playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Black Mirror Season 2 การกลับมาของเทคโนโลยีอันมืดมิด (สปอยล์)

  • Be Right Back - 7.5/10
    7.5/10
  • White Bear - 7.5/10
    7.5/10
  • The Waldo Moment - 6.5/10
    6.5/10
  • White Christmas - 9/10
    9/10

สรุป

การกลับมาครั้งนี้ออกมาดีเยี่ยมตามมาตรฐานที่ทำไว้กับ Season 1 โดยซีรีส์ชุดนี้ได้ยกระดับมากยิ่งขึ้นในทุกตอน แม้จะมีผิดฟอร์มไปบ้าง แต่ปัญหาอันนั้นได้ถูกกลบลงในตอนสุดท้ายอย่าง White Christmas หากตอนนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แทน เสริมด้วยเรื่องราวที่มีความเข้มข้นมากกว่านี้ หากได้ผู้กำกับระดับ A List มาเป็นคนกุมบังเหียน บอกเลยว่า…มันสามารถเข้าชิงรางวัลสายภาพยนตร์ได้เลยละครับ

Overall
7.6/10
7.6/10
Sending
User Review
5 (2 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • มาตรฐานเยี่ยมตลอดทั้ง Season 2 แม้จะมีตกหล่นไปในตอนที่ 3 แต่เมื่อผนวกกับตอนสุดท้าย มันกลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่น่าจับตามองที่สุดใน Netflix
  • White Christmas เป็นตอน Masterpiece ที่หากถูกสร้างเป็นหนังใหญ่ มันจะกลายเป็นหนังรางวัลได้เลย
  • งาน Production ยกระดับขึ้นจาก Season 1 ค่อนข้างมาก รวมถึงเรื่องราวที่ดู Mass และดูแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น
  • Charlie Brooker ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้สร้างที่มีวิสัยทัศน์มากที่สุดแห่งยุคนี้

Cons

  • มีตอนหนึ่งที่ดร็อปคุณภาพไปอย่างน่าใจหาย มันทำให้ความรู้สึกเหมือนเราขึ้นรถไฟเหาะแล้วตกรางระหว่าไปจุดสูงสุด
  • บางประเด็นดูเล่นแรงจนเกินไป ทำให้ความสมจริงของเรื่องราวเหมือนเป็นเพียงโลกในอุดมคติเท่านั้น
  • เรื่องราวภายในเรื่องน่าจะต่อยอดเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ได้ แต่ทาง Netflix กลับไม่ทำเสียอย่างนั้น ทำให้เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้

Black Mirror Season 2 : การกลับมาของซีรีส์การถ่ายทอดความดำมืดของเทคโนโลยี ซีรีส์แห่งจินตนาการ โดย Netflix Series ว่าด้วยถึงผลเสียของเทคโนโลยีมันเป็นอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากประโยชน์ที่เรามักจะมองข้ามสิ่งอื่นไป ขอเชิญทุกคนเข้าสู่กระจกอันมืดมิด ที่จะสะท้อนความจริงให้คุณเห็น ณ บัดนี้

สามารถรับชมซีรีส์ได้ทาง Netflix : คลิกที่นี่

ตัวอย่างซีรีส์ Black Mirror Season 2

 

Be Right Back

ตอนเปิดของซีรีส์ Black Mirror Season 2 นี้เป็นเหมือนการเริ่มต้นจากตอน The Entire History of You เพราะเป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรักเช่นเดียวกัน เพียงแต่เรื่องราวนี้เกี่ยวกับ Martha หญิงสาวที่มีความรักกับ Ash ชีวิตของเธอมีความสุขเป็นอย่างดี จนกระทั่ง Ash ได้ประสบอุบัติเหตุ…ชีวิตคู่ที่เคยหอมหวานกลับกลายเป็นมืดหม่น แต่แล้วมีเทคโนโลยีหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหา นั่นคือ…การใช้ AI สร้างชีวิตคนรักขึ้นมา…นี่คือเรื่องย่อสำหรับตอนแรกนะครับ

Be Right Back
Black Mirror Season 2

ตามความรู้สึกผมพบว่า…มันรู้สึกหน่วง ๆ อยู่บ้าง สำหรับตอนนี้มีการเล่าประเด็นความรักของคนที่ต้องสูญเสียคนรักแบบกระทันหันได้อย่างถึงอารมณ์ มันให้อารมณ์เศร้าและเข้าใจความรู้สึกของ Martha อย่างชัดเจน เรียกว่าด้านการถ่ายทอดอารมณ์ออกมาดีมาก หากใครเคยเลิกกับแฟนไปจะเข้าใจได้อย่างดี เพราะอารมณ์ค่อนข้างใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก แม้เราจะไม่อยากให้เขาไป แต่เราไม่สามารถรั้งเขาเอาไว้ได้ แม้อยากจะคุยด้วยเท่าไร…มันก็ทำได้เพียงมองรูปความทรงจำเก่า จะคุยยังคุยด้วยไม่ได้ด้วยซ้ำ มันตอกย้ำการเล่นประเด็นการจากลาได้เห็นภาพชัดเจนมาก คนเราหากยังไม่พร้อมโลกมันก็เหมือนถูกย้อมสีหม่นไปหมด

