playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวชวนดู YOU เรื่องราวรักแท้ผ่านมุมมองสตอล์กเกอร์ (จุดเด่นกับข้อเสียที่ไม่เหมาะกับใคร)

สรุป

YOU เป็นซีรีส์แนวจิตๆ ที่ดูเป็นหนังเฉพาะทางสักหน่อย นี่ไม่ใช่หนังทริลเลอร์ที่เมคเซนส์ในเรื่องราว และก็วางตัวเป็นหนังรักสูงอยู่ด้วยเช่นกัน อาจจะต้องดูเป็นแฟนแนวนี้โดยเฉพาะไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ถ้าทดลองดูแล้วชอบ ทนกับความน่ารำคาญหลายอย่างในเรื่องได้ก็หลงชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ (ไม่ชอบก็เกลียดเลยครับ)
ปล.ฉากโหดในเรื่องนี้ไม่มากขนาดดูไม่ได้ แต่ก็มีความน่ากลัวอยู่พอสมควรครับ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
4.67 (3 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • รูปร่างหน้าตาพระเอกรวมถึงการแสดงเล่นได้สมกับบทบาทสตอล์กเกอร์
  • นางเอกมีเสน่ห์ Sex Appeal สูงมาก
  • มีจุดหักมุมเรื่องราวเยอะ เดาทางยาก
  • เสียงสะท้อนในความคิดให้คนดูได้ยินเป็นเอกลักษณ์ของเรื่องนี้

 

Cons

  • ความไม่เมคเซนส์ในการเอาตัวรอดของพระเอกเยอะมาก
  • จุดบอดของเรื่องราวมีเยอะหลายจุด
  • กราฟความน่าสนใจพุ่งขึ้นลงทั้งเรื่อง เพราะซีรีส์ไม่ได้เน้นไต่ระดับเรื่องราวไปจนไคลแม็กซ์ แต่มีแวะออกข้างทางเป็นระยะๆ

YOU ss1 เป็นซีรีส์แนวรักทริลเลอร์ ยอดนิยมติด TOP 5 มียอดคนดูถึง 40 กว่าล้านบัญชี ของ Netflix 2018 หลังออกฉายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2018 และในวันที่ 26 ธันวาคม 2019 ซีซั่น 2 ก็พร้อมฉายแล้ว(คลิกอ่านรีวิวซีซั่น 2 ได้ที่นี่) ในบทความนี้จะเป็นการแจกแจงว่า ทำไมซีรีส์นี้ถึงได้รับความนิยมสูงขนาดนี้ และควรจะดูหรือไม่ดูยังไงมาติดตามกันครับ

 You (2018) on IMDb
คะแนน IMDB

YOU เป็นเรื่องราวของโจ (Joe Goldberg) หนุ่มโสดผู้จัดการร้านขายหนังสือที่ภายนอกดูเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย ช่วยเหลือผู้คน การที่เป็นชายหนุ่มโสดก็มักมองหาหญิงสาวสวยมาเป็นคู่ชีวิต ซึ่งก็อาจจะดูปกติดี ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคลั่งไคล้ติดตามเกินปกติในระดับโรคจิตที่เรียกว่า “สตอล์กเกอร์” ซึ่ง “เบ็ค” (Guinevere Beck ) หญิงสาวที่มาหาซื้อหนังสือที่ร้านของโจก็ตกเป็นเป้าหมาย “รักแรกพบ” ในทันที ซึ่งเขาก็มุ่งมั่นติดตามทุกการกระทำของเบ็คทั้งในโลกจริงและออนไลน์ เพื่อหาทางชนะใจเบ็คให้ได้ และพร้อมกำจัดปัญหาทุกอย่างที่ขวางเขาไม่ให้รักกับเบ็คให้หมดไป

ตัวอย่าง YOU SS1

 

จุดเด่นของซีรีส์ YOU ที่แตกต่างอย่างน่าสนใจ

ซีรีส์เรื่องนี้ถ้าดูผ่านๆ ก็อาจจะเป็นหนังรักทริลเลอร์จิตๆ อีกเรื่องที่มีมาก่อนอยู่บ้างแล้ว แต่ You มีจุดเด่นแปลกแตกต่างจากแนวนี้อยู่หลายอย่างเช่นกัน

