playinone.com
รีวิวหนัง ซีรีส์ Netflix HBO Prime Disney+ Apple TV+ สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Alien: Earth เริ่มต้นเป็นเอเลี่ยนที่แปลกใหม่ แต่พอจบกลายเป็นอลิซใน RE

Summary

ซีรีส์ที่สร้างเอเลี่ยนโดยเอามาเป็นแค่จุดตั้งต้น แต่ไม่ได้ยึดโยงกับเนื้อเรื่องในเวอร์ชั่นภาพยนตร์เลย แล้วก็ยังดัดแปลงใส่ความเป็นเอเลี่ยนในแบบของตัวเองจนดูแปลกประหลาดไปจากซีโนมอร์ฟโดยปกติ โดยเฉพาะการที่เวอร์ชั่นนี้ซีโนมอร์ฟสามารถถูกสั่งควบคุมใช้งานได้ ซึ่งทำให้ความสยองขวัญแบบเดิมๆ หดหายไปเยอะ แล้วการที่เอาซีโนมอร์ฟมาปรากฏตัวบนโลกในที่สว่างกลางป่า (ไทย) ก็ทำให้ดูเป็นชุดยางจนเห็นได้ชัด อาจจะเข้าขั้นน่าเกลียดสำหรับแฟนๆ ภาพยนตร์ดั้งเดิมไปเลย แต่ถึงส่วนของซีโนมอร์ฟจะไม่ดีเท่าเดิม ซีรีส์ก็ได้ใส่สัตว์ประหลาดใหม่ๆ เข้ามาในจักรวาลนี้เป็นของตัวเอง ซึ่งพวกนี้กลายเป็นจุดที่น่าติดตามในแต่ละตอนที่ค่อยๆ เผยความสามารถของมันออกมา แล้วการที่ซีรีส์ไม่ได้ยึดโยงกับจักรวาลภาพยนตร์ก็ทำให้เรื่องราวบนโลกเปลี่ยนแปลงไปหมด เนื้อเรื่องไปเน้นที่ตัวหุ่นทั้ง 3 แบบในโลกนี้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ 5 แห่งที่ยึดกุมโลกไว้นอกจากเวย์แลนด์-ยูทานิ ซึ่งเป็นส่วนต่อเติมขยายที่ซีรีส์ทำได้ดีมากๆ กับการตั้งคำถามลึกถึงความเป็นมนุษย์ การหาทางมีชีวิตเป็นอมตะ และอัตลักษณ์ของชีวิต ซึ่งใน 4 ตอนแรกเรื่องค่อนข้างลึกซึ้งเต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าค้นหาคำตอบ แต่ 4 ตอนหลังของซีรีส์บทกลับไปเดินเรื่องราวเร่งรีบไปในแนวหนังสัตว์หลาดไซไฟธรรมดาที่มนุษย์มักสะเพร่าพลาดทำอะไรชุ่ยๆ จนทำให้กลายเป็นแนวสยองขวัญสูตรสำเร็จเดิมๆ แทนที่จะพาตัวเรื่องไปสู่ทิศทางที่วางไว้ตอนแรกอย่างเข้มข้นจริงจัง ซึ่งน่าผิดหวังมาก แต่ก็ยังอยากดูต่อถ้าซีซั่นต่อไปสามารถปรับจูนให้ทุกอย่างเข้าทิศทางได้ดีกว่านี้ครับ 

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • สัตว์ประหลาดใหม่ในจักรวาลเอเลี่ยน
  • โลกที่ถูกสร้างเรื่องราวใหม่แตกต่างจากหนัง
  • ขยายโลกของหุ่นในเอเลี่ยนให้ลึกซึ้งขึ้นมาก
  • ถ่ายทำที่ไทยเป็นหลัก
  • มีพากย์ไทย

 

Cons

  • บทช่วงครึ่งหลังกลายเป็นสูตรสำเร็จเดิมๆ
  • ซีโนมอร์ฟถูกดัดแปลงไปจากของเดิมมาก
  • ชุดยางของซีโนมอร์ฟในที่สว่างดูไม่ดีพอ
  • เรื่องราวไม่ได้สอดคล้องกับภาพยนตร์เลย

 