Be Right Back
โลกที่ถูกย้อมสีหม่น

นอกจากข้อดีของตอนเปิดตัวนี้คือการถ่ายทอดอารมณ์ที่ดี คงต้องบอกเลยว่ามันคือการที่ซีรีส์ยังคงเปิดตัวได้อย่างดีตามมาตรฐาน ความน่าสนใจของเรื่องราวแม้จะไม่ดูแปลกใหม่ แต่เราก็รู้สึกติดตามเรื่องราวอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีข้อเสียตรงเรื่องการถ่ายทอดเรื่องราวที่ดูเป็นเส้นตรงเกินไป เรียกว่าเราสามารถคาดเดาฉากต่อไปได้ตลอดทั้งเรื่อง นั่นส่งผลให้ความว้าวและเสน่ห์ได้จางหายไป นั่นทำให้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก หากในตอนนี้มีบทและการเล่าเรื่องที่เฉียบคมกว่านี้ นี่คงจะกลายเป็นอีกหนึ่งตอนชั้นยอดของซีรีส์เลยละ

ตรงนี้จะเป็นสปอยล์เล็กน้อยนะครับ หากรับชมแล้วหรือไม่มีปัญหากับการสปอยล์ สามารถอ่านได้เลยครับ

สปอยล์เนื้อเรื่อง Be Right Back

ในส่วนของเรื่องราวตอนนี้ มีการเล่าประเด็นหากคนรักของเราฟื้นคืนชีพขึ้นมา…มันจะเป็นอย่างไร ซึ่งในตอนแรกมันตอบโจทย์แก่ตัวเรามากเลย เฉกเช่นเดียวกับ Martha เธอรู้สึกพึงพอใจและรู้สึกมันเป็นสิ่งที่เติมเต็มส่วนที่ขาดไปได้เป็นอย่างดี คงปฏิเสธไม่ได้…หากคนรักเรากลับมามันคงจะดีไม่น้อย แต่เรื่องราวกลับตลกร้ายกว่าที่คิด…เพราะการที่สร้างตัวตน Ash มาจากข้อมูลจากโลกออนไลน์ แม้จะได้ข้อมูลมามากแค่ไหน แต่จิตวิญญาณมันไม่ได้ตามมาด้วย สิ่งนี้เราจะเห็นได้ชัดในการรับชมเรื่องราว ยิ่งใช้ชีวิตนานขึ้นไปเท่าไร จะพบว่าคนรักของเรายังไงก็ไม่ได้กลับมา สิ่งที่กลับมาตอนนี้เหมือนเราได้เห็นภาพถ่ายหรือวีดีโอที่สัมผัสได้เท่านั้น ส่งผลให้สุดท้ายเธอตัดสินใจที่จะ Move On จากมัน มันเหมือนตอกย้ำประเด็นว่า…สิ่งที่เคยจากไปแล้ว ยังไงเราก็ฝืนธรรมชาติมันไม่ได้ เราควรทำใจและยอมรับมันให้ได้มากกว่า

Be Right Back
ชีวิตที่ไม่เป็นชีวิต

คะแนน 7.5 เต็ม 10 แม้จะมีความน่าสนใจในส่วนเนื้อหา การถ่ายทอดอารมณ์คนรักที่อาลัยอาวรณ์ได้เป็นอย่างดี แต่สุดท้ายในตอนนี้กลับไม่สามารถไปไกลได้ดังที่เราหวังไว้

 

White Bear

หลังการนำร่องอย่างสวยสดงดงาม เรามากันที่ตอนที่สองของซีรีส์ ในตอนนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับ Victoria หญิงสาวคนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาในบ้านแปลกประหลาดหลังหนึ่ง เมื่อเธอเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น มันเหมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวประหลาด ไม่มีใครคุยกับเธอ…พวกเขาถือโทรศัพท์ถ่ายเธออย่างต่อเนื่อง และมีผู้คนจำนวนหนึ่งไล่ล่าเธออย่างต่อเรื่อง เกมไล่ล่าได้เริ่มต้นขึ้นกับเธอ

