playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Crazy About Her บ้า…ก็บ้ารัก หนังรักตลกที่ชวนให้เสียน้ำตามากกว่าเสียงหัวเราะ (ไม่มีสปอยล์)

Crazy About Her

สรุป

หนังรักตลกฟอร์มเล็กจากสเปน แต่กลับมีดีเกินคาดด้วยดราม่าเรื่องราวของผู้ป่วยจิตเวชที่สะเทือนใจจนเรียกน้ำตาได้ง่ายๆ และก็ยังคงเรื่องราวความรักของคนปกติกับผู้ป่วยจิตเวชในแบบเป็นจริงไม่เพ้อฝันสวยๆ ทั้งยังทำให้คนดูได้เข้าใจโลกของผู้ป่วยจิตเวชในแง่มุมใหม่มากขึ้นไปอีกครับ (ถ้าใครเคยดู It’s Okay to Not Be Okay แล้วชอบสตอรี่เรื่องราวผู้ป่วยแบบนั้น เรื่องนี้ก็เป็นแบบเดียวกันเลยครับ)

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • จังหวะซึ้งดราม่าเรียกน้ำตามาปุ๊บปั๊บไม่ต้องบิ้วกันเลย
  • นำเสนอปัญหาของผู้ป่วยกับโลกปกติออกมาได้สะเทือนใจ
  • เรื่องรักแบบเรียลๆ กับคนป่วยจิตเวช
  • หนังแซมเรื่องตลกแบบไม่ดูถูกหรือลดค่าของผู้ป่วยจิตเวชเลย
  • นักแสดงสมทบเล่นเป็นผู้ป่วยทางจิตได้เหมือนจริงมากๆ
  • เพลงประกอบเพราะๆ ที่แทรกมาเบาๆ ในเรื่องกำลังดี

 

Cons

  • ด้วยเวลาที่จำกัดตัวละครผู้ป่วยในเรื่องถูกเล่าออกมาหลักๆ แค่ 3 คน ไม่ครบทุกคน
  • อาการของโรคที่นางเอกเป็นยังแสดงออกมาไม่ครบทั้งหมด
  • พระเอกอาจจะดูไม่ได้มีเสน่ห์มากนัก (แต่ก็ไม่ได้เสียหายหรือแสดงไม่ดี)

Crazy About Her บ้า…ก็บ้ารัก หนัง Netflix รักตลกดราม่าจากสเปน ที่พาคุณไปพบกับเรื่องราวความรักในแบบต่างๆ ของผู้ป่วยจิตเวช ผ่านเรื่องราวความรักของหนุ่มผู้หลงรักสาวรักสนุกวันไนท์สแตนด์ในค่ำคืนเดียว แต่แล้วกลับพบว่าเธอคือผู้ป่วยจิตเวชที่หนีออกจากโรงพยาบาลบ้า ทางเดียวที่จะเข้าหาเธอคือ ต้องแสร้งบ้าเพื่อเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย!

 Crazy About Her (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Crazy About Her บ้า…ก็บ้ารัก

พล็อตเรื่องนี้รวมทั้งตัวอย่างที่ออกมาดูยังไงนี่ก็คือหนังรักที่ขายพล็อตบ้าๆ ที่ให้พระเอก “อาดรี้” เอาตัวเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า (ในรีวิวขอใช้คำนี้แทนจิตเวช เพราะในเรื่องนี้ก็ใช้คำว่าบ้าตรงๆ จะเข้าใจง่ายกว่า) เพื่อตามหา “คาร์ล่า” หญิงสาวที่ตัวเขาหลงในคืนเดียว แม้ตัวเองจะเป็นหนุ่มรักสนุกจีบสาวตามผับมาก่อนนี้แล้วก็ตาม แต่ด้วยความที่จู่ๆ ก็ประทับใจในลูกบ้าหลายอย่างที่เธอพาเขาไปทำอะไรใหม่ๆ ในคืนนั้น ก่อนจบลงด้วย SEX และการลาจากอย่างเร่งด่วน ทิ้งไว้ให้เขางุนงงตกผลึกตัวเองอยู่นาน ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรเฝ้าแต่คิดถึงเธอในคืนนั้น สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าเธอคือผู้ป่วยจิตเวช และก็ต้องยอมโกหกบอสว่าจะขอเข้าไปในโรงพยาบาลบ้า เพื่อหาข้อมูลมาเขียน แต่จริงๆ คือต้องการเข้าไปขอเบอร์โทรแล้วออกมา แต่กลายเป็นว่าเมื่อปลอมประวัติว่าตัวเองบ้าและเข้าไปได้ สาวที่เขาหลงรักในคืนนั้นกลับเป็นคนไม่ใช่ในตอนนี้ และเขาก็ถูกกักตัวไว้ไม่สามารถกลับออกมาจากที่นั่นได้อย่างแผนที่เตรียมไว้