พระเอกสตอล์กเกอร์แนวเสมือนแอนตี้ฮีโร่

โจตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยก็เผยให้เห็นความผิดปกติทางจิตของเขากับความรักอย่างชัดเจน แต่ในอีกด้านเขาก็เป็นผู้ชายแสนดีมีคุณธรรม ช่วยเหลือเด็กที่ถูกพ่อทารุณไปพร้อมกัน ซึ่งนี่คือเรื่องราวของพระเอกแนวแบบกึ่งๆ แอนตี้ฮีโร่ ดูแล้วเอาใจช่วยพระเอกให้ทำตามแผนจิตๆ ของเขาได้มากกว่าจะเชียร์ให้เขาพลาดท่าเสียที ซึ่งตรงนี้เป็นความสนุกว่าเขาจะแก้ปัญหาจากการทำความผิดไปได้ยังไงมากกว่า ซึ่งหนังในแนวๆ นี้ที่ใกล้เคียงก็จะเป็นซีรีส์ Dexter ที่พระเอกเป็นฆาตกรต่อเนื่องทำงานในกรมตำรวจไล่ล่าฆ่าคนทำผิดกฎหมาย แต่ไม่ใช่เพื่อความยุติธรรมอะไร เขาทำไปเพื่อสนองปมทางจิตส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งถ้าใครดูเรื่องนี้ชอบ ก็หา Dexter ดูต่อได้เลยเช่นกัน หรือชอบ Dexter มา ก็น่าจะชอบ You อยู่ไม่น้อยครับ

 

นางเอกที่คนดูไม่ได้เอาใจช่วย?

ในมุมของโจ เบ็คคือสาวสวยตาสีเขียวมรกต ที่บอบบางดูน่าทะนุถนอมในแบบที่ผู้ชายอยากดูแล เข้าขั้นสาวเปอร์เฟ็กในฝันได้เลย แต่นั่นคือด้านที่โจมองเห็นในตอนแรก หนังมีเรื่องราวของเบ็คในแบบที่เหมือนที่โจคิดและเธอก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ก็มีเรื่องราวอีกด้านที่เธอก็เหมือนผู้หญิงปกติทั่วไปในสังคมที่หาประโยชน์จากความเป็นผู้หญิงทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ไม่ได้เปอร์เฟ็กต์แบบที่โจคิด และก็ไม่ได้เป็นนางเอกที่ทุกคนต้องเอาใจช่วยในแบบที่หนังรักทริลเลอร์ปกติควรจะเป็น ซึ่งหลังดูจบถึงกับทำให้แฟนๆ เรื่องนี้แบ่งฝ่ายออกมาเลยว่าเข้าข้างโจหรือเบ็คกันแน่

 

YOU เป็นหนังรักในทุกแง่มุม

จากหน้าหนังหรือเทรลเลอร์อาจจะดูว่าเป็นแนวทริลเลอร์ของผู้ชายจิตๆ แต่ยืนยันว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นหนังรักลึกซึ้งอยู่เต็มตัวด้วยเช่นกัน และก็ไม่ได้วางเรื่องราวธรรมดาแค่พระเอกโรคจิตตามหลงรักนางเอกแล้วเรื่องเดินตรงไปทางเดียวจนจบ แต่แบ่งซอยเรื่องราวความรักละเอียดทุกช่วง ตั้งแต่การพบรัก > ตามจีบ > ช่วงเดาใจกัน > ช่วงสารภาพรัก > ช่วงสวีท > ช่วงคิดลงหลักปักฐาน > ช่วงผิดใจ > ช่วงแยกทางกัน > ช่วงพบรักใหม่ > ช่วงถ่านไฟเก่ากลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง นี่คือซีรีส์ที่จับรายละเอียดทุกช่วงของความรักมาเล่นอย่างจริงจัง และก็มีสองมุมมองของทั้งโจและเบ็คด้วย (มุมของเบ็คจะมาช่วงหลังมีการนำเสนอเสียงในหัวแบบโจ) จนถ้าจะดูเรื่องนี้ในแง่มุมรักๆ โดยมองข้ามเรื่องจิตๆ ของโจไป ก็มีซึ้ง เศร้า อินในความรักของทั้งคู่ได้เลยเช่นกัน

 