White Bear
เกมไล่ล่าเริ่มต้นขึ้น

ตามความรู้สึกของผมนะครับ พบว่า….รู้สึกลุ้นสุด ๆ ไปเลย เรียกว่าหากซีซัน 2 มีตอนไหนที่มีความบันเทิงแนวระทึกขวัญมากที่สุดต้องบอกว่าเป็นตอนนี้เลยครับ มันให้ความรู้สึกลุ้นระทึกและตื่นเต้นตลอดช่วงเวลากว่า 42 นาที ภายในเรื่องราวมีความรู้สึกชวนสงสัยในสมองของเราอย่างต่อเนื่อง เครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นในหัวเราอย่างต่อเนื่อง มันเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นในหนังประเภทนี้ ความสงสัยจำนวนมากก่อให้เกิดความอยากรู้ของเราอย่างต่อเนื่อง และมันถูกการดำเนินเรื่องที่เข้มข้นทำให้เราไม่มองมันเป็นข้อเสียไป เรียกว่าความรู้สึกเหมือนเรากำลังร่วมกับตัวละครอย่างต่อเนื่อง เรารู้สึกเอาใจช่วยให้เธอมีชีวิตรอดจากสถานการณ์ตรงหน้านี้ไปให้ได้ นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่สอบผ่านขั้นต้นของหนังระทึกขวัญเลยละครับ หากผู้ชมรู้สึกลุ้นระทึกกับมันได้ถือว่าผ่านมาตรฐาน

White Bear
การไล่ล่าตลอด 42 นาที

ในส่วนจุดด้อยของตอนนี้จะพูดในสปอยล์นะครับ หากจะบอกย่อคือ…ในส่วนจุดด้อยคือการที่เรื่องราวดูไม่สมเหตุสมผลและจัดวางเกินไป เหมือนตามมาตรฐานของหนังระทึกขวัญทั่วไป ในการเล่าเรื่องราวมีการคุมโทนมาตลอดทั้งเรื่องเพื่อรอคอยบทสรุปหนึ่งที่น่าสนใจเอาไว้ ด้วยความที่มันเหมือนระเบิดเวลาที่รอการปะทุ บอกเลยว่าส่วนที่ดีที่สุดของตอนนี้คือบทสรุปครับ ช่วงองค์ 3 เป็นเหมือนการตีทุกประเด็นให้เป็นเสี่ยง เปลี่ยนตอนที่เหมือนจะเป็นจุดด้อยของทั้งเรื่องให้กลายเป็นส่วนประกอบชั้นดีเลยละครับ มันเหมือนกับการที่มีการผสมส่วนผสมเล็กน้อยหลายส่วนเข้าด้วยกัน ซึ่งผลสรุปสุดท้ายมันคือการตีเข้าด้วยกัน สู่บทสรุปที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ตรงนี้จะเป็นสปอยล์เล็กน้อยนะครับ หากรับชมแล้วหรือไม่มีปัญหากับการสปอยล์ สามารถอ่านได้เลยครับ

สปอยล์เนื้อเรื่อง White Bear

เรื่องราวตอนนี้เป็นการเล่าเรื่องตอกเน้นย้ำประเด็นเกี่ยวกับการลงโทษฆาตกร นี่เป็นสิ่งที่ว้าวมากเลยละครับ มันเหมือนกับการที่บอกเล่าเรื่องราวแบบหักมุมเฉกเช่นเดียวกับหนังหักมุมในตำนานหลายเรื่อง ผมจะไม่บอกนะครับว่าเรื่องไหนบ้าง เพราะเรื่องราวมีการหักมุมแบบรุนแรงเลยละครับ ตัวละคร Victoria ที่กำลังหลบหนีจากสถานการณ์ไล่ล่า ตัวละครที่เราเอาใจช่วยตลอดทั้งเรื่อง กลับกลายเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดการฆาตกรรมเด็กสาวที่เธอคิดว่าเป็นลูกสาวของเธอเสียเอง และบรรดาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหมือนการแสดงสถานการณ์ภายในสวนสนุกแห่งความยุติธรรม การที่ทำให้ฆาตกรกลายเป็นเหยื่อที่ถูกล่าเสียเอง มันให้ความรู้สึกน่าเศร้าสลดนะครับเมื่อพบเจอเรื่องราวนี้ สิ่งนี้เองมันทำให้เรื่องราวกลายเป็นเรื่องที่ทรงพลังมาก ส่วนที่เป็นจุดด้อยจากข้อสงสัยจำนวนมากได้คลี่คลายลงเรียบร้อย

