playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Tokyo Vice SS1-2 จบ (HBO) ซีรีส์อเมริกาที่ล้วงลึกโลกอาชญากรรมยากูซ่าโตเกียวได้อย่างสมจริง!

  • คะแนนซีซั่น 1 - 8.5/10
    8.5/10
  • คะแนนซีซั่น 2 - 9/10
    9/10

สรุป

ซีรีส์คุณภาพสูงทุกด้านของ HBO ในแนวดราม่าสืบสวนที่มีรสชาติที่แตกต่างออกไปจากของตะวันตกโดยสิ้นเชิง และเต็มไปด้วยความสมจริงของเรื่องราวในวงการนักข่าว ตำรวจ ยากูซ่า เพราะสร้างอ้างอิงจากข้อมูลจริง แบบที่ไม่ค่อยมีซีรีส์สืบสวนเรื่องไหนทำออกมาได้ลึกขนาดนี้ครับ

อัพเดท: ซีรีส์เล่าเรื่องซีซั่น 2 ได้แตกต่างในแง่มุมประเด็นใหม่ที่ลึกและแหลมคมขึ้นไปอีก และก็เคลียร์ปมจบแบบดาร์คลงตัวเข้ากับเรื่องราวทั้งหมดมาก ห้ามพลาดเลยครับ  

Overall
8.8/10
8.8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • เรื่องราวอ้างอิงข้อมูลจริงของนักข่าวฝรั่งคนแรกในหนังสือพิมพ์ชั้นนำญี่ปุ่น
  • เล่าข้อมูลเบื้องหลังความสัมพันธ์เชิงลึกของ นักข่าว ตำรวจ ยากูซ่า
  • ล้วงลึกโลกอาชญากรรมสีเทาๆ ของยากูซ่าที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว
  • นักแสดงเล่นดีสมจริงมากจนไร้ที่ติ
  • งานโปรดักชั่นคุณภาพสูงมากทุกด้าน

Cons

  • เปิดปมค้างไว้เยอะไม่เคลียร์ในหลายๆ อย่างในซีซั่นแรก
  • ตัวละครในเรื่องพูดอังกฤษดีเว่อร์จนขาดความสมจริงตรงนี้ไป (เพราะทำให้คนอเมริกาดู ไม่นิยมอ่านซับ)

Tokyo Vice ซีรีส์แนวอาชญากรรมสืบสวนของ HBO ที่อ้างอิงจากเรื่องจริงของ  Jake Adelstein นักข่าวอเมริกันที่ทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ ‘โยมิอุริ ชิมบุน’ ที่อยู่ในชั้นแนวหน้าที่สุดของญี่ปุ่น เล่าเรื่องราวของนักข่าวที่เข้าไปคลุกคลีกับแวดวงอาชญากรรมญี่ปุ่น ที่มีสายสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับยากูซ่าแบบที่แยกขาดจากกันไม่ได้

 Tokyo Vice (2022) on IMDb

ตัวอย่าง Tokyo Vice

รีวิว Tokyo Vice SS1 (ไม่สปอยล์)