 

ADBRO

Alien: Earth ซีรีส์ไซไฟ-สยองขวัญ บน Disney+ จำนวน 8 ตอนจบซีซั่นแรก เล่าเรื่องในปี 2120 ซึ่งเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในภาพยนตร์ Alien (1979) โดยมีฉากหลักอยู่ที่เมือง “นิวสยาม” ซึ่งเป็นเมืองสูงระฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงสีนีออนและถ่ายทำในประเทศไทย ซีรีส์นี้สร้างโดย FX Studio ภายใต้การอำนวยการสร้างโดย Ridley Scott ผู้ปลุกปั้นแฟรนไชส์ Alien ดั้งเดิม

 

รีวิว Alien: Earth (มีสปอยล์บางส่วนไม่มาก)

แฟรนไชนส์เอเลี่ยนที่แตกออกเป็นซีรีส์ขนาดยาวหลายซีซั่นครั้งแรก ซึ่งสิ่งที่ทุกคนที่เป็นแฟนเรื่องนี้คงสงสัยกันว่าจากหนังสยองขวัญ 2 ชั่วโมงจบในพล็อตแบบเดิมๆ จะกลายมาเป็นเรื่องเล่าขนาดยาวได้อย่าง แต่ผู้สร้างและเขียนบท: Noah Hawley (ผู้สร้างซีรีส์ชื่อดัง Fargo และ Legion) ก็มีไอเดียในหัวที่สามารถจับเรื่องราวไซไฟสยองขวัญนี้มาเล่าโดยสามารถขยายเรื่องราวไปไกลมากอย่างแทบไม่น่าเชื่อเลย เพียงแต่ว่าทิศทางเรื่องราวใหม่นี้มันอาจจะไม่ตอบโจทย์ผู้ชมที่หวังคำตอบการเชื่อมต่อไปยังจักรวาลหลักที่ Ridley Scott ผู้ปลุกปั้นแฟรนไชส์ Alien ดั้งเดิมได้ทำเอาไว้เลย

สิ่งที่ดีมากจนต้องขอชมคือการเซ็ตติ้งเรื่องราวบนโลกใหม่ในอนาคตที่ถูกควบคุมโดยบริษัทขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ Prodigy, Weyland-Yutani, Lynch, Dynamic และ Threshold มีฉากหลักอยู่ที่เมือง “นิวสยาม” ที่ถ่ายทำในประเทศไทย เรื่องราวเริ่มจากยานวิจัย Maginot ของบริษัท Weyland-Yutani ตกลงใจกลางมหานครนิวสยาม นำภัยจากสิ่งมีชีวิตอันตรายอย่าง “ซีโนมอร์ฟ” (Xenomorph) และสายพันธ์ต่างดาวอื่นเข้ามาบนโลกเพื่อทดลอง แต่ไปตกอยู่ในมือของ Prodigy บริษัทที่กำเนิดโดยเด็กอัจฉริยะอย่าง “บอย คาวาเลียร์” โดยซีรีส์เน้นเรื่องไฮบริด มนุษย์ที่ฝังจิตสำนึกในร่างสังเคราะห์อย่าง Wendy ตัวเอกที่เป็นต้นแบบไฮบริดคนแรกที่ Prodigy สร้างขึ้นมาพร้อมกับเด็กแบบเดียวกันอีก 5 คน เรียกว่า Lost Boy เด็กหลง ที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวในปีเตอร์แพนที่บอยชื่นชอบ ซึ่งการเล่าเรื่องเป็นการตั้งคำถามเรื่องความเป็นมนุษย์ การหาทางมีชีวิตเป็นอมตะ และอัตลักษณ์ของชีวิต ซึ่งเต็มไปด้วยความลึกทางปรัชญาและจริยธรรม ทั้งการสร้างพวกนี้ขึ้นมาและการทดลองสิ่งมีชีวิตต่างดาวหลายอย่างที่มากับยานลำนั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเอเลี่ยนเวอร์ชั่นที่เน้นเล่าเรื่องของหุ่นที่โดยปกติมักเป็นตัวละครสมทบและมักเปนตัวร้าย แต่เรื่องนี้พวกเขามีความคลุมเครือในการคิดตัดสินใจที่ผู้ชมคาดเดาไม่ได้เลยตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง มีทั้งเป็นตัวเอกและตัวร้ายผสมกันในหลายตัวละคร ซึ่งนี่เป็นความสนุกที่สุดของซีรีส์เรื่องนี้แล้ว ว่าใครร้ายกว่าใครกันแน่ระหว่าง ซินธ์ หุ่นที่เราเห็นในเอเลี่ยนมาตลอด ไซบอร์ก มนุษย์ที่มีการดัดแปลงเครื่องจักรเข้าไปในตัว และ ไฮบริด ที่นำจิตใจมนุษย์เข้าไปอยู่ในร่างหุ่น โดยมีมนุษย์ผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเองและดูเหมือนควบคุมทุกอย่างไว้ได้ แต่ความจริงกลับไม่ได้อย่างนั้นซะทีเดียว

