playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Ray เรื่องเล่าของเรย์ หนังสั้น 4 ตอน ที่มีดีแค่ตอนแรก นอกนั้นไม่ผ่านข้ามไปได้เลย

  • คะแนนตอน 1 - 7/10
    7/10
  • คะแนนตอน 2 - 4/10
    4/10
  • คะแนนตอน 3 - 5/10
    5/10
  • คะแนนตอน 4 - 4.5/10
    4.5/10

สรุป

ซีรีส์ที่มาแนวหนังสั้น 4 ตอน มีแค่ตอนแรกเท่านั้นที่พอเรียกได้ว่าชวนดูน่าติดตาม อีกสามตอนที่เหลือคือผ่านได้เลย ไม่คุ้มที่จะเสียเวลาดูจริงๆ

Overall
5.1/10
5.1/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • หนังสั้น 4 ตอนมีแนวทางแตกต่างกัน

 

Cons

  • มีเนื้อเรื่องดีแค่ตอนแรก ตอนที่เหลือเนื้อเรื่องพื้นๆ เข้าขั้นกลวงมาก
  • จุดขายแนวทริลเลอร์จิตวิทยามีแค่ตอนแรก ตอนอื่นไม่ใช่แนวนี้เลย
  • ตอน 2 จากเรื่องปกติดันมีเหนือธรรมชาติโผล่มาแบบงงๆ

 

Ray เรื่องเล่าของเรย์ ซีรีส์อินเดีย Netflix 4 เรื่องจบในตอน จากเรื่องสั้นของ สัตยาจิต เรย์ นักเขียนชื่อดังชาวอินเดีย เป็นแนวทริลเลอร์ผสมเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติกับปมจิตวิทยารวมกัน

 Ray (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Ray เรื่องเล่าของเรย์

ซีรีส์อินเดียเรื่องนี้ที่จริงก็คือหนังสั้น 4 ตอน แต่อาจจะยาวกว่าหนังสั้นปกติหน่อย โดยเวลาแต่ละตอนชั่วโมงกว่านิดๆ  ซึ่งคำโปรยของเรื่องระบุว่าเป็นแนวจิตวิทยาชวนระทึกกับเสียดสีสังคม แต่จริงๆ แล้วมีแค่ตอนแรกนี่แหละที่เรียกว่าครบถ้วนตามคำโปรย และก็มีแค่เรื่องแรกนี้แหละที่พอให้ชวนดูน่าสนใจได้ อีกสามตอนที่เหลือออกแนวพื้นๆ เหมือนหลอกให้ดู โดยที่เนื้อเรื่องไม่ได้มีความน่าสนใจเท่ากับตอนแรกเลย

ตอน 1 อย่าลืมฉัน

ในตอนแรกเป็นเรื่องของหนุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีความจำเป็นเลิศ เขาสามารถใช้ความจำแก้ปัญหาต่างๆ ในการทำงานและชีวิตได้หมดจรด แต่วันหนึ่งเขาได้เจอผู้หญิงที่มาทักเขาที่บาร์เหมือนรู้จักเขามาก่อน แต่เขากลับจำไม่ได้และยืนยันว่าไม่เคยเจอเธอมาก่อน แต่เธอกลับรู้วันเกิดและยังเล่าว่าในช่วงเวลานั้นเขากับเธอได้ไปเที่ยวด้วยกันอย่างสนุกสนานทั้งอาทิตย์ และเขาหลงเธอมาก แต่เขาก็มั่นใจว่าไม่เคยเจอเธอมาก่อนแน่นอน และไล่เธอไป แต่เรื่องนี้กลับติดค้างในหัว จนเขาต้องตามสืบค้นเรื่องราวของตัวเองสิ่งที่ผู้หญิงนั้นบอกเป็นเรื่องจริงหรือไม่