การเล่าเรื่องผ่านเสียงสะท้อนทางความคิด

ความคิดและการกระทำของพระเอกในเรื่องถูกถ่ายทอดออกมาทางเสียงสะท้อนในหัวให้ผู้ชมได้ยินตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นการวางแผนคิดวิเคราะห์ในเรื่องความรักที่ต้องทำให้สำเร็จโดยขจัดอุปสรรคต่างๆ ออกไปให้หมด หนังเลยไม่ได้เป็นแบบซ่อนแอบอุบไต๋อะไรไว้ แต่คนดูจะได้สนุกที่ได้รู้ว่าโจคิดยังไง จิตไม่ปกติแค่ไหน ทำลงไปได้ตามที่คิดหรือเปล่า ระหว่างทำสติแตกแค่ไหนเมื่อเจอกับเรื่องเกินคาดคิด (ซึ่งมีตลอดเรื่อง) ซึ่งเสียงบอกเล่าตรงนี้เป็นจุดเด่นเมนหลักของสตอรี่ที่ใช้บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ

 

เล่นกับโซเชียลมีเดียจริงจัง

หนังนำเสนอรูปแบบการเล่าเรื่องผ่านโซเชียลมีเดียอย่างจริงจัง โดยใช้ความโรคจิตของโจติดตามอ่านเรื่องราวโซเชียลมีเดียของเบ็ค ซึ่งเบ็คเองก็เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่เล่นโซเชียลมีเดียแล้วพรีเซนต์ตัวเองอยู่บ่อยๆ เป็นข้อมูลที่โจเอามาปะติดปะต่อเรื่องราวให้เข้าใจเบ็ค และยังใช้ภาพการสนทนาแชทออนไลน์ขึ้นบนหน้าจอแทรกกับเรื่องราวด้วยภาษาไทยแทนต้นฉบับ แล้วก็เป็นภาษาแชทแบบคนเล่นโซเชียลเหมือนจริง ซึ่งช่วยประกอบเรื่องราวได้อย่างเป็นธรรมชาติน่าติดตามมากกว่าอ่านคำแปลจากซับไตเติลด้านล่างตามปกติ

 

โลกของหนังสือ

ซีรีส์เรื่องนี้เดินเรื่องเกี่ยวกับคนที่คลั่งไคล้หนังสือ เราจะได้เห็นรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับวงการสะสมหนังสืออย่างจริงจัง โดยโจเป็นผู้เชี่ยวชาญหนังสือระดับสเปเชียลลิสต์ที่ถึงขนาดมีห้องเก็บเสียงพร้อมกับปรับอุณหภูมิรักษาหนังสือ ได้เห็นการซ่อมแซมหนังสือแบบมืออาชีพ ทำให้โจเป็นตัวละครที่มีอาชีพที่น่าสนใจและหายากในปัจจุบัน (และก็มีที่มาที่ไปมีเหตุผลรองรับ) ส่วนตัวเบ็คเองก็เรียนเขียนนิยาย อยากเป็นนักเขียนนิยายมีชื่อ หนังมีฉากสำคัญที่เกี่ยวพันกับหนังสือมากมายไปจนจบเรื่องราว

 

โจไม่ใช่คนที่ไม่ปกติคนเดียวในเรื่อง (สปอยล์)

ไม่ใช่แค่โจที่มีตัวตนในด้านจิตไม่ปกติ แต่หนังมีตัวละครอื่นที่เหมือนโจในเวอร์ชั่นผู้หญิง เป็นตัวละครสำคัญอยู่ในเรื่องเสมือนคู่แข่งกับโจด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ทำให้เรื่องราวกลายเป็นการเจอกันของ “สตอล์กเกอร์ VS. สตอล์กเกอร์” ที่มีเล่ห์เหลี่ยมไม่แพ้กัน แต่น่าเสียดายที่บทตรงนี้ถูกปูมาแบบซ่อนแอบ แล้วพอเฉลยก็มีเรื่องราวไปต่อไม่นานนัก แต่ก็นับว่าเป็นจุดที่สนุกที่สุดของเรื่องนี้แล้วก็ได้

 

ข้อเสียที่อ่านแล้วไม่ชอบคือข้ามเลย

YOU ไม่เหมาะกับใคร?

