playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Analog Squad ทีมรักนักหลอก ใครชอบสไตล์ฟีลกู๊ด GTH คงถูกใจ แต่ถ้าไม่ใช่ก็มีเบื่อได้เลย…

Analog Squad ทีมรักนักหลอก

Summary

สรุปเป็นซีรีส์ไทยที่มาจากผู้กำกับดังสายฟีลกู๊ดดั้งเดิมจาก GTH โดยตรงและเป็นผลงานกำกับซีรีส์ครั้งแรก ซึ่งผู้ชมที่ชื่นชอบสไตล์นี้ก็คงถูกใจไม่น้อยกับการได้ดูเรื่องราวดราม่าฟีลกู๊ดยาวๆ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่ชอบก็ตรงกันข้าม ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังมีจุดที่ไม่ค่อยลงตัวนักด้วยบทแบบเดิมๆ ที่คาดเดาได้ง่าย และยังพยายามใส่ประเด็นต่างๆ มาจนล้นเพื่อยืดเรื่องให้ยาวเกินจำเป็น ส่วนการย้อนยุคเพื่อเล่าเรื่องสิ่งของจากยุค 90 ก็ทำออกมาได้ไม่กี่อย่าง ซึ่งแทบไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่กับการที่ต้องเห็นอะไรซ้ำๆ ในเรื่องวนไปวนมาขนาดนั้น นักแสดงเองแม้เล่นได้ดีแต่บทก็ยังมีข้อบกพร่องแปลกๆ ไม่สมเหตุผลใส่มาหลายครั้งจนดูประหลาด ที่ดีคือตัวละครผู้สูงอายุในเรื่องที่เป็นตัวแบกสร้างอารมณ์ดราม่าสะเทือนใจให้กับเรื่องได้อย่างแท้จริงครับ

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • แนวฟีลกู๊ดสไตล์ผู้กำกับ GTH มาเป็นซีรีส์
  • ผมกระทบของการโกหกสีขาว
  • ความสัมพันธ์ของครอบครัวที่มีความลับ
  • นักแสดงหลักเล่นได้ดีไม่แข็ง
  • ตัวละครปูกับย่าเล่นได้ดีมาก

 

Cons

  • ตัวเรื่องคาดเดาได้ง่ายตามสูตร
  • บทยังมีส่วนที่ใส่มาแปลกๆ เพื่อยืดเรื่อง
  • สิ่งของจากยุค 90 ถูกนำมาเล่นซ้ำมากไป
  • พยายามยัดเยียดสไตล์เน็ตฟลิกซ์เข้ามาแบบไม่จำเป็น
  • นักแสดงสมทบบทมีบทสำคัญแต่กลับไม่มีเวลาให้มากพอ

 

Analog Squad ทีมรักนักหลอก ซีรีส์ไทย Original Netflix 8 ตอนจบ เรื่องราวในปี ค.ศ. 1999 เมื่อสี่คนแปลกหน้าต้องมาปลอมตัวเป็นครอบครัวหลอกๆ เพื่อสมานรอยร้าวของครอบครัวตัวจริง แต่การหลอกครั้งกลับเลยเถิดจนนำไปสู่เรื่องราวความลับในชีวิตของพวกเขาเอง เล่นโดย ปีเตอร์ นพชัย, น้ําฝน กุลณัฐ, เจเจ กฤษณภูมิ และ ปริมมี่ วิพาวีร์ ผลงานการกำกับโดย ต้น นิธิวัฒน์ ธราธร

 

Analog Squad ทีมรักนักหลอก รีวิว ไม่สปอยล์

ซีรีส์ที่พาย้อนอดีตไปยุค 90 ที่หลายคนหลงไหล โดยผู้กำกับ ต้น นิธิวัฒน์ ธราธร หนึ่งในผู้กำกับแฟนฉัน แล้วก็มาดังจากผลงาน  Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (2549)  คิดถึงวิทยา (2557) แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ของ GDH แต่เป็น Jungka ที่ทำซีรีส์เด็กใหม่ และก็เป็นผลงานซีรีส์เรื่องแรกของผู้กำกับคนนี้ด้วย แต่โทนเรื่องนี้ก็มีความเป็นฟีลกู๊ดแบบ GDH อยู่เช่นเดิม แค่นำมาแปลงเป็นซีรีส์ขนาดยาว 8 ตอน 8 ชั่วโมง ซึ่งผลงานภาพยนต์กับซีรีส์มีแนวทางการเล่าเรื่องที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก นี่จึงเป็นผลงานที่ดูแล้วยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เนื้อหาพล็อตเรื่องค่อนข้างดีมากกับประเด็นการโกหกสีขาวผสมกับช่วงยุค 90 ที่มีเอกลักษณ์หลายอย่างให้น่าจดจำ