แต่ทว่าการเฉลยเรื่องราวก็สร้างบาดแผลหนึ่งให้แก่ตอนนี้เช่นเดียวกัน เนื่องจากเกิดข้อสงสัยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงความยุติธรรมที่ฆาตกรควรโดน หรือเป็นเพียงโชว์ความสนุกเท่านั้น ซึ่งประเด็นนี้จะคล้ายคลึงกับเรื่อง The Purge ภาค 2 เลยละครับ ในบางทีความยุติธรรมมันจะคล้ายการระบายความสนุกเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ผมจะไม่เถียงเลย…หากเรื่องราวที่เล่าภายในตอนเกิดกับฆาตกรตัวจริงอย่างแฟนของ Victoria แต่นี่เธอเป็นเพียงผู้ร่วมมือเท่านั้น ทำให้โทษภายในเรื่องมองเป็นเพียงความสนุกและบันเทิงอย่างเดียว อีกทั้งหนึ่งในบาดแผลของตอนนี้คือการเล่าเรื่อง แน่นอนความระทึกสอบผ่านอย่างแน่นอน แต่ในเรื่องความกินใจหรือความนึกถึงอยู่อย่างเสมอ มันยังไม่ถึงขั้นหนังที่เคยทำออกมาได้ แน่นอนคุณภาพซีรีส์กับภาพยนตร์มันค่อนข้างแตกต่างกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย หากแก้ไขในส่วนนี้ได้ มันจะกลายเป็นความระทึกขวัญที่น่าชมอีกหลายครั้งเลยละ

White Bear
บทสรุปที่แข็งแกร่ง

คะแนน 7.5 เต็ม 10 การเล่าประเด็นภายในเรื่องได้น่าสนใจ ความตื่นเต้นระทึกขวัญมีมาอย่างต่อเนื่อง การเปิดเผยบทสรุปได้อย่างดี แม้จะเป็นข้อดีที่ประเด็นแข็งแกร่ง แต่สิ่งนี้เป็นเหมือนดาบสองคมให้ภาพยนตร์มีบาดแผลใหญ่

 

The Waldo Moment

หลังรักษามาตรฐานได้เป็นอย่างดีมาสองตอนติด ตอนที่สามจึงถูกผมตั้งความหวังไว้สูงมาก ว่ามันจะมีอะไรน่าสนใจและเซอร์ไพซ์เราได้บ้าง หากนับตั้งแต่เริ่มต้นมาซีรีส์ชุดนี้ยังไม่มีตอนที่น่าผิดหวังเลยแม้แต่ตอนเดียว ทำให้ตอนนี้น่าจับตามองเป็นพิเศษ สำหรับตอนนี้มีการพูดถึง ตัวการ์ตูนหมีที่ชื่อ Waldo เริ่มจากการเป็นตัวการ์ตูนรายการตลก แต่ต่อมาทางบริษัทได้เริ่มขยายเรื่องราวดังกล่าวให้ใหญ่ขึ้น ขยายให้ Waldo ซึ่งมีการควบคุมโดย Jamie กลายเป็นหนึ่งในผู้สมัครเลือกตั้งเขต มันจะเกิดผลกระทบอย่างไรบ้างกับคนในเหตุการณ์ เมื่อตัวการ์ตูนมีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น

The Waldo Moment
Waldo ตัวการ์ตูนทรงอิทธิพล

สำหรับความรู้สึกหลังดูนะครับ พบว่า…เอิ่ม..เรื่องราวของตอนนี้แฝงไปด้วยความตลกบันเทิงมากมาย เรียกว่าความตลกอาจจะมากที่สุดในบรรดาซีรีส์ชุดนี้เลยก็ว่าได้ การเล่าเรื่องเรียกว่าเต็มไปด้วยความป็อปคอร์นอย่างเต็มขั้น เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวได้อย่างไม่ยากนัก เรื่องราวมีความย่อยง่ายอย่างต่อเนื่อง การสร้างสรรค์เรื่องราวแห่งความสุขและสอดแทรกด้วยมุกตลกร้าย มันทำให้ตอนนี้มีเสน่ห์โดยไม่รู้ตัว ด้วยเสน่ห์นี้เองทำให้ตัวละครอย่าง Waldo กลายเป็นสิ่งที่น่าจดจำ และคิดว่าคงเป็นหนึ่งในตัวละครที่มีเอกลักษณ์ที่สุดภายในเรื่องได้ไม่ยากนัก

The Waldo Moment
ความตลกร้ายทางการเมือง

สำหรับข้อเสียคงต้องบอกเลยเกี่ยวกับความนุ่มลึกของภายในตอนที่จะกลวงเหลือเกิน กลวงเสียจนประเด็นภายในเรื่องเหมือนจะเจาะจงไปที่ Waldo เพียงอย่างเดียว ตัวละครคนควบคุมและพากย์อย่าง Jamie ก็มีการกล่าวถึงนัก แต่ตัวละครอื่นภายในเรื่องมันไม่มีการสานต่อเอาเสียเลย นั่นส่งผลให้มิติของตัวละคร สภาพสังคมภายในเรื่องเหมือนการจับวางไปเสียทั้งหมด จับวางจนเรื่องราวดูไม่สมจริงและให้เราอินเสียเลย ความรู้สึกมันเหมือนเราดูรายการ TV ที่จบก็จบกันไป มันไม่ได้มีความรู้สึกอยากดูอีกครั้งเสียเลย ตัวละครนอกเหนือจากที่ได้กล่าวไป มันพร้อมจะลืมไปเสียทั้งหมด

