playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ Daybreak โลกถล่ม รัก (ไม่) ทลาย  Netflix

Daybreak โลกถล่ม รัก (ไม่) ทลาย

สรุป

หนังแม้จะเริ่มต้นช่วงแรกด้วยพล็อตกับโลกเฉิ่มๆ แต่พอหลุด 3 ตอนแรกไปหนังกลายเป็นคนละม้วน ดูดีขึ้นมาทันตา พร้อมกับเรื่องราวมิตรภาพ ความรัก การเติบโตทางจิตใจแบบ Coming of Age ที่ทำออกมาได้ดีแบบไม่น่าเชื่อกับลุคพิลึกพิลั่นของหนังเรื่องนี้เหมือนกัน

แต่ว่าปัญหาของหนังคือการยัดเรื่องราวความคัลท์มาเยอะมาก จนทำให้อารมณ์หนังลากขึ้นๆ ลงๆ ป่วนไปหมด กลายเป็นจะอินหรือซึ้งก็ไม่สุดไป แถมบางช่วงปวดหัวกับเรื่องราวสุดคัลท์นี้ด้วยครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ตัวละครทุกตัวมีโลกของตัวเองที่น่าติดตาม
  • นางเอกมีเสน่ห์ชวนให้ใครๆ ก็รักได้จริง (รวมถึงคนดู)
  • น้องแองเจลิก้าเด็กสาวสุดแสบ มีเสน่ห์ในแบบจิ๋วจี๊ดมากๆ
  • หนังมีส่วนของเรื่องราวมิตรภาพความรักวัยรุ่นครบเครื่อง และทำออกมาได้ดีซะด้วย
  • หนังมีเสน่ห์เฉพาะในแบบแปลกๆ ถ้าใครชอบก็คงชอบเลย
  • หนังมีพากษ์ไทย

Cons

  • ความคัลท์สุดโต่งแบบที่ไม่แคร์ใครเลย
  • มุกเสริมเรื่องราวเก่าคลาสิคเกินผู้ชมวัยรุ่นจะเก็ท! (แต่ไม่ต้องเก็ทก็ได้เหมือนกัน)

Daybreak ชีวิตจะเป็นยังไงนะหลังวันสิ้นโลก คงไม่เหมือนที่เราคาดไว้หรอก เรื่องราวของจอชและผองเพื่อนหลังวันสิ้นโลก ที่โลกนี้เหลือแต่วัยรุ่น พวกเขาจะใช้ชีวิตกันแบบไหน ในเมื่อไม่มีผู้ใหญ่มาเจ้ากี้เจ้าการให้ทำอะไรอีกต่อไป
 Daybreak (2019) on IMDb

ตัวอย่าง Daybreak โลกถล่ม รัก (ไม่) ทลาย  Netflix

ต้องเตือนกันก่อนเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นแนวหนังคัลท์ ดังนั้นต้องทิ้งตรกะเหตุผลทุกอย่างกองไว้นอกสมองก่อนตัดสินใจดู และถึงจะตัดสินใจดูก็ใช่ว่าจะเข้าใจหรือรู้เรื่องทันมุกนอกเรื่องต่างๆ ที่หนังหยิบจับเอามาผสมยัดปั่นรวมกันเป็นโกโก้ครั้นช์มาให้คนดูได้เสพแบบมึนๆ งงๆ เอ๋อๆ ไปกับเรื่องราวที่มันบ้าบอมากๆ แบบใครทนดูความบ้าพวกนี้ไม่ไหวอาจจะได้อาการไมเกรนแถมให้ฟรีระหว่างดูอีกด้วย

ในเมื่อหนังดูเข้าใจยากแบบนี้ แล้วหนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร? ถ้าดูจากหน้าหนังคงคิดว่าก็แน่ล่ะสิหนังเขาไว้ให้วัยรุ่น Gen ใหม่ดู แต่เอาจริงๆ ไม่น่าจะใช่ทั้งหมด เพราะหนังเลือกหยิบอะไรที่แบบโหย…คลาสสิคเก่าแก่ของยุค 80s-90s มาเล่นแบบจริงจังผสมลงไปในเรื่องหลายอย่าง อย่าง การ์ดเกม MTG (Magic the Gathering), Mad Max, Pokemon มิวทู, ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง, ซามูไรพ่อลูกอ่อน อะไรพวกนี้ ซึ่งคน Gen ใหม่วัยใสก็คงมึนแน่นอนว่ามันคืออะไร ยังไง จะขำดีไหม? แถมหนังไม่ได้คิดจะอธิบายว่าพวกนี้คืออะไร ยังไง แบบไหน ให้กับคนดูเสียด้วยซ้ำ เหมือนเป็นงานที่ผู้กำกับรับเงิน Netflix มาผลาญๆๆ เอาความมันส์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องมาเกรงใจคนดูตามไม่ทัน ปั่นรื่องราวหนัง เกม ของเล่น ทั้งเก่าและใหม่มายัดรวมกันให้เป็นเรื่องราวแหวกแนว กะให้เท่ แต่มันก็ไม่ได้ออกมาเท่แบบที่คิดเสมอไป….