ตัวเรื่องหลักคือการอ้างอิงเรื่องจริงของการทำงานเป็นนักข่าวในสื่อยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นในสมัยนั้น โดยนำข้อมูลมาจากหนังสือ Tokyo Vice: An American Reporter on the Police Beat in Japan ตีพิมพ์ขายครั้งแรกปี 2009 ซึ่ง  Jake Adelstein (รับบทโดย Ansel Elgort พระเอกจากเบบี้ไดรเวอร์) เป็นนักข่าวตะวันตกคนแรกที่เข้าไปทำงานกับหนังสือพิมพ์ โยมิอุริ ชิมบุน สื่อที่ได้รับการยอมรับว่า 1 ในหนังสือพิมพืที่ดีที่สุดในโลก ณ เวลานั้น (เรื่องเริ่มต้นในปี 1999) บทได้ลงลึกถึงขั้นตอนการทำงานตั้งแต่เริ่มการสมัครเข้าไป ที่ต้องมีการสอบแข่งขันกับผู้สมัครญี่ปุ่นเป็นร้อย ก่อนจะเข้าสัมภาษณ์และรับเข้าทำงาน โดย โยมิอุริ ชิมบุน มีระเบียบกฎเกณฑ์ที่หินสุดๆ ในการคัดข่าวลงหนังสือพิมพ์ ซึ่งกว่าที่เจคจะได้ข่าวแรกลงก็ผ่านเวลาไปเป็นเดือนๆ ผ่านการถูกดูถูกบูลลี่ว่าเป็นคนต่างชาติ (ไกจิน) และต้องเริ่มงานจากความรู้เป็นศูนย์โดยไม่มีใครช่วย เริ่มหาแหล่งข่าวเอง ซึ่งก็ทำให้เขาต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับตำรวจและยากูซ่าที่กลายมาเป็นตัวละครหลักของเรื่องไปพร้อมๆ กับได้เห็นพัฒนาการของเจคในการเขียนข่าวสืบสวนที่มักจะขัดแย้งกับแนวทางของสื่อญี่ปุ่นที่ให้รายงานตามที่ตำรวจบอกทุกอย่าง แต่เรื่องราวก็ทำให้เข้าใจได้ว่ามันเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่สุดท้ายเจคก็ต้องเรียนรู้และเข้าใจ ว่าที่นี่คือโตเกียว ญี่ปุ่น ไม่ใช่ประเทศที่จะรายงานอะไรตรงไปตรงมาได้ทั้งหมด เพราะนั่นคือความสัมพันธ์ของสื่อที่มีกับตำรวจ และตำรวจเองก็มีสัมพันธ์ลับกับยากูซ่าในแง่ที่ทั้งดีทั้งร้าย เรื่องราวทั้งหมดในเรื่องจะมีเจคเป็นตัวเอกศูนย์กลางมีคดีร้ายๆ เข้ามาให้เล่นอยู่เรื่อยๆ ซึ่งทั้งหมดจะต้องเกี่ยวโยงใยไปหาแก๊งยากูซ่าที่ใกล้จะเปิดศึกกันระหว่างแก๊งเจ้าถิ่นกับแก๊งหน้าใหม่ที่ขยายถิ่นฐานมาจากแถบอื่น

ในพาร์ทของยากูซ่านั้น เรื่องราวโฟกัสไปที่ตัวเอก “ซาโตะ” (รับบทโดย Shô Kasamatsu)  ซึ่งเป็นยากูซ่ารับใช้แก๊งเจ้าถิ่นในย่านโตเกียว ที่กำลังถูกแก๊งใหม่จากคันโตเข้ามาท้าทาย เนื้อเรื่องของซาโตะมีส่วนเหมือนเจคตรงที่เขาก็เป็นยากูซ่าที่พึ่งเริ่มเรียนรู้ มีลูกพี่คุมคอยใช้ให้เขาไปเก็บเงินค่าคุ้มครอง แต่ยังไม่ใช่ยากูซ่าที่ลงมือทำงานหรือฆ่าคน เนื้อเรื่องจะพาเราเข้าสู่โลกของยากูซ่าให้เห็นจุดเริ่มต้นจนถึงจุดจบของตัวละครต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ระหว่างคนในแก๊งที่ลึกซึ้งกับกฎเกณฑ์ในการเป็นยากูซ่าทั้งแบบดีกับแบบเลว แอบดูเท่มีเสน่ห์เอามากๆ ในมุมความเป็นอาชญากรชั้นสูงของญี่ปุ่น ซึ่งซาโตะเองก็มีพัฒนาการจากเด็กเก็บเงินเรียนรู้ไปจนถึงการฆ่าคนครั้งแรก โดยมีเรื่องปะทุระหว่างแก๊งเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเจคเองได้เข้ามาสืบสวนหาข่าวยากูซ่าและได้มารู้จักกับซาโตะจนกลายมาเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย โดยทั้งคู่ก็แอบชอบสาวโฮสคนเดียวกันที่เป็นนางเอกของเรื่องนี้ด้วยในบท ซาแมนธา (รับบทโดย Rachel Keller)  แต่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้มาแนวแย่งรักสามเส้าอะไรแบบนั้น และก็ไม่ได้เน้นไปที่ความรักมากอะไรด้วย บทนางเอกในเรื่องนี้บทแค่มีไว้เพื่อพาทั้งคู่ให้ต้องมาพบกับปัญหาการไปเกี่ยวพันกับธุรกิจกลางคืนของยากูซ่าเท่านั้น