ตรงนี้จะเป็นสปอยล์เล็กน้อยนะครับ หากรับชมแล้วหรือไม่มีปัญหากับการสปอยล์ สามารถอ่านได้เลยครับ

สปอยล์เนื้อเรื่อง The Waldo Moment

เรื่องราวภายในตอนนี้มีการพูดถึงการเสียดสีสังคมที่ Waldo เป็นเหมือนตัวแทนกระบอกเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ การพูดความในใจของผู้คนออกมามันเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากทำ แต่ไม่มีใครกล้าที่จะทำมันออกมาเสียเลย นั่นส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากเทใจไปให้แก่ตัวการ์ตูนตัวนี้ แม้ความจริงแล้วตัว Waldo จะเป็นเพียงการพูด Hatespeech ไปแก่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นเท่านั้น จะเห็นได้ว่าภายในเรื่องเราจะไม่เห็นการพูดถึงนโยบายหรือเรื่องราวอื่นนอกจาก Hatespeech เลย ข้อนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าตัวละครตัวนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ให้แก่ประชาชน ซึ่งในตอนท้ายการที่เป็นเหมือนกระบอกเสียงให้คนทั่วไป สุดท้ายก็ชนะการเลือกตั้งจนได้ สิ่งนี้เป็นข้อที่เรานำกลับมาคิดอีกครั้งว่า…มันไม่ดูจับวางเกินไปเหรอ เรื่องราวมันมีแนวโน้มที่เกิดขึ้นจริงได้ไง…

แน่นอนพล็อตเรื่องมันดูน่าสนใจมากกับการใช้ตัวการ์ตูนมามีอิทธิพลเช่นนี้ อันนี้เหมือนกับการที่ดาราดังยอดนิยมมาเป็นคนพูดเรื่องราวต่าง ๆ มันจะมีอิทธิพลมากยิ่งขึ้นเมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดออกไป รวมถึงเรื่องราวจะมีการพูดถึงอย่างต่อเนื่องเมื่อมีการพูดเกี่ยวกับ Hatespeech มันเป็นเหมือนการระบายความในใจออกมา ซึ่งมันมีอิทธิพลมาก…แต่ในความเป็นจริงการพูดเพียง Hatespeech ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง มันเป็นไปได้จริงเหรอที่จะชนะใจคนทั้งประเทศในตอนท้าย ? นั่นเป็นสิ่งที่น่าสงสัยอย่างหนึ่ง แม้เรื่องราวภายในเรื่องจะไม่มีการบอกกล่าวเพิ่มเติม มันอาจจะมีการดีเบตในอนาคตก็ได้ แต่จากที่เห็นภาพในซีรีส์ ซึ่งผลสรุปคือไม่มีแนวโน้มเลยครับ…

อีกทั้งประเด็นตัวละครหลายตัวละครดูน่าสนใจมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครลงเลือกตั้งแต่ละคน มันดูมีปมให้เล่นเยอะมาก ปมที่จะทำให้เรื่องราวดูมีมิติมากยิ่งขึ้น นั่นคือสิ่งที่เราคาดหวังไว้ แต่ความเป็นจริงแล้ว…มันกลับปล่อยผ่านไปอย่างไม่น่าให้อภัย จนบางทีเราคิดนะ…จะสร้างตัวละครนี้มาทำไม มันเหมือนแค่ตัวละครประกอบฉากให้เนื้อเรื่องดำเนินต่อไปเท่านั้น หากคิดไม่ออก ลองคิดดูสิมีตัวละครไหนภายในเรื่องที่เราจำได้บ้าง แน่นอนว่ามันไม่มีความน่าจดจำให้เราคิดถึงเสียเลย มันจึงเป็นข้อเสียอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนตอนนี้ตกมาตรฐานจากตอนก่อน ๆ ไป เพราะตอนก่อนหน้านี้ ตัวละครภายในตอนล้วนมีประโยชน์ทุกตัวละคร มีผลต่อเนื้อเรื่องอยู่เสมอ ซึ่งมาลองคิดดูนะครับหากเรื่องนี้ขาดตัวละครอย่าง Waldo ไป เรื่องนี้จะกลายเป็นไม่มีประเด็นอะไรมาขับเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้เป็นบาดแผลใหญ่ของตอนนี้เลยละ

