playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

[รีวิว] Classic Again – หนังรีเมคอย่างมีระดับ และคลาสสิกสมชื่อ

สรุป

จุดเด่นคือภาพสวย มีการรีเมคอย่างชาญฉลาด เตรียมการมาดี แม้จะรู้เนื้อเรื่องแล้วก็ยังซึ้งมากอยู่ดี

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
4.5 (2 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ภาพสวย
  • เนื้อหากระชับ ทันสมัย
  • เพลงเพราะ
  • นักแสดงดูเหมาะกับบท

Cons

  • มีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในฉาก
  • แอบชอบตอนจบของเกาหลีมากกว่านิดนึง

Classic Again (จดหมาย สายฝน ร่มวิเศษ) – หนังตัวอย่าง

ย้อนกลับไปเมื่อ 17ปีก่อน แม้หนังเกาหลีจะยังไม่ได้ฮิตติดลมบนไปทั่วโลกอย่างทุกวันนี้ ในไทยเอกนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่คอหนังกลุ่มใหญ่ในช่วงนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องเคยรู้จักหนังชื่อ The Classic แรกๆ อาจจะเพราะมีผู้กำกับคนเดียวกับเรื่อง My Sassy Girl หรือชื่อไทยว่า “ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม” อันโด่งดัง แต่ด้วยมุขหักมุมทีเดียว 2 จังหวะและเพลงที่เพราะกินใจแม้จะฟังไม่ออก ก็ทำให้ The Classic เป็นที่จดจำและได้รับการยอมรับว่าเจ๋งจริงๆ วันนี้เมื่อหนังเรื่องนี้ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่โดยค่าย CJ Major (ที่ทำรีเมคมาแล้วมากมายหลายเรื่อง) แน่นอนว่าผมก็คงไม่พลาด เรื่องหน้าขอรีเควสเป็น Calla ได้ไหมนะ อิอิ

ต้นฉบับของเกาหลี ออกฉากเมื่อปี 2003

จะว่ายังไงดี…คืออย่างนี้ครับ สำหรับผมที่เคยดูเวอร์ชั่นต้นฉบับมาแล้ว บอกได้เลยว่า Classic Again นี่ตั้งใจทำเพื่อคนที่เคยดูต้นฉบับมาแล้วแน่นอน ไม่ว่าจะชื่อที่มี Again ต่อท้ายหรือการโปรโมทที่น่าจะทำให้หลายๆ คนสนใจกลับไปรื้อดูเวอร์ชั่นต้นฉบับดูแน่ๆ และอย่างที่ผมบอกไว้ข้างต้น The Classic นั้น “ว้าว” สำหรับผมมากๆ ในตอนใกล้จบที่มีการหักมุมซ้อนกันถึง 2 ครั้งในช่วงเวลาไม่นาน ที่นี้เมื่อผมรู้เรื่องตรงนั้นแล้วถามว่าในเวอร์ชั่นใหม่นี้ ผมยังจะว้าวอีกไหม? ตอบตามความจริง ก็คงไม่… แต่เฮ้ย! ผมโคตรซึ่งเลยอะ แบบอยู่ๆ น้ำตาก็ไหล ไหลแรงด้วยโดยที่ไม่ได้สะอื่นอะไรนะ คือมั่นใจว่าถ้าส่องกระจกอยู่ตอนนั้นหน้าผมคงนิ่งมากแบบไม่ได้ตั้งใจจะร้องให้อะไรเลย แต่หน้าก็เปียกเฉย ทำให้ผมยอมรับทันทีว่า Classic Again นั้นรีเมคได้อย่างมีชั้นเชิงและเตรียมตัวมาดีจริงๆ (ในเรื่องบท) ซึ่งที่ผมพูดมายาวนิดนึงก็ไม่ใช่อะไรหรอก ในย่อหน้าต่อไปผมจะพูดถึงจุดที่ผมเรียกว่า หักมุมซ้อนกันให้ฟัง ซึ่งผมคิดว่าถึงอ่านไปก็ไม่น่าจะมีปัญหากับการดูหนังภาครีเมคนี้ แต่ถ้าใครกังวลก็ข้ามไปแล้วกันนะ (ผมจะทำตัวสีฟ้าไว้)