ฟังดูเรื่องราวมันน่าจะเป็นหนังตลกจริงๆ จังๆ ที่เอาคนปกติดีไปอยู่ในดงคนบ้าใช่มั้ยครับ แต่กลายเป็นว่านี่เป็นหนังรักตลกที่เต็มไปด้วยดราม่าลึกซึ้ง สะเทือนใจ จนเสียน้ำตาได้ไม่รู้ตัว เมื่อเรื่องราวดำเนินไปแบบไม่ได้เน้นตลกอะไรมากอย่างที่เข้าใจในตอนแรก และก็ไม่ได้เอาอาการทางจิตของผู้ป่วยมาเล่นเป็นเรื่องตลก ด้อยค่าคนที่ป่วยเป็นโรคแบบต่างๆ ในเรื่องนี้เลย กลายเป็นว่าพระเอกที่เข้าไปเพราะเรื่องรัก กลับต้องพบกับโลกใหม่ที่ทำให้เขาต้องใกล้ชิดผู้ป่วยจิตเวชหลากหลายแบบ และต้องคบเป็นเพื่อนเพื่อให้การประเมิณจากผู้ป่วยด้วยกันเองออกมาได้ดี จะได้มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตข้างนอกได้ แต่การคบเป็นเพื่อนนี้กลับทำให้เขารับรู้ว่าโลกในนี้มีเรื่องราวปัญหาในชีวิตสะเทือนใจของผู้ป่วยจิตเวชที่ใครยากจะเข้าใจซ่อนอยู่ในตัวทุกคน และกลายเป็นพระเอกเองที่มาช่วยทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้รู้สึกปลดล็อกสิ่งที่ค้างคาไว้ในชีวิต

หนังทำช่วงดราม่าปลดล็อกปัญหาออกมาได้สะเทือนใจในแบบไม่บิ้วคนดูให้รู้ก่อนเลยว่านี่คือสิ่งที่ผู้ป่วยคนนี้ต้องการให้พระเอกช่วย ซึ่งซีนแรกที่ออกมาเป็นเรื่องราวของชายที่คิดว่าตัวเองอยู่ในโลกของสายลับต้องปกปิดความลับตัวเองทุกอย่าง หนังทำได้น่าประทับใจมากในการส่งต่ออารมณ์ในเรื่องที่พระเอกประสบอยู่ไปยังผู้ชมได้ทันที เรียกว่าใครอ่อนไหวนี่มีน้ำตาแตกแน่นอน และก็มีเคสต่อจากนั้นตามมาอีกเป็นเรื่องราวความรักของผู้ป่วยด้วยกันเอง จากสาวที่เป็นโรคชักกระตุกหลงรักหนุ่มรักสะอาดแบบเว่อร์ๆ (เป็นโรคจิดแบบหนึ่ง) ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องราวลุ้นรักจากพระเอกที่ทำตัวเป็นกามเทพให้ทั้งคู่ ผ่านสกิลสำนวนการเขียนสคิปต์ของพระเอกที่เป็นงานถนัด และก็มีเรื่องราวอื่นๆ ตามมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งหนังใช้เวลาส่วนนี้ไปชั่วโมงกว่า แทบไม่ได้มายุ่งกับเรื่องปัญหาความรักของพระเอกนางเอกแบบที่เริ่มมาตอนแรกเลย แต่กลับทำออกมาได้ประทับใจ ให้ความรู้สึกฟีลกู๊ดลุ้นให้ผู้ป่วยเหล่านี้ได้ผ่านปัญหาชีวิตไปให้ได้

