รีวิว IT: Welcome to Derry (HBO) พรีเควลที่ทำออกมาโหดหลอนขึ้นหิ้งมากกว่าต้นฉบับ!
IT: Welcome to Derry
Summary
IT: Welcome to Derry เป็นมากกว่าพรีเควล ขยายจักรวาลให้ลึกและมืดกว่าเดิม พร้อมความสยองสุดบ้าคลั่งจากฉากที่รุนแรงกว่าภาพยนตร์ Bill Skarsgård กลับมารับบท Pennywise ในมุมมองใหม่พร้อมเผยที่มาก่อนจะเป็นตัวตลก กลุ่มตัวละครเด็กและผู้ใหญ่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์ได้แนบเนียนเพราะผู้กำกับคนเดียวกัน
ซีรีส์ยังคงโทนเรื่องที่เต็มไปด้วยมิตรภาพของเด็กๆ ท่ามกลางความสยองขวัญผสมจิตวิทยาที่เกาะกุมจิตใจ จนพวกเขาต้องลุกขึ้นสู้เหมือนในภาพยนตร์ แต่จบเรื่องราวในยุคนี้ได้ทรงพลังกว่า และต่อยอดโลกของเรื่องออกไปเกินคาดมาก ซึ่งซีรีส์พิสูจน์แล้วว่าเมืองเดอร์รีไม่ใช่แค่ฉากหลังของความสยอง แต่ทั้งเมืองคือหัวใจของฝันร้ายทั้งหมด เป็นงานพรีเควลที่ยืนได้ด้วยตัวเอง ในระดับที่ยกให้เป็นซีรีส์แห่งปี ห้ามพลาดครับ
Overall
10/10User Review
( votes)Pros
- สยองขวัญรุนแรงกว่าหนัง
- เชื่อมต่อกับ IT ทั้ง 2 ภาคได้แนบเนียน
- ขยายโลกของ IT ให้ไปไกลกว่าภาพยนตร์
- ดราม่าการแสดงเด็กเยี่ยมยอด
- เต็มไปด้วยอีสเตอร์เอ้กจากจักรวาลของคิง
- มีพากย์ไทย
Cons
- ดัดแปลงบทบางอย่างต่างไปจากภาพยนตร์ทำให้มีจุดขัดกัน (แต่ดีกว่า)
ADBRO
IT: Welcome to Derry ซีรีส์ HBO MAX 8 ตอนจบ แนวสยองขวัญ เรื่องราวต้นกำเนิด Pennywise และความน่ากลัวของเมืองเดอร์รีที่เป็นมากกว่าสิ่งที่เคยเห็นในฉบับภาพยนตร์
รีวิว IT: Welcome to Derry (ไม่สปอยล์)
ถ้าคุณคิดว่าหนัง IT สองภาคน่ากลัวแล้ว ซีรีส์นี้จะพิสูจน์ว่าเดอร์รียังมีความมืดมนให้สำรวจอีกมาก
ย้อนรอยความชั่วร้ายก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มต้น
ซีรีส์พาเราย้อนไปปี 1962 ตามรอบการกลับมาของ Pennywise ทุก 27 ปี เมืองเดอร์รีที่ดูเหมือนเมืองเล็กๆ เงียบสงบ แต่แท้จริงถูกปกคลุมด้วยความชั่วร้าย เรื่องราวไม่ได้โฟกัสแค่กลุ่มเด็กเหมือนในหนัง แต่ขยายไปสู่กลุ่มผู้ใหญ่ โดยเฉพาะทหารผิวสีที่ต้องเผชิญความรุนแรงจากการเหยียดเชื้อชาติในยุคนั้น พร้อมกับการตื่นขึ้นของ Pennywise ที่เริ่มออกล่าเหยื่ออีกครั้ง โดยมีจุดศูนย์กลางคือเหตุการณ์ไฟไหม้คลับ The Black Spot ซึ่งเป็นตำนานที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือต้นฉบับ
ผู้กำกับ Andy Muschietti คนเดิมจากหนังทั้งสองภาคกลับมาดูแลซีรีส์นี้ ทำให้เรื่องราวกลมกลืนแทบไม่มีจุดขัดแย้ง ตัวละครในซีรีส์เชื่อมต่อกับหนังทั้งสองภาคอย่างแนบเนียน มีแก๊งเด็กเวอร์ชันใหม่ควบคู่กับผู้ใหญ่ที่เป็นทหารเข้ามาทำภารกิจลับที่นั่น
จักรวาล Stephen King ที่ขยายออกไป
สิ่งที่ทำให้ซีรีส์พิเศษสำหรับแฟนๆ คือการเชื่อมโยงจักรวาล Stephen King ไว้มากมาย มีอีสเตอร์เอ้กซ่อนอยู่ทั่ว รวมถึงการ Crossover กับ The Shining โดยนำตัวละคร Dick Hallorann ผู้มีพลังพิเศษมาเป็นตัวละครหลัก และยังมีการเล่าเรื่องข้ามยุคสมัยไปยังช่วงเวลาก่อนหน้า ตั้งแต่ยุคกำเนิดเมืองที่มีอินเดียนแดงอาศัยอยู่จนถึงการเข้ามาของคนขาว เผยเสี้ยวของเหตุการณ์ที่จะเล่าต่อในซีซันต่อไป ซึ่งซีซัน 2 กับ 3 ก็จะย้อนกลับไปเรื่อยๆ ตามรอบการตื่นของ Pennywise
ความสยองที่ไม่ปราณีใคร