ส่วน ซีโนมอร์ฟ ในซีรีส์นี้ เอาจริงๆ กลายเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังมากที่สุด เพราะการที่ไม่ได้ยึดเอาตามแบบต้นฉบับปัจจุบันจากของเหลวสีดำจาก Prometheus มาใช้เลย ไม่มีการสืบทอดเนื้อเรื่องของเอเลี่ยนในหนังทั้งสิ้น นอกจากวงจรการเปลี่ยนผ่านที่ยังคงเดิมเกือบทั้งหมด มีการเพิ่มนิดหน่อยอย่างตัวเฟซฮักเกอร์กลายเป็นการหยอดเอาตัวอ่อนเอเลี่ยนลงไปในตัวเหยื่อ ไม่ใช่การปล่อยสารลงไปในร่างกายแล้วสร้างตัวอ่อนเอเลี่ยนออกมา ซึ่งการดัดแปลงเอเลี่ยนใหม่ให้เป็นของซีรีส์นี้เอง มีการรับรู้ภาษาของมันและสั่งมันได้ ซึ่งจุดนี้สำหรับแฟนเอเลี่ยนจริงๆ ขัดใจมาก เพราะมันทำให้กลายเป็นเหมือนแนวหนังอย่างจูราสสิคปาร์ค แทนที่จะเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวไม่มีอะไรควบคุมมันได้ ถึงการปรากฏตัวบนโลกที่มีแสงสว่างอยู่กลางป่าจะทำให้ดูแปลกใหม่ แต่ก็กลายเป็นการทำให้เห็นว่าเป็นคนใส่ชุดยางที่ดูชัดไปหน่อยจนแอบขัดใจอยู่บ้าง ซึ่งเอาจริงๆ เนื้อเรื่องในซีรีส์ชุดนี้ก็เหมือนแค่เอาซีโนมอร์ฟมาสวมบังหน้า เพราะผู้สร้างต้องการสร้างโลกของตัวเองที่มีทั้งหุ่นและสัตว์ประหลาดอื่นๆ ที่อยู่ในยานนั้นด้วยเช่นกัน และมีจุดเด่นในแต่ละตอนเป็นเรื่องการค่อยๆ เปิดเผยสัตว์ประหลาดพวกนี้ออกมาทีละชนิดมากกว่าการเปิดตัวซีโนมอร์ฟบนโลกด้วย โดยเฉพาะตัวลูกตาที่เข้าไปเกาะเหยื่อแล้วสามารถควบคุมร่างนั้นได้และมีความฉลาดที่ยังไม่รู้ว่าถึงขั้นไหน แต่ซีรีส์ก็ยังเก็บซ่อนรายละเอียดพวกนี้ไว้ไม่ปล่อยออกมาหมด โดยเฉพาะตัวที่เหมือนพืชที่เปิดมาในตอนแรกและรอดูการปรากฏตัวของมันในตอนท้ายก็ยังแทบไม่ได้รู้อะไรเพิ่มมากขึ้นเลย