พาร์ทของตำรวจเรื่องราวหลักจะอยู่ที่ มิยาโมโตะ (รับบทโดย ฮิเดอากิ อิโต) กับ ฮิโรโตะ (รับบทโดย เคนวาตานาเบ) ซึ่งทั้งๆ คู่เป็นตำรวจที่เริ่มติดต่อกับเจคในแง่แหล่งข่าวจากตำรวจ ซึ่งทั้งสองคนนี้มีสไตล์การทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มิยาโมโตะคือตำรวจเจ้าสำราญที่ทีเล่นทีจริงกับเจค ต้องมีอะไรมาแลกเขาถึงให้ข้อมูล ต่างกับฮิโรโตะที่จริงจังเข้มงวดกับเจค พาเจคไปเรียนรู้เหมือนพ่อสอนลูกชาย ซึ่งเรื่องราวจะโยงไปถึงการที่เจคหนีครอบครัวมาทำงานที่ญี่ปุ่นด้วย ซึ่งพาร์ทของตำรวจจะแสดงให้เห็นการทำงานของสื่อว่ากว่าจะได้ข่าวมาต้องเข้าหาตำรวจยังไง และอะไรที่รายงานได้ อะไรที่รายงานไม่ได้ โดยตำรวจโตเกียวอย่างฮิโรโตะคือคนที่เปิดเผยให้เจครู้ถึงเบื้องหลังความสัมพันธ์จริงๆ กับยากูซ่าว่าทำไมตำรวจญี่ปุ่นถึงไม่ทำอะไรยากูซ่า โดยไม่ใช่การทุจริตรับส่วย แต่มีเบื้องลึกที่ซับซ้อนกว่านั้นมาจนถึงปัจจุบันยากูซ่าก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ในแวดวงธุรกิจสีเทาๆ ไม่เปลี่ยนแปลง

ซีรีส์ผูกปมเล่าเรื่องราวทั้ง 3 ส่วนตัดสลับไปมาแต่เกี่ยวพันกันหมดได้เข้มข้นน่าติดตามมากตลอดทั้งเรื่อง แต่ช่วงแรกๆ ของการเล่าเรื่องนักข่าวหน้าใหม่ของเจคอาจจะดูอ่อนไปบ้าง เพราะตัวเรื่องต้องการให้เห็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักข่าวตัวจริงของเจคว่าต้องผ่านอะไรมาบ้าง เขาไม่ใช่ฝรั่งที่เก่งเข้ามาทำงานในที่นี้ได้เลย แต่คือนักข่าวคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนรู้แบบเดียวกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นคนอื่นๆ ซึ่งเรื่องราวจะค่อยๆ ไต่เต้าให้เจคมีความสำคัญและได้สืบสวนคดีใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความผิดพลาดที่มีตามมาคู่กันได้ เนื้อเรื่องไม่ได้มาแนวเจคสืบสวนแล้วทำข่าวได้สำเร็จ แต่เรื่องมาในแนวว่าสุดท้ายแล้วข่าวที่ลงไปเหลือความจริงที่ตีแผ่ออกได้แค่ไหน โดยทุกข่าวมี บก. ที่คอยตรวจทานและตัดตอนบางอย่างที่มุมมองของเจคคือถูก แต่ในมุมของ บก.ข่าวญี่ปุ่นหรือตำรวจที่ให้ข่าวนี่คือสิ่งที่เขียนลงไม่ได้ เจคจึงต้องเลือกบาลานซ์หน้าที่การทำงานกับความสัมพันธ์ของแหล่งข่าวอยู่เสมอ ซึ่งนี่คือการถ่ายทอดความจริงของเรื่องราวนักข่าวในโตเกียว ไม่ใช่ซีรีส์แบบที่เขียนให้ตัวเอกทำข่าวขุดคุ้ยเปิดโปงอะไรได้สำเร็จแบบปกติที่ดูๆ กันมา