คือในภาคต้นฉบับ กับรีเมคนั้น มีการปรับปรุงเนื้อหาอยู่พอสมควรทำให้ลำดับของเหตุการณ์อาจจะไม่ตรงกันนัก ซึ่งในภาคต้นฉบับนั้นหนังจะแสดงเรื่องราวความรัก 2 ยุค 2 คู่รักสลับกันไปมาผ่านจดหมายรักของแม่นางเอก และหนังก็พยายามบอกกับเราว่าที่นำเสนออย่างนี้เพราะว่าเหตุการณ์ของ 2 ยุคนั้นคล้ายกันคือ [ในยุคอดีต] พระเอก(จุนฮา)ถูกเพื่อนสนิท(เทโซ)ขอร้องให้เขียนจดหมายรักไปจีบนางเอก(จีแฮ)ให้เขาหน่อย ซึ่งในขณะนั้นจุนฮากับจีแฮแอบชอบกันอยู่แล้ว [ในปัจจุบัน] นางเอกรุ่นลูก(จูฮี – ลูกของจีแฮ)ก็ถูกเพื่อนสนิทขอให้เขียนจดหมายส่งให้พระเอกรุ่นลูก(ซางมิน)เพื่อจีบเหมือนกัน ซึ่งการที่เหตุการณ์คล้ายกันมากๆ นี้เหมือนตั้งใจจะบอกว่า หนังต้องการเปรียบเทียบให้เห็นว่า จีแฮ กับ จูฮี แม่ลูกคู่นี้เหมือนมีพรหมลิขิตที่คล้ายๆ กัน แต่อาจจะต่างกันที่ปัญหาแต่ละยุคอย่างยุคเก่าก็มีปัญหาเรื่องคลุมถุงชน ส่วนยุคใหม่ก็อาจจะมีปัญหาด้านที่ต่างออกไป แต่พอเรื่องราวมใกล้จะจบ หักมุมแรกก็เกิด สรุปคือนาง จีแฮ ไม่ได้สมหวังในรักกับ จุนฮา คือจุนฮาไม่ใช่พ่อของจูฮีซะงั้น แต่เป็น เทโซ แทน (แต่เอาจริงๆ ก็คงมีบางคนพอเดาได้ระหว่างดูแหละ) ส่วนหักมุมที่ 2 ในตอนที่ไล่เลี่ยกันก็คือ เมื่อ จูฮี ตัดสินใจคบหากับ ซางมิน แล้ว ก็เลยเล่าเรื่องแม่ของเธอให้ซางมินฟัง พอซางมินได้ฟังความรักที่ไม่สมหวังของแม่จูฮีจบก็ร้องไห้ออกมาใหญ่ แล้วก็หยิบสร้อยของแทนใจของจีแฮที่เคยให้จุนฮาไว้ ..ครับซางมินเป็นลูกของจุนฮา คือรุ่นพ่อ-แม่ไม่สมหวัง แต่มาสมหวังเอาที่รุ่นลูกที่เป็นตัวแทนของทั้ง 2 ฝั่งและเมื่อความจริงปรากฏก็ดูเหมือน จีแฮ กับ ซางมิน จะยิ่งรักกันมากขึ้นไปอีก นี่เป็นจุดที่ทำให้ผมชอบ The Classic ตัวต้นฉบับมาก
ทีนี้เริ่มเข้าเรื่องละ คือฉบับรีเมคนั้นนางเอกรุ่นลูก(โบต้า) ไม่ต้องเขียนจดหมายให้พระเอก(นน)อีกต่อไป แต่โบต้าต้องเขียนบทละครเวทีที่เธอแต่งมากจากจดหมายรักของแม่ของเธอเอง(ดาหลา) ให้ นน ได้เล่นเป็นพระเอก ซึ่งก่อนหน้านี้ นน ไม่เคยรับเล่นละครเรื่องไหนมาก่อนแต่ยอบรับบทเรื่องนี้เพราะชอบบท ชัดเจนว่า นน คงเริ่มระแคะระคายเรื่องบทที่ดูจะตรงกับชีวิตพ่อตัวเองอย่างน่าประหลาด ซึ่งทำให้ในตอนท้ายโบต้าไม่ต้องเล่าอะไรมาก นน ก็ทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้ว แต่ด้วยฉาก ด้วยเพลง ด้วยการแสดง มันก็ยังน่าประทับใจอยู่ดี

ขจร (พระเอกรุ่นพ่อ)