แต่ช้าก่อน! อย่าพึ่งคิดว่าหนังเรื่องนี้ห่วยแตก ดูยาก ไม่มีดีอะไรแบบนั้น กลับกันต้องบอกว่า เฮ้ย ถ้าคุณดูทัน หรือพยายามไม่คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล หนังมันก็มีดีในตัวแบบคาดไม่ถึงเหมือนกัน แถมด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่แอบรักหนังเรื่องนี้ได้เลยเช่นกัน

เริ่มงงแล้วใช่ไหมว่าตกลงหนังเรื่องนี้มันยังไง บอกตรงๆ ว่าการดูหนังเรื่องนี้แทบจะใช้การทำความเข้าใจแบบหนังทั่วไปไม่ได้เลย หนังเริ่มต้นด้วยแนวโลกล่มสลาย (ดิสโทเปีย) ที่เอาโลกของหนัง Mad Max มาใช้เต็มๆ (ตรงนี้ถ้าใครไม่เคยดูลองหาเวอร์ชั่นล่าสุดของปี 2015 มาดูก็ได้ครับ คลิกที่นี่) แค่หนังเลือกตัดผู้ใหญ่ทิ้งไปหมดให้กลายเป็นซอมบี้ (ในหนังเรียกว่าปอบ) โดยแทบไม่ได้สนใจให้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมาไขปมปริศนาอะไร หรือเอาไปเป็นฉากแอ็กชั่นตามสูตรหนังซอมบี้วิ่งไล่กัด 4×100 อะไรแบบนี้ก็ไม่มีหรอกนะครับ

Daybreak
Daybreak ไม่ใช่หนังเน้นซอมบี้ไล่กัดอะไรแบบนั้น แต่เป็นหนังเรื่องราวชีวิตวุ่นๆ ของวัยรุ่นสุดป่วนในวันสิ้นโลก

หนังโฟกัสไปที่เด็กๆ ที่เหลือรอดใช้ชีวิตแต่งองค์ทรงเครื่องแบบ Mad Max เล่นแบ่งเผ่า ก๊วน แก๊งค์ อะไรไปตามเรื่อง ซึ่งก็ไม่พ้นต้องมีความดิบโหดแบบตลกเลือดสาดหน่อยๆ  แทรกตัดสลับกับแฟลชแบ็คย้อนเรื่องราวไปในในชีวิตก่อนวันที่โลกล่มสลายจากหัวรบจรวดบอมบ์ลงทั่วโลก ซึ่งหนังเลือกไม่เล่าอะไรตรงนี้ในตอนแรกทั้งสิ้น และคนดูก็ไม่ต้องไปสนใจด้วย เพราะเรื่องราวจริงๆ คือการใช้ชีวิตวัยรุ่นแบบเดิมๆ เพิ่มเติมคือโลกล่มสลาย ทำให้ไม่มีกฎเกณฑ์ของสังคมอะไรมากรอบชีวิตพวกเขาอีกต่อไป อย่างว่าล่ะน่ะเอาจริงๆ นี่มันก็เหมือนฝันชัดๆ หนังเสียดสีได้ตรงจุดเหมือนกันในแง่ที่ว่า ถ้าโลกมันเละ แล้วทำไมต้องซีเรียส ใช้ชีวิตให้มันส์สุดเหวี่ยงไปไม่ดีกว่าหรือ! ซึ่งช่วง 3 ตอนแรกนี่แหละทำเอาผมปวดกบาล เพราะหนังดูง่อยๆ สเปะสะปะไร้ทิศทางมาก เหมือนต้องมาทนดูหนังแย่ๆ โครงเรื่อง Mad Max ที่มีพระเอก “จอช” วิ่งไล่ตามหาแฟนที่หายไป แล้วก็ต้องไปสู้กับเผ่าต่างๆ แบบง้องแง้งปัญญาอ่อนสิ้นดี