เนื้อเรื่องเริ่มมาด้วยตัวละครหลักทั้ง 4  เดินทางไปโกหกปู่กับย่าของปอนด์ที่เป็นผู้ว่าจ้างด้วยเงิน 1 แสนบาทกับการโกหก 3 วันว่าเป็นครอบครัวของปอนด์ที่ไม่ได้กลับมาพบปู่กับย่าถึง 20 ปี ซึ่งปู่โคม่าอยู่ในโรงพยาบาลโดยมีย่าคอยดูแลก่อนสิ้นใจ แต่การมาครั้งนี้กลับทำให้ปูฟื้นกลับมาได้ แล้วทุกคนก็เลยต้องโกหกกันต่อไปจนเลิกไม่ได้ และก็ทำให้ทุกคนกลายเป็นเหมือนครอบครัวกันจริงๆ  ซึ่งทำให้เรื่องค่อยๆ เลยเถิดไปก่อปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

 

ไอเดียของเรื่องถือว่าทำได้ดีเลยกับการโกหกสีขาวเพื่อช่วยเยียวยาจิตใจคนที่เรารัก ซึ่งมันไม่ได้ผิดซะทีเดียวถ้าทำให้เขาสบายใจและมีความสุข แต่ปัญหาคือความทุกข์ของคนที่โกหกมากกว่า ซึ่งในเรื่องคือจากตัวละคนที่เห็นแก่เงินในตอนแรก แต่กลับค่อยๆ ละอายใจที่รู้ว่าตัวเองทำผิดต่อคนที่กำลังโกหก รวมถึงยังสร้างปัญหาต่อเนื่องเมื่อต้องโกหกคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ด้วย จนกลายเป็นผิดสะสมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไขในภายหลัง ซึ่งในเรื่องไม่ได้ผูกปมนี้ไว้แค่ทั้ง 4 คน แต่ยังมีความลับของครอบครัวตัวละครเด็กวัยรุ่นอย่างเก๊กกับบุ้งที่มีเรื่องโกหกสีขาวจากคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน ซึ่งตัวเรื่องผูกปมไว้เฉลยในภายหลังว่าทั้งคู่นั้นต้องเจอกับอะไร และจะรับมือกับสิ่งนี้ยังไงเมื่อต้องพบกับคนใกล้ชิดโกหกเรามาตลอด ซึ่งจุดนี้เนื้อเรื่องผูกปมไว้ได้ดี มีความเป็นซีรีส์ที่ขยายเรื่องราวให้ใหญ่โตมากขึ้น และก็มาพร้อมดราม่าซึ้งๆ สะเทือนใจอยู่ตลอดเรื่อง 

แน่นอนว่าด้วยเรื่องราวดราม่าครอบครัวแบบนี้ย่อมเข้าทางผู้ชมที่ชื่นชอบสไตล์งานของผู้กำกับแน่นอน แต่สำหรับคนที่เบื่อเรื่องราวแนวนี้และก็เบื่อสูตรสำเร็จแบบหนัง GDH แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่ค่ายนี้สร้าง แต่มันก็ยังมีการผูกปมคลายปมลงล็อคในแบบเดียวกันจากความถนัดของผู้กำกับ ซึ่งทำให้เรื่องนี้เหมือนการนั่งดูหนัง GDH ที่ค่อนข้างเดาเรื่องได้หมดแต่แรกอยู่แล้ว แต่ยาวนานถึง 8 ชั่วโมงต่อกันซึ่งนานมาก และปมต่างๆ ที่เรื่องใส่ไว้ก็ไม่ได้แปลกใหม่มาก ซ้ำยังดูแปลกๆ ไม่สมเหตุผลในหลายครั้งด้วย อย่างการที่ตัวละครฟื้นหรือตายกันง่ายๆ การใส่ฉากแอ็กชั่นเข้ามาอย่างไม่จำเป็นในปมอดีตของปอนด์ หรือตัวละครสมทบที่ใส่เข้ามาขยายเรื่องก่อนจบหายไปง่ายๆ ซึ่งพวกนี้ก็คือการเขียนบทเพื่อยืดให้เรื่องยาวขึ้นเป็นเหมือนซีรีส์ ทั้งๆ ที่เอาจริงๆ มันก็สามารถทำเป็นหนังจบได้เช่นกัน หรือลดจำนวนตอนลงมาที่ 4-6 ตอนก็ยังได้ ซึ่งส่วนที่ยืดนี่ทำให้การรับชมเรื่องนี้ยาวเกินจำเป็นไปจนน่าอึดอัดจริงๆ (ทั้งๆ ที่แก่นเรื่องหลักค่อนข้างดี)

