตว์ประหลาดที่มีความแค้นสิ้นหวังแบบต้นฉบับเพียงอย่างเดียว แต่เป็นไปในแบบที่สิ่งมีชีวิตนี้โหยหาคนมาเข้าใจ ซึ่งก็มีอลิซาเบธที่เข้าใจในตัวเขาตั้งแต่แรกพบ ลุงตาบอดในกระท่อมที่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวและเป็นคนสอนเขาอ่านหนังสือจนมีความรู้ขึ้นมา ต่างกับวิคเตอร์ที่ไม่เข้าใจการเลี้ยงดูสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่งนี่เป็นประเด็นที่ทำให้อลิซาเบธตัดใจจากเขาจนมาถึงการโกรธแค้นที่วิกเตอร์เผาปราสาทเพื่อฆ่าสิ่งมีชีวิตที่เธอพยายามปกป้องตั้งแต่แรกพบ จนกลายเป็นความฝังใจที่นำไปสู่จุดจบของเธอเอง ซึ่งหนังได้เน้นย้ำประเด็นที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ค่อนข้างมาก เมื่อทุกคนที่วิคเตอร์รักกลับพบจุดจบจากสิ่งที่เขาสร้างขึ้น ในขณะที่สิ่งมีชีวิตนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครเลย ซ้ำยังถูกป้ายสีให้เข้าใจผิดอีก จนเป็นความขัดแย้งไล่ล่ากันมานานจนถึงเรือในตอนแรกเริ่มแบบเดียวกัน ซึ่ง กีเยร์โม เดล โตโร ก็ได้สร้างแฟรงเกนสไตน์ในแบบของตัวเองที่ไม่ได้ต่างไปจาก The Shape of Water โดยเขาเคยกล่าวไว้ว่า “Mary Shelley เขียนเรื่องของชายที่สร้างสิ่งมีชีวิตและทอดทิ้งมัน ส่วนผม เขียนเรื่องของหญิงสาวที่พบสิ่งมีชีวิตและมอบความรักให้มัน” ซึ่งคราวนี้เขาก็เลือกถ่ายทอดเรื่องราวของแฟรงเกนสไตน์ในตอนจบแบบเดียวกันที่อบอุ่นงดงามต่างกับต้นฉบับ ซึ่งผู้ชมยุคใหม่น่าจะชื่นชอบเวอร์ชั่นนี้ที่มีความหวังงดงามในการมีชีวิตอยู่มากกว่าความตายที่ตัวละครในต้นฉบับหวังไว้ (ต้นฉบับตั้งใจเผาตัวเองตายตามวิกเตอร์ไป)
แต่ด้วยความที่ตัวเรื่องดัดแปลงมาโดยพยายามคงโครงเรื่องไว้ด้วย หนังในช่วงครึ่งแรกที่สร้างสิ่งมีชีวิตนี้ขึ้นมาก็มีเวลาเล่าก็ค่อนข้างกลมกล่อมลงตัว แต่พอครึ่งหลังที่พยายามเน้นเรื่องความรักของวิกเตอร์และอลิซาเบธกับสิ่งมีชีวิตนี้ค่อนข้างรวบรัดไปไวมาก จนทำให้ดูแล้วไม่อินกับเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นเลย แม้เรื่องจะพยายามทำให้เข้าใจว่าอลิซาเบธเป็นหญิงสาวผู้มองโลกแปลกแตกต่างไปจากคนปกติมาก แต่หนังก็ไม่ได้ให้เวลาจูนพัฒนาความสัมพันธ์นี้มากพอสู่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง จนทำให้ประเด็นนี้ขาดอารมณ์ร่วมไปอย่างน่าเสียดาย
และด้วยความที่หนังทำลงสตรีมมิ่งเวลาไม่จำกัดแบบฉายโรง ผู้กำกับก็เลยเหมือนได้ปล่อยของทำเวอร์ชั่นยาวแบบไม่ตัดอะไรเลย หนังยาวถึง 2 ชั่วโมง 32 นาที ทำให้หลายช่วงของหนังเยิ่นเย้อมากโดยไม่จำเป็นและลดทอนความน่าติดตามลงไปมากด้วยเช่นกัน
ส่วนดีไซน์ของสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ประหลาดเวอร์ชั่นนี้ก็มีการรีดีไซน์ใหม่เป็นแบบของผู้กำกับ แต่ก็ดันไปคล้ายกับตัวละครผู้สร้างในหนัง Prometheus ที่คนยักษ์สูงขาว ก่อนที่ภายหลังจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนปกติที่มีแผลตามตัวเท่านั้น ทำให้จุดขายการดีไซน์สัตว์ประหลาดเรื่องนี้ดูเฉยๆ มาก
สรุป
หนังแฟรงเกนสไตน์ของผู้กำกับ กีเยร์โม เดล โตโร ที่มีโครงสร้างเดียวกับต้นฉบับนิยายเมื่อ 200 ปีก่อนมาก แต่ดัดแปลงเพิ่มอารมณ์ความรักความเหงาอบอุ่นมากกว่าความแค้นกราดเกรี้ยว แบบเดียวกับ The Shape of Water แต่น่าเสียดายตรงที่มันก็มีข้อบกพร่องจากเรื่องความรักนี้เช่นกัน เมื่อเรื่องราวมันกระโดดข้ามความสัมพันธ์ที่ให้เวลามาน้อยเกินไปจนไม่สมเหตุผล และเวลาในการเดินเรื่องที่ยาวนานถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ทำให้ในหลายฉากเรื่องค่อนข้างยืดยาวมาก จนค่อนข้างน่าเบื่อกับการปูเรื่องเล่าตามโครงสร้างเดิมที่ทำกันมามากมายหลายเวอร์ชั่นแล้ว อีกทั้งตัวสัตว์ประหลาดที่ถูกรีดีไซน์ใหม่ต่างจากภาพเดิมๆ หัวเหลี่ยมมีตะปูที่เคยใช้กัน มาเป็นภาพเหมือน “เอลี่ยนผู้สร้างในหนัง Prometheus” ก็ทำให้ขาดความแปลกใหม่ ไม่น่าจดจำ แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่ร่วมสมัยแล้วก็เก็บประเด็นมนุษย์ท้าทายพระเจ้าจนส่งผลร้ายต่อตัวเองได้ดีเหมือนเดิมครับ