จุดเด่นของซีรีส์คือความโหดสยองขวัญที่รุนแรงกว่าหนังมาก ตั้งแต่ตอนแรกผู้ชมจะสัมผัสความน่ากลัวสุดบ้าคลั่งที่ไม่ปราณีใคร ซีรีส์ยังคงแนวเดียวกับหนังคือสำรวจความกลัวของตัวละครทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ก่อนจะขุดมันขึ้นมาแปลงเป็นฉากสยองขวัญด้วยจินตนาการเหมือนจริง ไม่จำกัดเวลาหรือสถานที่—กลางวันกลางคืน ที่ไหนก็โดนหลอกหลอนได้หมด
ซีรีส์กล้าฆ่าตัวละครเด็กอย่างไม่ปราณี จนชวนช็อกไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริง เพราะทั้งเรื่องเต็มไปด้วยจินตนาการชวนหลอนจนแยกไม่ออกว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง
มนุษย์น่ากลัวกว่าปีศาจ
ซีรีส์สะท้อนให้เห็นว่าเดอร์รีที่ดูเงียบสงบ แท้จริงเบื้องหลังเต็มไปด้วยความรุนแรง การเหยียด ความรุนแรงในครอบครัว และการ “ทำเป็นไม่เห็น” ของผู้ใหญ่ ค่อยๆ ปูให้เห็นว่า Pennywise ไม่ได้เป็นต้นเหตุของทุกอย่าง แต่เป็นผลลัพธ์ของสังคมที่เน่าเฟะ และใช้ความกลัวของผู้คนเป็นอาหาร
ดราม่าสังคมผสมสยองขวัญเชิงจิตวิทยาทำให้ผู้ชมอึดอัดและกดดันตลอด แม้ในฉากที่ไม่มีปีศาจปรากฏตัวก็ยังรู้สึกขนลุกกับบรรยากาศของเมืองแห่งนี้ ธีมสำคัญของซีรีส์คือ “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจไม่ใช่ตัวตลกปีศาจ แต่คือมนุษย์ด้วยกันเอง”
Pennywise ในมิติใหม่
Bill Skarsgård กลับมารับบท Pennywise ในรูปแบบที่ลึกกว่าเดิม มีมิติตั้งแต่มันยังไม่อยู่ในร่างตัวตลก หากินอยู่ในป่าก่อนจะกลายมาเป็น Pennywise ที่เรารู้จัก ซึ่งก็คือการขยายเรื่องราวจากภาพถ่ายในหนัง IT 2 ที่เบฟไปเจอในบ้านคุณยาย
Skarsgård ยังคงแสดงได้ยอดเยี่ยม ท่าทางการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว มีบทพูดที่แสดงวิธีล่อเหยื่อและกลวิธีทางจิตวิทยามากกว่าพึ่งพา jump scare ตรงๆ ทำให้ความกลัวค่อยๆ เกาะกินจิตใจผู้ชมไปพร้อมกับตัวละคร (แต่กว่าเขาจะปรากฏตัวก็ต้องรอถึงตอน 5)
นักแสดงที่ทำหน้าที่ได้ดี
นักแสดงหน้าใหม่หลายคนทำได้ดี โดยเฉพาะบทเด็กที่ต้องแบกรับทั้งความกลัวจากสิ่งเหนือธรรมชาติและปัญหาจากผู้ใหญ่รอบตัว ตัวละครผู้ใหญ่เองก็ไม่ได้ถูกวาดให้เป็นแค่เหยื่อ แต่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา การพัฒนาตัวละครเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เชื่อมโยงกับเหตุการณ์คุกรุ่นในเมืองที่ปูทางไปสู่วันสุดท้ายของ Pennywise ก่อนมันจะกลับไปจำศีล
ตอนจบที่ยกระดับทุกอย่าง
ตอน 7 เรียกว่าสุดยอดระดับมาสเตอร์พีซ มีครบทุกอารมณ์รวมถึงเรียกน้ำตาผู้ชมได้ ส่วนตอน 8 ตอนสุดท้ายคืองานที่ยกระดับเทียบเท่าภาพยนตร์ และต่อยอดขยายจักรวาลจนซีรีส์เป็นมากกว่าพรีเควลได้อย่างน่าประทับใจ
สรุป
IT: Welcome to Derry เป็นมากกว่าพรีเควล ขยายจักรวาลให้ลึกและมืดกว่าเดิม พร้อมความสยองสุดบ้าคลั่งจากฉากที่รุนแรงกว่าภาพยนตร์ Bill Skarsgard กลับมารับบท Pennywise ในมุมมองใหม่พร้อมเผยที่มาก่อนจะเป็นตัวตลก กลุ่มตัวละครเด็กและผู้ใหญ่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์ได้แนบเนียนเพราะผู้กำกับคนเดียวกัน
ซีรีส์ยังคงโทนเรื่องที่เต็มไปด้วยมิตรภาพของเด็กๆ ท่ามกลางความสยองขวัญผสมจิตวิทยาที่เกาะกุมจิตใจ จนพวกเขาต้องลุกขึ้นสู้เหมือนในภาพยนตร์ แต่จบเรื่องราวในยุคนี้ได้ทรงพลังกว่า และต่อยอดโลกของเรื่องออกไปเกินคาดมาก ซึ่งซีรีส์พิสูจน์แล้วว่าเมืองเดอร์รีไม่ใช่แค่ฉากหลังของความสยอง แต่ทั้งเมืองคือหัวใจของฝันร้ายทั้งหมด เป็นงานพรีเควลที่ยืนได้ด้วยตัวเอง ในระดับที่ยกให้เป็นซีรีส์แห่งปี ห้ามพลาดครับ