หลังผ่านไปชั่วโมงกว่าเรื่องถึงวกกลับเข้ามาที่ปัญหาความรักของพระเอกที่เกิดขึ้นในตอนแรก และก็มีฉากที่พระเอกต้องเลือกว่าจะออกหรือจะอยู่ต่อไป ซึ่งหนังวางจังหวะเหตุผลของเรื่องไว้ลงตัวมาก ทำให้เราเชื่อได้ว่าทำไมพระเอกเลือกที่จะไม่ไป แม้จะกลับออกไปได้ง่ายๆ แล้วก็ตาม เมื่อพระเอกเลือกอยู่เพื่อแก้ปัญหาความรักที่เกิดขึ้นกับนางเอก ซึ่งเป็นโรคจิตประเภทหนึ่งที่อันตรายกับคนรอบข้าง (อ่านในสปอยล์ด้านล่างเพิ่มได้ว่าโรคอะไรครับ) และก็เป็นสาเหตุให้เธอปิดใจกับทุกคน กลายเป็นสาวรักสนุกไม่ผูกพันหรือต้องการรู้สึกยึดติดใครไว้กับตัว จึงทำให้พระเอกต้องพยายามให้เธอเปิดใจและเชื่อว่าโรคนี้ต้องรักษาหายได้ เป็นช่วงที่หนังออกแนวสวีทโรแมนติกให้กำลังใจฝ่าฟันปัญหาให้กับคนรัก ซึ่งฟังดูอาจจะน้ำเน่า และดูก็เหมือนหนังง่ายๆ ตามสูตร แต่กลายเป็นว่านี่เป็นแค่ช่วงพักก่อนจะเข้าสู่ปมปัญหาที่แท้จริง ซึ่งหนังเลือกเส้นทางไม่เพ้อฝันไปจากความเป็นจริง และก็ทำให้คนดูเข้าใจเชิงลึกมากขึ้นด้วยว่า สิ่งที่พระเอกทำไม่ใช่สิ่งที่ถูกนัก ปัญหาของคนป่วยทางจิตไม่ใช่จะแก้กันได้ง่ายๆ แบบที่คิด แต่ไม่ต้องกลัวว่าหนังจะจบแบบเศร้าหดหู่ เพราะหนังหาทางออกจบในแบบที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุดได้ดี แต่ก่อนจบมีฉากตลกๆ กลับมาหลุดโลกนิดหน่อยให้คนดูได้ยิ้มๆ ผ่อนคลายกำลังดี เรียกว่าจบสวยลงตัวมากครับ

นางเอกเป็นโรคไบโพลาร์ตั้งแต่อายุ 13 ซึ่งทั้งด้านมีความสุขก็มีปัญหากับชีวิตจากการทำอะไรเกินตัวบ้าบอไปหมด อย่างรูดบัตรเครดิตพ่อจนหมดวงเงิน หรือการคิดว่าตัวเองเห็นอะไรที่คนอื่นไม่เห็นจนกลายเป็นการกระทำห่ามๆ ที่อาจจะอันตรายกับตัวด้วย

บทชายที่คิดว่าตัวเองอยู่ในโลกสายลับ ตีบทแตกกระจุย

อีกสิ่งที่ทำให้เรื่องดีขึ้นมากคือ ตัวละครสมทบที่เป็นผู้ป่วยในโรคต่างๆ กันในกลุ่มเพื่อนพระเอก แต่ละคนแสดงออกมาดีเว่อร์จนเหมือนเป็นผู้ป่วยโรคนั้นจริงๆ โดยเฉพาะสองคนหลักที่ป่วยคิดว่าตัวเองเป็นสายลับกับสาวโรคชักกระตุก หนังไม่ได้มีบททำให้พวกเขาดูตลกเลย กลับกันเรากลับรู้สึกสะเทือนใจ เข้าใจมากขึ้นว่าทำไมคนป่วยถึงเลือกปิดตัวเองมาใช้ชีวิตในนี้แทนที่ข้างนอก แต่จุดนี้ก็น่าเสียด้วยว่าพอเป็นหนังความยาวแค่ชั่วโมงกว่า ทำให้เรื่องไม่สามารถปันเวลาให้กับคนป่วยอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนพระเอกได้มากกว่าสองคนนั้นที่เป็นตัวหลักของเรื่องราวดราม่าในเรื่องนี้

นานๆ จะมีหนังเน็ตฟลิกซ์แท้ๆ ที่เขียนบทออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ลวกๆ ไม่เป็นไปตามสูตรง่ายๆ ถ้าใครเคยชอบหนังแนวผู้ป่วยทางจิตอย่าง One Flew Over the Cuckoo’s Nest (บ้าก็บ้าวะ) ของแจ็คนิโคลสันที่เก่าแบบขึ้นหิ้ง หรือ ซีรีส์เกาหลีน้ำดีปีก่อน It’s Okay to Not Be Okay เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน ที่ทั้งสองเรื่องเกี่ยวโรงพยาบาลและผู้ป่วยจิตเวชทั้งคู่ เรื่องนี้ก็คืออารมณ์ใกล้เคียงกัน และก็ทำออกมาได้เคารพผู้ป่วย ไม่ถูกนำมาเป็นตลก แนะนำเลยว่านี่จะเป็นหนังเล็กๆ ที่ดูจบแล้วเก็บเกี่ยวความประทับใจกลับไปได้มากกว่าที่คิดแน่นอนครับ

 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!