เรื่องย่อ Classic Again

เรื่องราวความรักต่างยุคต่างเวลาของคู่รัก 2 คู่ระหว่าง ดาหลา-ขจร และ โบต้า-นน ที่เชื่อมโยงกันผ่านทางบทละครที่ โบต้า เขียนขึ้นจากจดหมายรักเก่าเก็บของ ดาหลา แม่ของเธอ และเพราะเหตุการณ์ของทั้งคู่จะห่างกันกว่า 36ปี จึงทำให้ ดาหลา และ โบต้า ต้องเผชิญอุปสรรค์ความรักที่แตกต่างกัน ส่วนความรักของแม่ลูกคู่นี้จะสมหวัง หรือผิดหวัง ร่วมลุ้นไปกันได้ในโรงเลยนะครับ(สำหรับคนที่ยังไม่เคยดู)

ขจร – ดาหลา

ทำไมถึงไม่ควรพลาด Classic Again

การรีเมคในครั้งนี้เรียกว่าไม่เสียชื่อเวลาที่ผ่านมากว่า 17ปีเลย เพราะบทพัฒนาขึ้นมาก ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่เหมือนหนังรีเมคบางเรื่อง อะไรที่เก่าแล้ว เชยแล้ว ไม่จำเป็นแล้ว(เพราะคิดว่าคนดูเก่ารู้อยู่แล้ว) ก็เอาออกทำให้เนื้อเรื่องกระชับใช้ได้ อะไรที่มันค้างคาละดูไม่ดีก็ปรับใหม่ อย่างเช่นหนังเกาหลียุคนั้นชอบวาร์ปฉาก เดี๋ยวก็ตัดไปนั่นไปนี่แบบข้ามเกินไป ฉบับไทยก็ทำได้สมูทขึ้น บทเพื่อนสนิทนางเอกยุคปัจจุบันของเกาหลีตอนจบคือกลายเป็นนางอิจฉาไม่คุยไม่กล่าวถึงอีกเลย แต่ของไทยยังให้มีฉากคืนดีแบบเพื่อนสนิทอะนะมันก็ไม่ควรต้องมาโกรธกันด้วยเรื่องผู้ชายหรอก
โครงเรื่องมีการวางแผนอย่างมีระบบ อย่างเช่นว่าเวอร์ชั่นก่อนยุคปัจจุบันจะเป็นปีเดียวกับปีที่ออกฉาก(ปี2003) เพื่อให้คนดูรึสึกอินได้ง่าย แต่ฉบับรีเมคนั้นเลือกจะให้ยุคปัจจุบันในหนังย้อนกลับไป 17ปี คือปีค.ศ. 2003 หรือ พ.ศ. 2546 (อันนี้ไม่รู้ตั้งใจรึเปล่านะแหม่…) เพื่อให้เวลาย้อนอดีตไปถึงยุคแม่จะได้หยิบยกเหตุการณ์ 10 ตุลาคม พ.ศ.2516 มาใช้ได้อย่างลงตัวพอดี เท่านั้นยังไม่พอการศึกษาช่วงเวลาและหาอุปกรณ์มาเข้าฉากก็มีการคิดและเตรียมได้อย่างละเอียด อย่างเช่น โบต้า นางเอกในยุคปัจจุบันของหนัง(ปี พ.ศ. 2546) ก็ใช้โทรศัพท์โนเกียรุ่น 8310 ด้วยนะ อันนี้ต้องขอชมทีมงานด้วยใจจริงเลย

[บทดี] บทและเรื่องราวของตัวละครบางช่วงก็เปลี่ยนไปค่อนข้างมากแต่สุดท้ายก็ตบลงมาได้ลงตัวกับส่วนที่หนังตั้งใจจะคงไว้เพื่อความ “คลาสสิก” สมชื่อหนัง

เชื่อว่าเดี๋ยว วลี พวกนี้จะมีคนเอาไปใช้

วลีเด็ดๆ ที่เมื่อ 17 ปีก่อนฟังแล้วขนลุก(แบบดีนะ) ก็ยังคงไว้อย่างไม่ขาด อย่างในรูปที่ผมแปะไว้ในบทความนี้ หรืออย่างเช่น

“เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงในยามเช้า.. ผมคิดถึงคุณ
เมื่อแสงจันทร์สาดส่องในยามค่ำ..    ผมคิดถึงคุณ”