ในส่วนของโลกยุค 90 ที่ผู้สร้างต้องการเล่าถึงเสน่ห์และกระแสในยุคนั้น อย่างปัญหาความกลัว Y2K การใช้เพจเจอร์กันจนเป็นกิจวัตร การเลี้ยงดิจิมอนของตัวละครลิลลี ซีรีส์ทำออกมาแบบค่อนข้างยัดเยียดพวกนี้ลงไปมากจนดูไม่เป็นธรรมชาติ อย่างการที่มีตัวละครฝรั่งกลัวโลกแตกจาก Y2K จนต้องสะสมเสบียงตุนไว้ให้มีชีวิตรอดเพื่อให้เป็นมุกตลกที่ไม่ดีเท่าไหร่ ซึ่งปัญหา Y2K นี้มีหลายเรื่องนำมาเล่นอยู่เสมอให้เป็นกิมมิคที่ดีกว่านั้นได้ ส่วนเพจเจอร์ที่ในเรื่องเน้นย้ำใช้กันมากตั้งแต่ตัวละครเก๊กที่เป็นคอลเซ็นเตอร์พิมพ์คำส่งไป ตัวละครแทบทุกคนในเรื่องใช้เพจเจอร์กันถี่มากจนแทบจะเป็นการสื่อสารหลักของเรื่อง ซึ่งแม้สมัยนั้นฮิตก็จริงแต่การเดินเรื่องโดยพยายามใช้มันซ้ำๆ ถึงขั้นเอามาเล่นเป็นมุกต่างๆ มากมายมันดูล้นเกินไปจริงๆ หรือการวกไปเล่นดิจิมอนของลิลลี่อยู่หลายครั้งแบบคนติด ซึ่งทำให้ทั้งเรื่องมีแต่เน้นย้ำสิ่งเหล่านี้ไม่กี่อย่าง ในขณะที่หลายๆ อย่างของยุค 90 กลับดูให้ความสำคัญน้อยไปอย่างตู้โทรศัพท์สาธารณะที่มีแค่ฉากเดียว ม้วนวิดีโอก็นำเสนอแค่สั้นมากๆ ทั้งๆ ที่เป็นธุรกิจทางบ้านของบุ้ง หรือเกมในยุคนั้นก็มีให้เห็นแค่ฉากเดียวเป็น PS1 เล่นวินนิ่งนั่งเล่นอยู่กับบ้าน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นร้านเกมเช่าเวลาฮิตมากในไทย ซึ่งผู้เขียนเองก็ผ่านยุคสมัยพวกนี้มาก็รู้สึกเสียดายที่ผู้สร้างไม่ได้กระจายเรื่องราวไปยังสิ่งของในยุค 90 นี้มากพอกับการย้อนยุคในเรื่องนี้จริงๆ

 