ผู้ให้กำเนิด Waldo อย่าง Jamie
ผู้ให้กำเนิด Waldo อย่าง Jamie

คะแนน 6.5 เต็ม 10 ตอนที่เต็มไปด้วยความบันเทิงจากมุกตลกจำนวนมาก แต่เรื่องราวภายในเรื่องค่อนข้างกลวง เป็นตอนที่น่าจดจำน้อยที่สุดในซีรีส์ชุดนี้นับตั้งแต่ตอนแรก

 

White Christmas

แล้วก็มาถึงตอนสุดท้ายของซีรีส์ชุดนี้นะครับ อย่างซีซันแรกก็มีการปิดฉากด้วยตอนที่ดีสุดอย่าง The Entire History of You ไป แม้ผมจะค่อนข้างผิดหวังกับตอนที่สามอย่าง The Waldo Moment แต่ก็คิดว่าตอนสุดท้ายต้องมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจแน่นอน แม้นี่จะเป็นตอนพิเศษมากกว่า เพราะห่างจากตอนสามนับปีเลยละครับ ตอนสามออนแอร์วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2013 แต่ตอนสุดท้ายของซีซันออนแอร์วันที่ 16 ธันวาคม 2014 ซึ่งในตอนนี้จะพูดถึงเรื่องราวการใช้เทคโนโลยีทั้งสามอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีในการจีบหญิง, การใช้เทคโนโลยีในการสร้างความสะดวกสบายขึ้นมา มีอะไรเป็นเบื้องหลังอยู่ และหากการบล็อคในโลกออนไลน์มีอยู่จริง มันจะเกิดอะไรขึ้นนะ…

White Chirstmas
Special Episode

จากความรู้สึกของผมเลยนะครับ พบว่า…ยอดเยี่ยมครับ ไร้ที่ติเลยละครับ มันเป็นส่วนผสมที่ออกมาอย่างลงตัวเป็นอย่างมาก ลงตัวเสียจนอยากให้มันถูกถ่ายทอดในรูปแบบภาพยนตร์ใหญ่เลยละ เพราะองค์ประกอบที่มันจะกลายเป็นภาพยนตร์ที่ดีมันมีเยอะมากเลยละครับ ไม่ว่าจะเริ่มตั้งแต่บทที่เฉียบคม การดำเนินเรื่องที่มีความน่าสนใจ การวางจุดสงสัยได้อย่างถูกจุด และการคลายปมที่ออกมาในช่วงที่เหมาะในช่วงเวลาต่าง ๆ ภายในเรื่องได้จนเกินคาด รวมถึงบทสรุปที่ทำเอาตอนสองของซีซันนี้อย่าง White Bear กลายเป็นเพียงน้ำจิ้มบทสรุปเท่านั้น แต่นี่เป็นของจริงเลยละครับ ทุกการดำเนินเรื่องไม่มีสิ่งใดเปล่าประโยชน์เลยแม้แต่น้อย รวมถึงการรววม Easter Eggs ของซีรีส์ชุดนี้ไว้ในตอนเดียวได้ บอกเลยว่าอยากกลับไปรับชมตั้งแต่ซีซันแรกใหม่เลยละ

White Christmas
Matt ชายผู้เปรียบเสมือนพระเจ้าในโลกจำลอง

อีกประเด็นที่น่ากล่าวถึงตอน White Christmas คือการเล่นประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างถึงพริกถึงขิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีแต่ละเรื่อง มันมีความลึกให้เราได้เห็นสภาพจิตใจของตัวละครอยู่เสมอ จนเราไม่อยากจินตนาการเลย…ว่าหากเรากลายเป็นตัวละครเหล่านั้นขึ้นมา เราคงจะรู้สึกเช่นไร มันคงจะเป็นความรู้สึกเจ็บช้ำมากเอาแน่ คงเกินที่จะรับมันไว้ได้ไหว มันไม่ได้แค่ประเด็นเทคโนโลยีเท่านั้น มันยังรวมถึงสภาพสังคม กฏหมาย และความสัมพันธ์ของคนเราอีกด้วย นั่นทำให้เป็นหนึ่งในตอนที่ประเด็นครบถ้วนเป็นอย่างมาก ไอเดียฉลาดหลักแหลมจนทำให้เรารู้สึกว้าวกับมันโดยไม่รู้ตัว

White Christmas
Potter ชายผู้เป็นกุญแจของเรื่อง
ตรงนี้จะเป็นสปอยล์เล็กน้อยนะครับ หากรับชมแล้วหรือไม่มีปัญหากับการสปอยล์ สามารถอ่านได้เลยครับ