แต่เรื่องก็มีจุดด้อยอยู่บ้างจากการที่ในเรื่องต้องใช้ทั้งภาษาอังกฤษกับญี่ปุ่นสลับกันไปมา ซึ่งตัวเจคสามารถพูดญี่ปุ่นได้ดีอยู่แล้ว แต่ว่าพอมาเป็นซีรีส์ที่สร้างโดยอเมริกา การที่เรื่องจะใช้ภาษาญี่ปุ่นพูดเป็นหลักแล้วให้อ่านซับก็คงไม่ได้ เพราะคนอเมริกันเองไม่ชอบอ่านซับ ทำให้ต้องปรับให้ตัวละครแทบทุกตัวในเรื่องพูดฟังอังกฤษได้ดีไปทั้งหมด ซึ่งมันก็ประหลาดๆ ทุกครั้งที่เห็นยากูซ่าทุกคนที่พูดคุยกับเจคใช้ภาษาอังกฤษได้ปร๋อ จนขาดความสมจริงในจุดนี้ไปมาก รวมถึงเพื่อนนักข่าวทุกคน ตำรวจก็ด้วย โดยบางครั้งก็สลับไปพูดญี่ปุ่นกันบ้างนิดๆ ทำให้ซับไตเติลต้องมีทั้งอังกฤษ ไทย ทับกันอีก ผู้ชมชาวไทยก็จะอ่านซับได้ลำบากขึ้นด้วย ซึ่งถ้ามีพากย์ไทยภายหลังก็น่าจะทำให้สมูธขึ้นได้ แต่ก็จะขาดอรรถรสการใช้ภาษาสลับไปมาของเจคด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีจุดที่น่าตำหนิอยู่บ้างจากการที่เรื่องเริ่มมาเป็นฉากในอนาคตของเจคที่กำลังมีปัญหากับยากูซ่า ก่อนที่เรื่องจะตัดกลับมาเล่าจุดเริ่ม 2 ปีก่อน แต่ตอนจบของเรื่องกลับยังเล่าไปไม่ถึงจุดนั้น และซีรีส์ทำให้เรานึกว่าจะจบแบบเคลียร์ปมต่างๆ ได้ส่วนใหญ่ แต่กลายเป็นว่า 7 ตอนที่เล่ามาอย่างขมวดเข้มข้นมากๆ พอตอน 8 เรื่องราวกลับกลายเป็นพยายามขายปมต่างๆ ขึ้นไปอีก แล้วก็นำเส้นเรื่องใหม่ใส่เข้าไปเพิ่ม จนทำให้ตอนจบของซีซั่นมีแต่ปมปริศนาค้างไว้อย่างเดียว ซึ่งนอกจากคนดูจะค้างแล้วยังรู้สึกถูกหลอกนิดๆ จากที่ตอนเปิดเรื่องมาเป็นฉากแบบนั้นแล้วไม่เล่าให้ถึงจุดที่เริ่มเรื่องไว้เลยสักนิด (จริงๆ แนะนำว่าถ้ารอได้รอ 2 ซีซั่นแล้วค่อยดูเลยจะดีกว่าครับ)

แต่ไม่ว่ายังไงนี่ก็คือซีรีส์ที่โคตรคุณภาพมากๆ ของ HBO เป็นซีรีส์ดราม่าสืบสวนที่มีรสชาติที่แตกต่างออกไปจากของตะวันตกโดยสิ้นเชิง และเต็มไปด้วยความสมจริงของเรื่องราวแบบที่ไม่ค่อยมีซีรีส์สืบสวนเรื่องไหนทำออกมาได้ลึกขนาดนี้ครับ ยังไงก็ห้ามพลาดจริงๆ

 

รีวิว Tokyo Vice SS2 (มีสปอยล์บางส่วนจากซีซั่นแรก)