แต่พอเข้าตอนที่ 4 หนังเริ่มมีอะไรใส่เข้ามาแบบ เฮ้ย…ดีว่ะ คือดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าหนังพาเรื่องราวกลับมาจุดที่เป็นผู้เป็นคน และก็เป็นอะไรที่ซึ้ง แถมยังพลิกผันให้เรื่องราวกลับมาดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ หนังเปลี่ยนตัวเองฉับพลันกลายเป็นว่าเรื่องราวใน 3 ตอนแรกกับช่วงหลังตอน 4 ไปคนละโทน จากแนว Mad Max วัยรุ่นบ้าบอไร้สาระ กลายมาเป็นการเติบโตทางความคิด พร้อมเปลี่ยนทิศทางหนังไปแนว Coming of Age ให้กับทุกตัวละครได้หน้าตาเฉย ซึ่งทำออกมาดีเสียด้วยสิ แถมด้วยฉากจบตอน 4 ที่เป็นอะไรแบบ…มันเกย์มาก แต่คือดีย์ด้วยเช่นกัน (ถ้าใครเคยดูซีรีส์  Netflix ประจำคงเห็นว่าพยายามให้หนังมีความหลากหลายในเรื่องเพศ LGTB สูง) ซึ่งหนังพร้อมจะพาประเด็นเรื่องราวข้อคิดดีๆ ทิ้งท้ายจากตอนนี้ไปต่อในตอนต่อๆ ไป หนังแทบจะทิ้งเรื่องราวความบ้าคลั่งมั่วๆ แบบ 3 ตอนแรกไปเลย กลายมาเป็นหนังมู๊ดใหม่โทนใหม่ ซึ่งถ้าใครทนดูมาถึงตรงนี้ได้ เรียกว่าน่าจะดูต่อจนจบได้แน่แล้วเช่นกัน

นางเอก Daybreak
นางเอกเรื่องนี้ขอบอกว่าแจ่มแมวจริงๆ มีเสน่ห์สุดๆ ตามบทเป๊ะ! -Daybreak

แต่…(ขออีกรอบ) ก็ไม่ใช่ว่าหนังจะกลับมาดูง่ายสบายๆ เพราะหลังจากนั้นหนังเน้นเล่นเรื่องราวของแต่ละตัวละครแบบเจาะลึกเข้าไปในหัวสมอง สร้างออกมาเป็นจินตนาการเพี้ยนๆ จนหนังมีอารมณ์มู๊ดโทนการนำเสนอรื่องราวแบบขึ้นๆ ลงๆ ตีลังกาเป็นรถไฟเหาะกันเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่จอชที่เป็นพระเอกมีบทเด่นคนเดียว เอาจริงๆ เพื่อนพ้องน้องพี่ หรือแม้แต่ศัตรูของจอชก็มีเรื่องราวแยกแบบละเอียดให้ดูกัน แถมทำได้น่าสนใจกว่าของพระเอกเองซะอีก (ที่มันน้ำเน่ามากๆ กับการตามหาสาวคนรักที่หายไปในโลกดิสโทเปีย) หนังพาไปพบกับเรื่องราวของตัวละครเด่นๆ ในเรื่อง แล้วก็ทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น ผูกพันกับพวกเขามากขึ้น โดยมีคอนเซ็ปต์ชัดเจนที่ว่าพวกเขาเหล่านี้จริงๆ ก็ยังเป็น “เด็ก” ที่ลึกๆ แล้วก็โหยหา “ผู้ใหญ่” ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งหนังทำออกมาได้ดีทีเดียวกับประเด็นของแต่ละคน กลายเป็นส่วนที่ซึ้งเล็กๆ เต็มไปด้วยมิตรภาพและความอบอุ่นน่ารัก ทำให้ต้องมองหนังเรื่องนี้ใหม่หลายตลบเลยทีเดียว

แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เด็กเป็นบทเด่น หนังสอดแทรกตัวละครผู้ใหญ่ไว้ในเรื่องด้วย ซึ่งมีทั้งแฟลชแบ็คกลับไปตอนโลกเป็นปกติ และผู้ใหญ่ในโลกล่มสลายหลงเหลืออยู่ด้วย ซึ่งจะกลายมาเป็นตัวละครที่เซอร์ไพรส์หลายอย่างในเรื่องไปจนจบ แถมเปิดเรื่องราวจากหนังซอมบี้อาจจะกลายเป็นหนังที่มีอะไรเหนือธรรมชาติมากกว่านั้นอีกก็ได้ในซีซั่นต่อไป