ซีรีส์เรื่องนี้มีจุดเด่นน่าสนใจหลายอย่างที่บอกไปข้างต้น และตัวเลขคนดูมหาศาลจนติดท็อปต้นๆ Netflix 2018 ก็การันตีตรงนี้ได้ แต่หนังก็ส่วนที่หลายๆ คนที่ไม่อินกับเรื่องราวของตัวเอกแบบนี้เช่นกัน ซึ่งจะว่าเป็นจุดด้อยของเรื่องก็ได้ เพราะการนำเสนอเรื่องราวหนังในมุมนี้คนที่ชอบก็จะชอบไปเลย คนที่ไม่ชอบก็อาจจะเกลียดไปเลยเช่นกัน

 

หนังไม่เหมาะกับคนที่มองความรักแค่ในมุมปกติ

ในแง่มุมพาร์ทความรัก You เป็นหนังรักที่ไม่ได้เป็นความรักแบบปกติในสังคม ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องราวทริลเลอร์ในเรื่อง แต่หมายถึงส่วนพาร์ทของความรักในแบบใส่ใจทุกรายละเอียดจริงจังของที่โจมีให้กับเบ็ค ซึ่งอาจจะถูกมองว่าเว่อร์ๆ ฟุ้งๆ ไม่เมคเซนส์ไปหน่อย แต่ในเรื่องจริงคนที่เป็นสตอล์กเกอร์ก็มีความรักในมุมที่ละเอียดซับซ้อนแบบนี้จริง โดยถ้าตัดความไม่ปกติของเรื่องราวออกไปก็จะเห็นว่าเขาพยายามทำในแบบที่ทุ่มเทมากที่สุดให้กับผู้หญิงที่รัก แต่ก็นั่นแหละในมุมคนปกติดูหนังที่ไม่อินหรือเข้าถึงก็จะมองว่าตัวละครโจไม่ได้น่าเอาใจช่วยอะไรเลย เพราะทำตัวทุเรศเอง แถมหลายคนยังมองว่าพระเอกหน้าตาจืดๆ ไร้เสน่ห์อีกด้วยครับ ซึ่งถ้าตามบทจริงๆ สตอล์กเกอร์ก็ไม่ควรเด่นหรือมีเสน่ห์อะไรอยู่แล้วเหมือนกันซึ่งถ้าไม่เอาใจช่วยโจที่ทำตัวทุเรศๆ เพราะความผิดปกติทางจิตในเรื่องนี้ได้ ดูไปก็ไม่ได้สนุกไปกับเรื่องราวสักเท่าไหร่ครับ

 

ไม่ชอบพฤติกรรมนางเอกที่แสนลำไย (มีสปอยล์บางส่วน)

นางเอกในเรื่องนี้พฤติกรรมความรักของเธอแปรปรวนสูงมาก รวมถึงการทำตัวแย่ๆ ขี้วีน และยังลำไยน่ารำคาญเอามากๆ จนเป็นตัวละครที่คนดูพาลเกลียดมากที่สุดในเรื่องได้เลย

แต่ถ้ามองในแบบตามความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน หนังก็หยิบจับเอาพฤติกรรมของผู้หญิงยุคใหม่ที่มีคนแบบนี้จริงในสังคม และมักปล่อยเนื้อปล่อยตัวหาความสุขชั่วคราวง่ายๆ จากเทคโนโลยี อย่างการใช้แอพ Tinder ที่นางเอกใช้ ซึ่งคนที่วนเวียนอยู่กับแอพหาคู่ ก็มักจะมีพฤติกรรมหลายๆ อย่างแบบที่นางเอกในเรื่องนี้เป็นนี่แหละครับ ซึ่งสมเหตุผลหรือไม่แล้วแต่คนดูจะคิด

 