ซีรีส์เล่าเรื่องต่อเนื่องจากตอนจบซีซั่น 1 เลย โดยตอนแรกเป็นการรอดชีวิตของตัวเอกทั้ง 3 คน  ตำรวจอย่าง ฮิโรโตะ โดนข่มขู่ฆ่าครอบครัวจนต้องพาหนี ซาโตะรอดตายมาได้โดยได้แก๊งช่วยไว้ เจคโดนซ้อมยับแต่ก็ยังพยายามเปิดโปงคลิปวิดีโอการหายตัวไปของเพื่อนสาวซาแมนธา แต่ว่าเรื่องราวที่บิ้วมาตั้งแต่ซีซั่นแรกก็ถูกตัดจบลงที่ตอนแรกในเวลาไม่นาน โดยเป็นอุบัติเหตุลึกลับที่เกิดขึ้นในห้องเก็บเอกสารของ โยมิอุริ ชิมบุน ก่อนที่เรื่องจะเริ่มต้นใหม่กับทุกตัวละคร โดยให้เจคกับซาโตะได้พบรักครั้งใหม่ ตำรวจฮิโรโตะพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับ โทซาวะ (แสดงโดย Ayumi Tanida) บอสยากูซ่าที่ข่มขู่เขา จนเรื่องก็ค่อยๆ เงียบลง ซึ่งเรื่องก็ใช้เวลาเล่าในตอน 2 เหมือนทะเลกำลังสงบ แต่จริงๆ คือเป็นสึนามิใหญ่ที่กำลังมาแทน

ตัวเรื่องเปิดตัวละครใหม่ โชโกะ นากาตะ (แสดงโดย Miki Maya) ผู้การที่มาใหม่และเตรียมแผนกวาดล้างยากูซ่าทุกแก๊งในโตเกียว (ในเรื่องระบุไว้ว่ามีเกือบ 30 แก๊ง) ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้ก็ต้องได้ฮิโรโตะมาช่วยด้วย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นการกลับมาขัดแย้งกับยากูซ่าอีกครั้ง โดยที่เจคกับซาโตะก็มีปัญหาชีวิตส่วนตัวที่ต้องแก้ในแนวทางต่างไปจากซีซั่นแรก

เรื่องราวของเจคมีการโฟกัสเรื่องราวในสำนักงานเพิ่มมากขึ้น ในตอนนี้เขาคือนักข่าวที่ทุกคนยอมรับแล้วว่าเขาทำงานได้ดี เขาต้องเจอปัญหากับเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นที่รู้สึกว่าถูกข้ามหัวไป กลายเป็นความขัดแย้งในที่ทำงานที่ต้องมีการแก่งแย่งข่าวจนแอบทรยศหักหลังกันเพื่อให้ได้ข่าวมา อีกทั้งในสำนักพิมพ์ก็มีปัญหาว่ามีหนอนที่ทำงานกับยากูซ่า ซึ่งเรื่องก็กลายเป็นการสืบสวนภายใน โดยเอมิหัวหน้าของเจคที่เธอเชื่อว่าการทำงานที่ดีมีหลักฐานอย่างรอบครอบจะช่วยตีแผ่เรื่องเลวร้ายได้ แต่ซีซั่นนี้คือการตีแผ่ให้เห็นมุมมืดอีกด้านของสื่อใหญ่ ที่มีผลประโยชน์เล่นเส้นสายการเมืองด้านหลัง จนกลายเป็นการทำงานแบบฟอกขาวให้ตัวเองรู้สึกไม่ผิด (ทั้งๆ ที่ทำผิด) เพื่อหาประโยชน์จากสิ่งที่เก็บซุกไว้ไม่ตีพิมพ์ออกมา ซึ่งในยุคนั้นหนังสือพิมพ์ก็ยังไม่มีเว็บไซต์และไม่นิยมกัน การจะตีแผ่เปิดโปงอะไรก็ต้องผ่านขั้นตอนการอนุมัติมากมาย ซึ่งสุดท้ายไม่ว่าบรรณาธิการจะใหญ่แค่ไหน แต่ก็ยังมีคนที่ใหญ่กว่านั้นควบคุมไว้อยู่ดี ซึ่งเรื่องก็ตีแผ่ปอกเปลือกออกหมดว่าสื่อใช้วิธีการจัดการข่าวร้ายๆ ที่ส่งผลกระทบมาถึงธุรกิจตัวเองได้ยังไง แต่เรื่องก็ไม่ใจร้ายไปทั้งหมด ยังมีตัวละครใหม่เป็นแฟนของเอมิเข้ามา โดยเป็นสื่อที่เล็กกว่า และก็เป็นทางเลือกใหม่ให้เอมิรู้สึกว่าต้องพึ่งพิงแทน