เนื้อเรื่องในตอนนี้ชวนให้คนดูสงสัยไปพร้อมกับตัวเอก เป็นเรื่องในแนวสืบสวนหาความจริงพร้อมกับปมจิตวิทยาว่าด้วยความจำ ซึ่งตัวเอกเป็นคนมั่นใจในเรื่องนี้มาก และเพื่อนร่วมงานก็รับรู้มาตลอดว่าเขาไม่เคยจำหลงลืมอะไร แต่เมื่อเขาเริ่มสงสัยค้นหาคำตอบที่ผู้หญิงคนนั้นทิ้งไว้ กลับกลายเป็นว่าเรื่องค่อยๆ เริ่มเผยให้เห็นว่าความทรงจำที่ตัวเอกมีก็อาจจะไม่ใช่ของจริง แถมการไปเจอหลักฐานหลายอย่างตามคำพูดของหญิงสาวปริศนานั่นด้วย ทำให้คนดูเองก็คงเดาไม่ถูกว่าเรื่องจริงๆ มันเป็นยังไงกันแน่ ซึ่งหนังค่อยๆ บีบให้ตัวเอกเครียดกดดันจนชีวิตที่สมบูรณ์แบบของเขาเริ่มมีปัญหา ก่อนจะเคลียร์ปมในตอนท้ายด้วยการให้ตัวเอกตามรอยสถานที่เหล่านั้น ซึ่งเรื่องมีสับขาหลอกคนดูพอสมควร และเฉลยตอนสุดท้ายก็โอเคเลย แม้จะมีหลายอย่างดูเว่อร์และไม่สมเหตุผลเลยก็ตาม ถ้าให้คะแนนก็สัก 7 ได้ไม่น่าเกลียด เพราะตัวเรื่องชวนให้เราลุ้นตามได้ตลอดเรื่องไปจนจบ

 

ตอน 2 ศาสตร์แห่งการปลอมตัว

ตอนสองเป็นเรื่องของชายวัยกลางคนที่มีอาชีพแต่งหน้านักแสดง มีฐานะจนๆ แต่แล้วเขาได้รับมรดกจากยายเป็นตำราการแปลงโฉมพร้อมเงินจำนวนมาก (ยายของตัวเอกมีอาชีพทำพวกหน้ากากแปลงโฉมให้หนังฮอลลีวูด) ซึ่งเขาก็ใช้ตำราเล่มนี้แปลงโฉมตัวเองเป็นชีวิตใหม่ และก็นำโฉมหน้าเหล่านี้มาแก้แค้นคนที่เคยกระทำไม่ดีกับเขา

แม้พล็อตเรื่องจะดูน่าสนใจ มีไอเดียที่ดีเลยกับการให้ตัวเอกลุกขึ้นมาล้างแค้นด้วยศาสตร์แห่งการแปลงโฉม แต่หนังก็ไม่ได้ใช้การแปลงโฉมตรงๆ เป็นคนอื่น แต่ใช้นักแสดงที่เล่นเป็นคนนั้นมาเล่นเป็นตัวเอกตอนแปลงโฉมแทน ซึ่งก็ดูไม่ค่อยลงทุนเท่าไหร่ แถมเรื่องราวการล้างแค้นก็มีนิดเดียว ไม่ค่อยมีความน่าสนใจอะไรด้วย (แค่ปลอมเป็นหัวหน้างานไปเปิดบัญชีทำเหมือนยักยอกเงินบริษัท) หลังจากนั้นตัวเอกอยู่ๆ ก็ไปหาเรื่องผู้วิเศษที่กำลังมีชื่อเสียง โดยปลอมตัวไปทดสอบว่าสามารถทำนายทายทักเขาได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่รู้ทำไปทำไม แม้จะมีการโยงว่าตอนแรกตัวเอกพยายามโทษเทพเจ้าว่าทำให้ชีวิตเขาตกต่ำ แต่เหตุผลมันก็อ่อนมากไปกับจุดนี้ แถมยังกลายเป็นแนวเหนือธรรมชาติเกินจริงไปอีก แค่เพราะต้องการให้เรื่องหักมุมเป็นแนวสยองขวัญในตอนจบ อารมณ์พวกซีรีส์ฝรั่งสมัยก่อนอย่างเรื่องเล่าจากหลุมศพ (Tale from the Crypt) ซึ่งไม่เวิร์คเลยที่เรื่องจู่ๆ ก็หักมาเป็นแนวแบบนี้ แถมยังตัดจบไปแบบไม่เคลียร์อะไรเลยทั้งสิ้นอีกด้วย จบแบบน่าเกลียดมาก