ในแง่ของนักแสดงหลักของเรื่องถือว่าทำได้ดีพอผ่านทั้งหมด แต่ก็มีจุดเล็กๆ ที่ขอบ่นให้ฟังอยู่บ้างอย่างตัวละครปอนด์ที่ ปีเตอร์ นพชัย ก็ยังเล่นบทแข็งกร้าวพูดหยาบคายแบบเดิมจนแทบจะกลายเป็นลายเซ็นต์เดิมๆ ที่น่าเบื่อไปหน่อย (แต่ยังดีที่มีฉากดราม่าให้เล่นมากขึ้น) ส่วน น้ําฝน กุลณัฐ ในบทเมียปลอมของปอนด์ก็เล่นได้ดีกับความรักที่หวนกลับมาอีกครั้งกับปอนด์หลังถูกเขาทิ้งไปสมัยก่อน แต่ก็พยายามให้มีฉากเปลืองเนื้อตัวแบบดูแล้วไม่จำเป็นเท่าไหร่ ซึ่งถ้าไม่ได้ลงเน็ตฟลิกซ์ก็คงไม่จำเป็นต้องมีเลยด้วยซ้ำ ส่วน เจเจ กฤษณภูมิ (เก๊ก) และ ปริมมี่ วิพาวีร์ (บุ้ง) ก็เล่นเป็นตัวละครวัยรุ่นทะเล้นตึงตังที่เข้ากันดีกับคาแรกเตอร์นักแสดงอยู่แล้ว แต่บทพยายามเพิ่มเรื่องราวให้สองคนนี้มีซัมติงความรักกันแบบอยู่ๆ ก็มี แล้วให้บุ้งเป็นทอมที่โดนเก๊กจีบจนดูแปลกๆ กับอาการเขินอายต่างๆ เหมือนว่าการมาทำลงเน็ตฟลิกซ์ต้องพยายามให้มีประเด็นเหล่านี้ร่วมลงไปในบทด้วย ซึ่งมันดู WOKE ในยุค 90 แบบที่ไม่จำเป็น และเรื่องก็ยังพาสองตัวละครนี้ให้มาพิสูจน์ทัศนคติทางเพจว่าเก๊กจะเปลี่ยนใจบุ้งได้หรือไม่อีก ซึ่งมันดูเวิ่นเว้อเกินไปจริงๆ ครับ

ส่วนที่ต้องชมจริงๆ คือตัวละครปู่ สุรสีห์ อิทธิกุล กับย่า วิยะดา โกมารกุล ณ นคร  ทั้งคู่คือตัวละครที่กระชากอารมณ์ผู้ชมได้จริงทุกฉาก ด้วยความที่สองตัวละครนี้คือคนที่ถูกหลอกอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีมิตรภาพกลับมาให้ทุกคน ซึ่งนักแสดงทั้งคู่ทำให้ทุกฉากที่ออกมามีความเข้มข้นและอารมณ์ของความรักจากผู้สูงอายุแก่ลูกหลานเสมอ 

 

ส่วน โยโกะ ทาคาโน่ รับบทเป็น เป้ แม่ของเก๊ก อดีตเซ็กซี่สตาร์ นางแบบถ่ายภาพนู้ด กับ กษาปณ์ จำปาดิบ รับบทเป็น รักหรือป๋าเพื่อนร่วมงานคนสนิทของเก๊ก ทั้งคู่เป็นตัวละครสำคัญ แต่บทกลับน้อยเป็นแค่สมทบจนน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่มีความเข้มข้นของเรื่องมากไม่แพ้กัน หรืออย่างทางครอบครัวของบุ้งยิ่งน้อยเข้าไปอีก ซึ่งเป็นการแบ่งบทที่ไม่สมดุลย์เลยทั้งๆ ที่มีเวลามากขนาดนี้ 

 

สรุปเป็นซีรีส์ไทยที่มาจากผู้กำกับดังสายฟีลกู๊ดดั้งเดิมจาก GTH โดยตรงและเป็นผลงานกำกับซีรีส์ครั้งแรก ซึ่งผู้ชมที่ชื่นชอบสไตล์นี้ก็คงถูกใจไม่น้อยกับการได้ดูเรื่องราวดราม่าฟีลกู๊ดยาวๆ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่ชอบก็ตรงกันข้าม ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังมีจุดที่ไม่ค่อยลงตัวนักด้วยบทแบบเดิมๆ ที่คาดเดาได้ง่าย และยังพยายามใส่ประเด็นต่างๆ มาจนล้นเพื่อยืดเรื่องให้ยาวเกินจำเป็น ส่วนการย้อนยุคเพื่อเล่าเรื่องสิ่งของจากยุค 90 ก็ทำออกมาได้ไม่กี่อย่าง ซึ่งแทบไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่กับการที่ต้องเห็นอะไรซ้ำๆ ในเรื่องวนไปวนมาขนาดนั้น นักแสดงเองแม้เล่นได้ดีแต่บทก็ยังมีข้อบกพร่องแปลกๆ ไม่สมเหตุผลใส่มาหลายครั้งจนดูประหลาด ที่ดีคือตัวละครผู้สูงอายุในเรื่องที่เป็นตัวแบกสร้างอารมณ์ดราม่าสะเทือนใจให้กับเรื่องได้อย่างแท้จริงครับ

 

including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!