รีวิว Man Vs Baby (Netflix) ภาคต่อที่ลดความงี่เง่าเกินเบอร์หันมาเป็นมนุษย์มากขึ้น
Man Vs Baby
Summary
ภาคต่อ Man vs. Bee ที่คราวนี้เปลี่ยนจากผึ้งมาเป็นทารกกับหมา ในเรื่องราวการดูแลเด็กหายภายใต้งานผู้ดูแลเพนต์เฮาส์หรูช่วงคริสต์มาส เต็มไปด้วยความน่ารักของเด็กกับความเฟอะฟะของตัวเอก แต่บทลดความงี่เง่าหลุดโลกแบบเดิมออกไปหมด ไม่มีฉากที่ตัวละครโง่จนน่าหงุดหงิด ดูดีกว่าเดิม แม้ความฮาแบบเว่อร์ๆ จะลดลง แต่ก็ยังทำได้ดี มีเสียงฮามาได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะมุกกับหมาจอมป่วนที่ฮากว่าเด็ก และเรื่องก็ไม่ลืมสานต่อพัฒนาตัวละครครอบครัวตัวเอกให้มากขึ้น แม้บทภรรยากับลูกสาวจะน้อย แต่ก็ปิดท้ายได้ฟีลกู๊ดกับช่วงเวลาคริสต์มาส โดยรวมแนะนำเลย แค่ 4 ตอนจบสั้นๆ ชั่วโมงกว่า ดูเถอะครับ
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- ภาคต่อ Man vs. Bee ที่ลดโทนความงี่เง่าเกินเบอร์ลง
- พัฒนาเรื่องราวตัวเอกต่อจากภาคก่อนนิดหน่อย
- 4 ตอนจบสั้นๆ
- มีพากย์ไทย
Cons
- ตลกเว่อร์ๆ แทบไม่มีแล้ว
- เสียงพากย์ไทยไม่ดีเท่าต้นฉบับ
ADBRO
Man Vs Baby ซีรีส์อังกฤษ Original Netflix 4 ตอนจบ ภาคต่อของ Man vs Bee ที่คราวนี้เปลี่ยนจากผึ้งสุดวุ่นวายให้กลายมาเป็นทารกน้อยในงานผู้ดูแลเพนต์เฮาส์หรูช่วงคริสต์มาส ที่พาเขาไปสู่ฉายแห่งความวายป่วงอีกครั้ง
รีวิว Man vs Bee ซีรีส์ที่ชวนหงุดหงิดกับความงี่เง่าเกินเบอร์ของตัวละคร แต่ก็ดู!
รีวิว Man Vs Baby
ภาคต่อที่ไม่ได้เป็นซีซั่น 2 แต่เป็นการนำตัวละคร เทรเวอร์ บิงลีย์ (โรแวน แอตคินสัน) กลับมาจากตอนจบของภาคแรกที่เขาทิ้งโลกสุดแสนเคร่งเครียดของงานดูแลคฤหาสน์ หันมาใช้ชีวิตที่เงียบสงบกว่าเดิมในฐานะภารโรงของโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่แล้วบริษัทก็กลับมาเรียกใช้เขาอีกครั้งด้วยข้อเสนอสุดยั่วยวน และเขาก็ดันมาเจอทารกน้อยในวันสุดท้ายของภาคเรียนจนต้องพาไปด้วย