ในส่วนของซาโตะ เรื่องเปิดตัวละครใหม่เป็นรุ่นพี่ที่เข้ามาเป็นรองหัวหน้ารับผิดชอบแก๊ง แต่นิสัยและการกระทำของเขากลับเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเรื่องนำเสนอความขัดแย้งของทั้งคู่ในแบบที่ซาโตะต้องเก็บฝืนทนไว้ตามกฏลำดับชั้นของยากูซ่า โดยมีปัญหาหลักคือการลากน้องซาโตะให้กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ของแก๊ง แต่ที่จริงเขาโดนหลอกเข้ามาเป็นเหยื่อความขัดแย้งที่รุ่นพี่ชักใยไว้ โดยที่ซาโตะต้องพยายามช่วยน้องออกจากแก๊งตามสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ให้ได้ ซึ่งเรื่องก็ไ้ด้มีโอกาสเล่าถึงเบื้องหลังชีวิตของซาโตะที่ลึกขึ้นมากและเป็นไปในทางที่ดีเพื่อคลี่คลายปมในอดีตที่ทำให้เขากลายมาเป็นยากูซ่า  บทซาโตะจึงเด่นมากจนทำให้รู้สึกว่าเขาคือพระเอกของเรื่องนี้ไปเลยครับ

ส่วนเนื้อเรื่องเมนหลักของซีซั่นนี้คือ สงครามระหว่างแก๊งที่เริ่มเกิดขึ้นจากฝีมือของโทซาวะที่มีแผนการใหญ่ซ่อนเร้นไว้ ซีรีส์เล่าแบบค่อยๆ เผยให้เห็นว่าเขาวางแผนไว้ใหญ่ถึงขั้นครองประเทศนี้ได้อย่างไร โดยเป็นการตีแผ่เรื่องราวการหาอำนาจผ่านการเมืองซึ่งเหนือกว่ายากูซ่าปกติไปอีกขั้น ซึ่งความสัมพันธ์แบบนี้ก็มีจริง แต่เรื่องยกระดับขึ้นไปถึงยอดปิรามิดการเมืองเลย ซึ่งควบคุมประเทศญี่ปุ่นได้ เป็นเหมือนบอสใหญ่ของเรื่องนี้ โดยเรื่องของโทซาวะจะเกี่ยวพันกับตัวเอกทั้ง 3 คน และก็จะค่อยๆ คลี่คลายให้เห็นถึงความฉ้อฉลทางการเมืองทั้งในญี่ปุ่นและอิทธิพลการเมืองของยากูซ่านอกประเทศไปด้วย ซึ่งเรื่องขมวดปมทั้งหมดเข้ามาบรรจบกันได้อย่างดี สุดท้ายบทสรุปของเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ทางที่ถูกต้องนัก แต่ก็คือหนทางคืนความยุติธรรมที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้แล้วครับ และก็น่าจะเป็นการปิดฉากจบซีซั่นที่ดีมากเรื่องหนึ่งเลย (แต่ก็อาจจะทำต่อได้อีกเพราะเจคยังเป็นนักข่าวอยู่)

 

สรุปซีรีส์เล่าเรื่องซีซั่น 2 ได้แตกต่างในแง่มุมประเด็นใหม่ที่ลึกและแหลมคมขึ้นไปอีก และก็เคลียร์ปมจบแบบดาร์คลงตัวเข้ากับเรื่องราวทั้งหมดมาก ห้ามพลาดเลยครับ  

 


 

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ HBO เรื่องอื่นเพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!