DAYBREAK

แม้หนังจะมีเรื่องราวความรัก มิตรภาพ ในโลกวุ่นๆ บ้าบอคอแตกแบบโอเครับได้ สนุกอยู่ แต่ข้อเสียของหนังอย่างจังๆ คือความคัลท์แบบไม่สนใจคนดู ซึ่งหนังเลือกทางสุดโต่งไปหน่อย แม้จะเป็นอะไรที่พอตามทันเข้าใจได้ แต่ก็ยังคิดว่าหนังเลือกเล่นหลายอย่างสุดโต่งมากไปเหมือนกัน รวมถึงฉากจบที่เรียกว่าเป็นสูตรหนังซีรีส์ฝรั่งบังคับจบแบบตั้งใจหักมุมคนดู ในกรณีหนังเรื่องอื่นๆ มักจบแบบอยากให้ดูต่อ แต่กับเรื่องนี้รู้สึกว่าหนังตั้งใจหักเรื่องราวโดยการกระโดดข้ามการอธิบายเรื่องราวที่แท้จริงมากเกินไป แทบทำให้เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดไม่มีค่าเลยก็ว่าได้ครับ

หนังเปลี่ยนให้ “แซม” แฟนของพระเอกกลายเป็นตัวร้าย จากเหตุผลที่ว่าเริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer ผู้มีอิทธิพลชี้นำในโซเชียล) เลยทำให้กลายมาเป็นบ้าอำนาจขึ้นมาชี้นำเหล่าวัยรุ่นที่เหลือแทนตัวร้ายเก่าที่พึ่งถูกโค่นลงไป

โลกถล่มมันทำให้สิ่งที่ซ่อนอยู่เผยออกมาได้ง่ายขึ้น ตรงนี้คือประเด็นหลักของเรื่อง อันนี้ต้องวิเคราะห์กันตั้งแต่ก่อนโลกถล่มว่าคลิปของแซมถูกโพสต์นานแล้ว แต่เธอก็ยังคบกับจอชมาตลอด โดยที่จอชเป็นไอ้ขี้แพ้ไม่มีอะไรให้เธอต้องมาหาผลประโยชน์สักนิด และก็มีความจริงใจให้จอชจริง (แม้จะไม่ทุกอย่าง) อย่างแอพเช็คจำนวน SEX ที่เธอพยายามให้จอชดูเพื่อแก้ความเข้าใจผิดว่าเธอร่าน แต่จอชกลับเลือกไม่รับรู้ตรงนี้

ก่อนโลกถล่มเธอจริงใจคบจอชจริง แต่พอหลังโลกถล่มถึงเริ่มเปลี่ยนไป หนังเล่นกับช่วงเวลาค้นหาเส้นทางชีวิตของวัยรุ่น โดยใช้โลกถล่มมาเป็นตัวหักเหชีวิตแทนการจบการศึกษา ซึ่งจุดเปลี่ยนตรงนี้มันเป็นเส้นบางๆ ช่วงที่เลิกคบกับจอช (กับโลกถล่มต่อมาพอดี) ในฉากที่นางยอมสวมมงกุฎควีนอยู่หน้ากระจก แล้วเริ่มยิ้มพอใจกันสถานะนี้ ซึ่งถ้านางเป็นแบบนี้อยู่แล้วแต่ซ่อนไว้ ฉากนี้คงไม่มีให้เห็น แสดงว่าพึ่งมาเปลี่ยนตอนหลังโดยที่หนังกระโดดข้ามตรงนี้ไป เพราะต้องการจะทำให้หักมุมสุดๆ ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาครึ่งหลังที่นางโผล่มากับการกระทำต่างๆ ที่ดูไม่ได้เป็นคนวางแผนอะไรขนาดนั้น

ถามว่าควรดูไหม บอกยากเหมือนกัน แต่คิดว่าควรดูถึงจุดที่บอก ถ้ารู้สึกว่าเริ่มชอบ เริ่มเก็ทกับประเด็นเรื่องราวใหม่ๆ กับวิธีการเล่าเรื่องแปลกๆ ได้แล้วล่ะก็น่าจะชอบอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขนาดว่าห้ามพลาด แต่มันก็ประหลาดที่จะบอกว่าไม่รักตัวละครสุดเพี้ยนในเรื่องนี้เหมือนกันครับ ถือเป็นซีรีส์เน็ตฟลิกซ์สุดแนวที่มีเสน่ห์แบบแปลกๆ ควรจะต้องลองดูด้วยตัวเอง ตัดสินด้วยตัวเองครับ

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!