สปอยล์เนื้อเรื่อง White Christmas

ในเรื่องเราจะเห็นได้ว่ามีการแบ่งออกเป็น 3 พาร์ท อันได้แก่เทคโนโลยีในการสังเกตุการณ์อยู่ภายในสมองของลูกค้า, เทคโนโลยีความสะดวกสบายที่ใช้อุปกรณ์ในการเชื่อมโยงอย่าง คุ๊กกี้ ภายในเรื่อง มันทำให้เรารู้ว่าชีวิตของ AI ที่รับใช้เราเป็นอย่างไรบ้าง แม้ปัญญาประดิษฐ์จะไม่มีชีวิต แต่เราก็อดสงสารสภาพจิตใจของมันไม่ได้เลยละ มันเหมือนการเล่าประเด็นเกี่ยวกับเรื่องทาสไปโดยกราย ๆ เพราะทาสเป็นสิ่งที่คนเรามองว่ามันไม่มีชีวิต มองมันเป็นเพียงสิ่งของหรือข้ารับใช้เท่านั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าสลดใจและถูกตบฉาดไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้มากกว่าการพูดโดยผิวเผิน แต่เป็นการเปรียบเทียบประเด็นที่โลกนี้เคยถูกกล่าวถึงมาเป็นประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน นั่นทำให้ประเด็นเรื่องทาสเห็นผลอย่างชัดเจน

ในช่วงพาร์ทที่ 3 เป็นหนึ่งในตอนที่น่าสนใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้ การที่ทำให้เราได้เห็นภาพตัวเอกของเรื่องอย่าง Potter ชายหนุ่มที่ชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อถูกภรรยาของตนบล็อกการติดต่อทั้งหมด เราอาจเคยเห็นภาพในชีวิตจริงผ่าน Facebook, Line หรือ Instagram แต่ในตอนนี้ถูกทำให้เห็นภาพมากขึ้น ชายหนุ่มไม่สามารถมองเห็นหญิงสาวอันเป็นที่รักได้ ภาพ เสียง ภาพในความทรงจำ หรือแม้กระทั่งลูกของเขา…ก็ไม่สามารถจะเห็นได้เลย มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดนะครับ แม้เราจะเห็นว่าเธออยู่ตรงใด แต่เรากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้แต่จะรู้รูปลักษณ์ของลูกตนเองยังไม่ได้เลย…

เมื่อเรื่องราวถูกเกริ่นมาอย่างต่อเนื่อง มันเหมือนกับการปูเรื่องราวเพื่อมาระเบิดในช่วงสุดท้าย การที่เทคโนโลยีทั้งสามผนวกเข้าด้วยกัน เราสามารถสังเกตได้จากช่วงท้ายเรื่อง มันมีการหักมุมว่าเหตุการณ์ตลอดทั้งเรื่อง ว่าเรากำลังรับชมการไต่สวนความผิดของ Potter ที่ฆ่าพ่อของภรรยาและเป็นต้นเหตุทำให้ลูกตายไป แท้จริงแล้วการไต่สวนทั้งหมดมันคือการที่อยู่ในจิตสำนึก AI ในคุ๊กกี้เฉกเช่นเดียวกับพาร์ท 2 นี่คือการเค้นความผิดผ่านจิตใต้สำนึกของตัวละครโดยที่ตัวละครไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็น AI ตัว Potter ตัวจริง แม้จะไม่สารภาพหรือพูดสิ่งใด ๆ ออกมา แต่ทางกลับกัน AI ได้สารภาพออกมา ความจริงจึงเปิดเผยขึ้นได้อย่างไร้ข้อปฏิเสธ สิ่งนี้เองทำให้เรื่องราวจากตอนแรกเหมือนน่าทึ่งแล้ว แต่เมื่อเฉลยมา…มันทำให้เรารู้สึกทึ่งไปอีกขั้นหนึ่ง จนต้องเรียกว่า…นี่คือตอนที่ดีที่สุดของซีรีส์นับตั้งแต่ซีซัน 1 ถึง 2 เลยละ เรียกว่าหากพลาดตอนอื่นไปได้ แต่คุณห้ามพลาด White Christmas เป็นอันขาด แนะนำให้ดูจริงไรจริงเลยละครับ