มองหาความเมคเซนส์ในแบบหนังทริลเลอร์จริงจัง

ซีรีส์เรื่องนี้ออกแนวแอนตี้ฮีโร่ พระเอกเป็นคนร้าย และก็ต้องพยายามทำเรื่องร้ายๆ ให้สำเร็จเพื่อสนองความเป็นโรคจิตส่วนตัว หนังเลยไม่ได้วางตัวเองไว้เป็นหนังแนวทริลเลอร์มีเหตุมีผลอะไรดีๆ สักเท่าไหร่ คือถ้ามัวแต่ไปมองหาเหตุผลการกระทำในเรื่องให้เมคเซนส์นี่จบเลย หนังมีความไม่เมคเซนส์ รวมถึงการรอดจากสถานการณ์แย่ๆ ที่ตัวเอกทำในแบบบังเอิญฟลุ๊คๆ โชคดีรอดได้หลายครั้ง ซึ่งถ้าไม่อินกับการเชียร์ให้ตัวเอกรอดให้ได้ หนังเรื่องนี้คือพังในความสมเหตุผล มีจุดบอดมาก ยิ่งกับกับคนดูที่มองหาความเมคเซนส์ของเรื่องราวแล้ว คงไม่เหมาะแน่นอน

มุมมองส่วนตัวผู้เขียนกับ YOU SS1

ปกติผมเป็นแฟนหนัง Dexter อยู่แล้ว ซึ่งตัวละครแบบ Dexter เองก็โรคจิตสุดขั้วที่กลมกลืนไปกับคนในสังคม ซีรีส์ก็ออกแนวเลือดสาดเป็นถัง หั่นศพเป็นชิ้นๆ โชว์ออกแนวหนังเกรดบีเลยก็ว่าได้ (แต่จริงๆ ซีรีส์นี้เกรด A) แต่กลับวางตัวเป็นหนังตลกเสียดสี มุกรอดตายในเรื่องแรกๆ ก็เป็นการวางแผนของตัวเอกที่ดี แต่หลังๆ บทก็ออกแนวฟลุ๊คโชคดีรอดไปซะเยอะ และพอยิ่งทำไปทำไปก็ยิ่งออกทะเลไปเยอะเหมือนกัน (แต่ก็ดู) แต่ตอนนี้ซีรีส์เรื่องนี้หลุดจากผัง Netflix ไทยไปแล้วก็อาจจะหาดูแบบถูกลิขสิทธ์ยากสักหน่อยเพราะไม่มีในสตรีมมิ่งที่อื่นในไทยเหมือนกัน ซึ่ง You ก็เป็นซีรีส์ที่มีความคล้ายคลึงกันในมุมพระเอกฆาตกรโรคจิต ที่เราต้องเอาใจช่วยให้รอดในแบบที่อาจจะแปลกๆ สักหน่อย ออกแนวดูเพื่อลุ้นเชียร์ให้พระเอกฆ่าคนแล้วเอาตัวรอดให้สำเร็จ เหมือนอย่างที่ Dexter ก็ดำเนินไปแบบเดียวกัน แล้วก็ดูฉากฆ่าคนแบบจิตๆ ในเรื่องราวเป็นหลัก (แต่ You ฉากโหดน้อยไม่ได้มีจะๆ แบบ Dexter) ซึ่งแฟน Dexter บางพวกดูเพื่อแทนตัวเองว่าได้ฆ่าใครเลยด้วยซ้ำ (แต่ไม่ได้อยากไปฆ่าคนในโลกจริง) ซึ่งเป็นเรื่องที่อธิบายรสนิยมแบบนี้ยากเหมือนกัน
พอ YOU เป็นแนวคล้ายกันแล้ว ผมก็ตัดการดูแล้วคิดหตุผลความสมจริงตามปกติออกไป เพราะเข้าใจว่าหนังไม่ได้วางตัวเองไว้ซีเรียสๆ แบบหนังทริลเลอร์ฆาตกรรมตามปกติด้วย เลยดูเรื่องนี้แบบไม่ได้คิดจับผิดอะไร และก็สนุกไปกับเรื่องราวจิตๆ ของพระเอก ซึ่งดูซับซ้อนตีกันในหัวดี รวมถึงตัวละครที่ไม่ได้มีแค่พระเอกที่จิตคนเดียวด้วย เลยทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดูเป็นการปะทะกันคนของคนโรคจิตที่สนุกว่าใครจะจิตกว่าใคร รวมๆ เลยถือว่าชอบเรื่องนี้มากอยู่เหมือนกัน (แต่ก็ยังน้อยกว่า Dexter ซีซั่นแรกๆ) แต่ต้องรอดูว่าซีซั่น 2 จะยังคงสดใหม่และรักษาเรื่องราวที่แฟนๆ ชอบได้แค่ไหนครับ
Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!