 

ตอน 3 โวยวายกันทำไม

ในตอนนี้เป็นเรื่องของชายสองคนที่มาเจอกันในรถไฟตู้นอน ตัวเอกคือนักร้องบทกลอนดังของอินเดีย อีกฝ่ายคือชายที่มีอดีตเป็นนักมวยปล้ำ ก่อนจะมาเป็นนักข่าวกีฬา แต่ปัจจุบันชีวิตของเขากลับมอดไหม้ไปหมดแล้ว การมาเจอกันของทั้งคู่ทำให้เรื่องราวในอดีตของทั้งสองคนกลับมา และก็มีความจริงซ่อนอยู่เมื่อทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อนในอดีต

ชื่อตอนอาจจะดูงงๆ แปลกๆ ซึ่งมาจากท่อนร้องเพลงฮิตของตัวเอก และตอนนี้มาในแนวตลก เนื้อเรื่องแทบจะกลวงๆ ไม่มีอะไรเลย เป็นแค่การมาเจอกันของคนสองคนที่ฝ่ายหนึ่งขโมยนาฬิกานำโชคของอีกฝ่ายไป ทำให้ฐานะของทั้งคู่สลับกันในปัจจุบัน เรื่องพยายามโยงว่าการขโมยนั้นมาจากโรคจิตเวช Kleptomania ซึ่งมีจริง แต่ก็ไม่ได้ผูกเรื่องให้น่าสนใจอะไรเลย แถมยังวกกลับไปเรื่องศาสนาไถ่บาป การชดใช้กรรมแบบไม่ได้จริงจังอะไร กะให้เป็นแนวตลกมากกว่า ซึ่งรวมๆ แล้วทั้งตอนมีแต่น้ำแทบไม่มีเนื้ออะไรเลย แม้จะพยายามจบหักมุมนิดๆ ให้ดูฟีลกู๊ด แต่รวมๆ คือไม่มีอะไรน่าสนใจพอให้ผ่านได้เลยจริงๆ

 

ตอน 4 สปอตไลท์

ดาราดังชายผู้มั่นใจในสายตาของตัวเองที่เป็นเสน่ห์หากินในวงการมาตลอด เขากลับต้องมาเจอกับ “ดิดิ” เจ้าแม่ผู้วิเศษที่มีเนตรศักสิทธิ์ทำให้ผู้คนหลงไหลกลายเป็นสาวก เขากับเธอต้องมาแย่งห้องในโรงแรมแห่งหนึ่งที่มาดอนน่าเคยพัก และการต่อสู้กันครั้งนี้ทำให้ต่างฝ่ายต่างค้นพบความจริงของกันและกัน

เหมือนยิ่งทำยิ่งหมดมุก เนื้อเรื่องในตอนนี้นอกจากจะเป็นแนวตลกเสียดสีวงการดารากับลัทธิ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรจับต้องได้เลย เกินครึ่งเรื่องคือการที่ตัวดาราชายเครียดที่ต้องมาเจอความนิยมของเจ้าแม่ข่มไว้หมดในเมืองเล็กๆ ที่เขาไปทำงาน และการถูกบดบังรัศมีดาราทุกทางทำให้เขาเล่นไม่ออก เครียดหนักจนสุดท้ายก็ต้องไปเผชิญหน้ากับเจ้าแม่โดยตรง ก่อนที่เรื่องจะพลิกกลับว่าตัวเจ้าแม่เองก็มีดาราคนนี้เป็นแรงบันดาลใจมาตลอด ซึ่งเรื่องทำมาเสียดสีสองวงการนี้ตรงๆ อาจจะไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้สนุกอะไรมาก ตอนท้ายก็ทำแนวหนังอินเดียเว่อร์ๆ ตลกๆ กับพลังของเจ้าแม่บวกดารารวมกัน แล้วก็คลี่คลายปัญหาเล่นไม่ออกของดาราในตอนจบแค่นั้น เป็นตอนที่กลวงสุดของเรื่องนี้แล้วจริงๆ

ติดตามรีวิวหนังอินเดีย Netflix เรื่องอื่นได้ที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!