สำหรับภาคก่อนที่มีผึ้งสุดป่วน แม้ผู้ชมจะรู้แต่แรกว่าการแสดงของโรแวน แอตคินสันเป็นแบบนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองว่าบทเขียนให้ตัวละครดูโง่จนน่ารำคาญเกินไปกับการจัดการผึ้งตัวเดียว มาในภาคนี้เหมือนผู้สร้างคิดใหม่ทำใหม่ ให้ตัวเอกดูเป็นคนปกติขึ้นมาเยอะ อาจเพราะบทเรียนจากภาคก่อนที่เขาต้องเข้าคุกเพราะผึ้งก็ได้ ภาคนี้เราจะไม่ได้เห็นอะไรที่งี่เง่าจนน่าหงุดหงิดแบบนั้นอีกแล้ว ตัวเรื่องหันมาตลกแบบจริงจังไปกับเรื่องราวป่วนจากทารกที่คลานไปคลานมาไม่อยู่นิ่งทั้งเรื่อง บวกกับความเฟอะฟะของตัวเอกร่วมด้วย ทำให้การแก้ปัญหาในเรื่องดูเป็นผู้เป็นคน เป็นแนวตลกน่ารักจากความบริสุทธิ์สดใสของเด็กกับช่วงเวลาคริสต์มาสได้ลงตัว ดูแล้วไม่รู้สึกชวนปวดหัวกับความงี่เง่า แต่ได้ฮาจากเรื่องราวตลกน่ารักจริงๆ
นอกจากทารกแล้ว ซีรีส์ยังใส่เจ้าหมาแสนซนเข้ามาร่วมด้วย เมื่อหมาของเพื่อนบ้านในเพนต์เฮาส์หรูมาติดใจรองเท้าเขา ซีรีส์เอาหมามาร่วมป่วนไปกับทารกควบคู่กันคนละอย่างสองอย่าง โดยทารกอาจจะดูเป็นมุกตลกใสๆ น่ารัก แต่เจ้าหมานี่คือตลกแบบเลอะเทอะตรงข้ามกันโดยแท้ อย่างมุกถุงขี้หมาที่มีกุญแจอิเล็กทรอนิกส์เปิดเพนต์เฮาส์ ซีรีส์ใช้มุกขี้หมานี่หลายรอบ แต่ก็ฮาทุกรอบไปกับมุกตลกสีหน้าช็อกของคนรอบข้างที่เห็นเขาใช้ถุงขี้หมาขึ้นลิฟต์มาด้วยกัน
ซีรีส์ยังแทรกเส้นเรื่องรองดราม่าซึ้งนิดๆ ไว้ด้วย โดยพัฒนาตัวละครครอบครัวของเขาเพิ่มขึ้นมา ภรรยาแยกทางกำลังไปอยู่กับแฟนคนใหม่ ลูกสาวก็ดูห่างเหินจากพ่อ ในขณะที่เขาเองก็ถังแตกเงินใกล้หมดแต่ต้องพยายามปกปิดอดีตภรรยาไว้ เรื่องใส่ตัวละครครอบครัวเขาเข้ามาแบบนิดเดียวก็จริง แต่มันก็เป็นจุดหักมุมที่น่าประทับใจไม่น้อยที่วกให้ตอนจบเป็นหนังคริสต์มาสดีๆ ได้ โดยที่ก็ไม่ลืมทิ้งท้ายว่าเขายังคงหนีความโชคร้ายหายนะวายป่วงไม่พ้น ซึ่งก็คงต้องมีภาคต่อแน่นอน
สรุป
ภาคต่อ Man vs. Bee ที่คราวนี้เปลี่ยนจากผึ้งมาเป็นทารกกับหมา ในเรื่องราวการดูแลเด็กหายภายใต้งานผู้ดูแลเพนต์เฮาส์หรูช่วงคริสต์มาส เต็มไปด้วยความน่ารักของเด็กกับความเฟอะฟะของตัวเอก แต่บทลดความงี่เง่าหลุดโลกแบบเดิมออกไปหมด ไม่มีฉากที่ตัวละครโง่จนน่าหงุดหงิด ดูดีกว่าเดิม แม้ความฮาแบบเว่อร์ๆ จะลดลง แต่ก็ยังทำได้ดี มีเสียงฮามาได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะมุกกับหมาจอมป่วนที่ฮากว่าเด็ก และเรื่องก็ไม่ลืมสานต่อพัฒนาตัวละครครอบครัวตัวเอกให้มากขึ้น แม้บทภรรยากับลูกสาวจะน้อย แต่ก็ปิดท้ายได้ฟีลกู๊ดกับช่วงเวลาคริสต์มาส โดยรวมแนะนำเลย แค่ 4 ตอนจบสั้นๆ ชั่วโมงกว่า ดูเถอะครับ