หากจะพูดถึงจุดด้อยเพียงหนึ่งเดียวของตอนนี้ ผมคงต้องบอกเลยว่าเป็นความสมจริงในบางเรื่อง อย่างที่เรารู้กันว่าตัวละครอย่าง Potter แม้จะเป็นร่าง AI มันเหมือนจะไม่มีจิตใจ มันไม่มีชีวิต แต่เราเห็นภายในเรื่องได้เลยว่าจิตใต้สำนึกนี้มีความคล้ายคลึงมนุษย์เป็นอย่างมาก อันนี้เราได้เห็นในพาร์ทสองว่า ตัวละคร AI แม้จะไม่มีวันตาย แต่ก็มีจิตใจเฉกเช่นเดียวกับเรา ในเรื่องอย่างฉากที่ Matt ได้กรอเวลาเพราะหญิงหญิงสาวภายใน คุ๊กกี้ ไม่ยอมรับฟังคำสั่ง มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก อารมณ์เหมือนเราอยู่คนเดียวโดยไม่มีอะไรให้ทำ มันเป็นเรื่องที่ทำให้สติแตกได้ง่าย ๆ เลยละ ซึ่งมันถูกนำมาใช้ในช่วงบทสรุปของเรื่อง การกรอเวลากว่า 1000 ปี ของ Potter แค่ลองคิดตาม มันทำให้เรารู้สึกทรมานไปโดยไม่รู้ตัว การต้องอยู่กับความเศร้าอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก สำนึกความผิดตลอดเวลากว่า 1000 ปี แม้จะเป็นตัวละคร AI แต่มันก็อดน่าสงสารไม่ได้ ว่านี่เป็นบทลงโทษอย่างเกินมนุษย์หรือไม่ มันเหมือนกับการที่เราไม่สามารถระบายลงกับคนจริง ๆ ได้ จนต้องมาลงกับจิตใต้สำนึกเทียมแทน รวมถึงเทคโนโลยีการบล็อคที่ Matt เผชิญ มันเหมือนกับการถูกกีดกันจากสังคมแบบขั้นสุด ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร สัญลักษณ์การกีดกันเปลี่ยนเป็นสีแดง ชะตากรรมที่เกิดขึ้นอาจจะไม่สวยหรูอย่างที่เราคาดคิดถึงได้ มันอาจเป็นเหตุการณ์ที่สยองขวัญ จนเราไม่สามารถหยั่งจินตนาการได้เลยละ

White Christmas
ตอนที่ดีที่สุดของซีรีส์  -Black Mirror Season 2

คะแนน 9 เต็ม 10 ตอนที่คู่ควรกับคำว่า Masterpiece อย่างแท้จริงของซีรีส์ความดำมืดเทคโนโลยี แม้จะไม่เมคเซ้นในบางส่วน แต่ความสุดยอดของตอนนี้ทำให้นี่แหละคือหนึ่งในตอนที่ดีที่สุดของ Netflix Original Series

 

สรุป

โดยสรุปแล้ว Season 2 ของซีรีส์แห่งความดำมืดของเทคโนโลยี การกลับมาครั้งนี้ออกมาดีเยี่ยมตามมาตรฐานที่ทำไว้กับ Season 1 โดยซีรีส์ชุดนี้ได้ยกระดับมากยิ่งขึ้นในทุกตอน แม้จะมีผิดฟอร์มไปบ้างในตอนที่ 3 อย่าง The Waldo Moment แต่ปัญหาอันนั้นได้ถูกกลบลงในอีก 3 ตอนที่เหลือ โดยเฉพาะตอนสุดท้ายอย่าง White Christmas หากตอนนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แทน เสริมด้วยเรื่องราวที่มีความเข้มข้นมากกว่านี้ ได้ผู้กำกับระดับ A List อย่าง Christopher Nolan, Ryan Johnson, David Fincher หรือ Jordan Peele มาเป็นคนกุมบังเหียน บอกเลยว่า…มันสามารถเข้าชิงรางวัลสายภาพยนตร์ได้เลยละครับ

The Best
White Christmas is The Best – Black Mirror Season 2

Season 1 vs Season 2

หากถามความชอบระหว่าง Season 1 กับ 2 ผมให้ Season 2 เฉือนชนะด้วยตอน White Christmas เลยละครับ แต่สิ่งนี้บ่งบอกเลยว่าซีรีส์ชุดนี้มีมาตรฐานเป็นอย่างมาก Charlie Brooker ควรได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้สร้างที่มีวิสัยทัศน์น่าจับตามองแห่งยุค ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความดำมืดเทคโนโลยีอีกครั้ง

Charlie Brooker
Charlie Brooker ผู้สร้างสรรค์ซีรีส์ยอดเยี่ยมนี้

 

เพลงประกอบภายในซีรีส์ Black Mirror Season 2 นะครับ

Be Right Back : คลิกฟังที่นี่

White Bear : คลิกฟังที่นี่

The Waldo Moment (อันนี้เจอในรูปแบบ Podcast ไม่เจอเพลงประกอบนนะครับ) : คลิกฟังที่นี่

White Christmas : คลิกฟังที่นี่

 

รูปแบบ Podcast น่าจะลงไม่เกินวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ครับ สำหรับ The Coldest Game ไฟล์พังนะครับ ยังไงที่ลงก่อนจะเป็น The Invisible Man ส่วนเรื่องอื่น ๆ จะทยอยลงครับ : คลิกฟังที่นี่ตอนเก่าๆที่นี่

 

ติดตามรีวิวหนังในเว็บไซต์คลิกที่นี่

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นในเว็บคลิกที่นี่

สามารถอ่าน Season 1 ในเว็บคลิกที่นี่

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!