อาจจะฟังดูเสี่ยวๆ แต่ผมว่าโคตรประทับใจ

จะมีใครปฏิเสธไหมเนี่ย

[ภาพสวย] การถ่ายทำหนังเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาใช้เทคนิคอะไร บอกได้แต่ว่าภาพสวยมากกกกกๆ คมชัดมาก แสงสาย สีสวย ดูแล้วให้ความรู้สึกว่าหนังอยู่ในระดับขั้นการผลิตที่สูง แตกต่างจากหนังไทยเรื่องอื่นๆ อย่างชัดเจน

Classic Again
ผมชอบฉากนี้มาก

[เพลงเพราะ] Classic Again ได้หยิบเอาเพลงเก่าดั้งเดิมของตัวต้นฉบับอย่าง Me to You, You to Me มาแปลเป็นไทยในชื่อว่า หนึ่งความทรงจำ-One Memory มาเป็น OST หลัก แต่ก็ได้เพิ่มเพลงไทยอื่นๆ เข้าไปเพื่อให้เหมาะกับบทที่เปลี่ยนไปอย่างเพลง “หนักใจ” ของวง ออโตบาห์น ก็เปิดขึ้นมาได้จังหวะจนน้ำตาซึมเลย

[นักแสดง] นักแสดงชุดนี้แม้จะมีหน้าใหม่เยอะ แต่ก็ได้กลิ่นอายเหมือนเวอร์ชั่นเก่าอย่างน่าประหลาด “มิ้น รัญชน์รวี” นางเอกทั้ง 2 รุ่นของหนังก็น่ารักมากบอกเลย การสลับตัวละครก็ถือว่าทำได้ดีเพราะให้บรรยากาศต่างกันพอสมควร ส่วน “นิว ฐิติภูมิ” พระเอกที่มีประสบการโชคโชนมาจากค่าย GMM ก็มีจังหวะที่เล่นดีมากๆ คือดูแล้วใช่เลยอยู่เยอะ แม้จะมีบางช่วงที่ดูแข็งไปหน่อยเพราะต้องแสดงอารมณ์อึนๆ ออกมาก แต่โดยรวมก็ถือว่าทำได้ไม่เลวเลย

สรุป

ผมชอบนะ ค่อนข้างมากด้วย เป็นหนังรีเมคที่ทำได้ดีจริงๆ คนชอบดูแนวโรแมนติก ดราม่า ไม่ควรพลาดจริงๆ คลาสสิกสมชื่อ ก่อนเข้าโรงทิชชู่นี่เตรียมไว้ได้เลย ได้ล้างหน้าล้างตาแน่นอนผมรับประกัน

ผู้อ่านท่านใดอยากพูดคุยเรื่องหนังเรื่องนี้ เชิญที่คอมเม้นต์ด้านล่างเลยครับ

อ่านรีวิวหนังอื่นๆได้ที่นี่ 

จับผิดภาพกับ Classic Again

แม้ผมจะบอกว่าทีมงานเตรีมการมาอย่างดี แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อหลุดเลย (ผมหักคะแนนรีวิวจากตรงนี้แหละ) ที่ผมเห็นชัดๆ อะมีแน่นๆ 2 ที่ ใครเจออีกเม้นต์แจ้งกันไว้ ขำๆ ก็ได้

  1. ดอกไม้ที่ ขจร เด็ดมาให้ ดาหลา ตอนที่ไปบ้านผีสิงกันครั้งแรก เป็นคนละสีกับตอนเย็นวันนั้น ตอนเด็ดให้เป็นสีม่วงอ่อนๆ แซมขาว พอตอนเย็นยังไม่ได้ได้กลับบ้านดอกไม้เป็นสีม่วงเข้มเฉย
  2. ตอนเห็นจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงดาหลาครั้งแรก (ตอนที่โบต้าหยิบออกมาอ่าน) ซึ่งแปลว่าเป็ย ขจร เขียน เพราะดาหลาคงไม่จ่าหน้าซองถึงตัวเอง ลายมือบนจดหมายสวยเว่อร์ตอนแรกก็ไม่อยากคิดมากก็อ่ะคงเป็นผู้ชายลายมือสวย แต่ถ่ายไปถ่ายมาดันมีฉากที่ ขจร กำลังเขียนจดหมายอยู่แล้วเห็นจังหวะที่เขียนแบบระยะใกล้พอดี โอ้โห ลายมือแบบ… (เอาว่าคนละเรื่องเลย)
อิอิ
Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!