แต่จุดที่ซีรีส์ทำออกมาแปลกๆ ก็คือบทของช่วงแรกกับช่วงหลังเหมือนคนละเรื่องกันเลย ช่วงครึ่งแรก 4 ตอนมีความเป็นเอกลักษณ์ในการเล่าเรื่องโลกในอนาคตที่มีหุ่นกับบริษัทที่กุมอำนาจโลกไว้แทนรัฐบาล มีความเป็นโลกดิสโทเปียผสมกับสัตว์ประหลาดสยองขวัญโดยพยายามใส่แนวคิดทางปรัชญาการมีชีวิตของมนุษย์กับจินตนาการจากปีเตอร์แพนไว้มากมาย ซึ่งความเยอะของรายละเอียดที่ใส่เข้ามาดูแล้วรู้สึกว่าเรื่องน่าจะพาผู้ชมไปสู่จุดลุ่มลึกทางจินตนาการไซไฟได้แบบ Prometheus ในเวอร์ชั่นของตัวเองได้ แต่พอครึ่งหลังอีก 4 ตอนเรื่องราวกลับเดินไปแบบหนังสัตว์ประหลาดเดิมๆ ที่บทเต็มไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญหาของมนุษย์ที่มักทำอะไรพลาดเต็มไปหมด จนทำให้พวกนี้หลุดออกมาฆ่าคนตามสูตรสำเร็จเดิมๆ แล้วตัวละครหุ่นกับมนุษย์ที่วางไว้ให้ลึกในตอนแรกกลับกลายเป็นฉลาดน้อย แข็งแกร่งน้อย บทช่วงหลังหลวมและเร่งเดินหน้าเน้นแต่แนวทางนี้มากไป จนเมื่อเทียบกับการปูเรื่อง 4 ตอนแรก กลายเป็นแนวสยองขวัญไซไฟแบบดาษๆ ไป 

 

ส่วนงานโปรดักชั่นที่สร้างในไทย โดยทีมงานไทยร่วมกับฝรั่งก็ถือว่าผ่านเลย เพราะทุกอย่างดูลงตัวเนรมิตทั้งเมืองในกรุงเทพให้เป็นนิวสยาม ที่บริษัท Prodigy ที่บอย คาวาเลียร์เป็นเจ้าของอยู่ แล้วก็ใช้โลเกชั่นเกาะทางใต้ของไทยให้เป็นฐานใหญ่ของบริษัทที่ไว้เล่าเรื่องหลักของเอลี่ยนทั้งหมดในเกาะนี้ ที่ซึ่งตอนจบก็คือเกาะแตกตามสูตร แต่เรื่องก็ทิ้งค้างเติ่งไว้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสขยายไปยังเขตประเทศอื่นในโลกที่เป็นเซ็ตติ้งที่ซีรีส์วางไว้หรือเปล่าครับ

 

สรุป

ซีรีส์ที่สร้างเอเลี่ยนโดยเอามาเป็นแค่จุดตั้งต้น แต่ไม่ได้ยึดโยงกับเนื้อเรื่องในเวอร์ชั่นภาพยนตร์เลย แล้วก็ยังดัดแปลงใส่ความเป็นเอเลี่ยนในแบบของตัวเองจนดูแปลกประหลาดไปจากซีโนมอร์ฟโดยปกติ โดยเฉพาะการที่เวอร์ชั่นนี้ซีโนมอร์ฟสามารถถูกสั่งควบคุมใช้งานได้ ซึ่งทำให้ความสยองขวัญแบบเดิมๆ หดหายไปเยอะ แล้วการที่เอาซีโนมอร์ฟมาปรากฏตัวบนโลกในที่สว่างกลางป่า (ไทย) ก็ทำให้ดูเป็นชุดยางจนเห็นได้ชัด อาจจะเข้าขั้นน่าเกลียดสำหรับแฟนๆ ภาพยนตร์ดั้งเดิมไปเลย แต่ถึงส่วนของซีโนมอร์ฟจะไม่ดีเท่าเดิม ซีรีส์ก็ได้ใส่สัตว์ประหลาดใหม่ๆ เข้ามาในจักรวาลนี้เป็นของตัวเอง ซึ่งพวกนี้กลายเป็นจุดที่น่าติดตามในแต่ละตอนที่ค่อยๆ เผยความสามารถของมันออกมา แล้วการที่ซีรีส์ไม่ได้ยึดโยงกับจักรวาลภาพยนตร์ก็ทำให้เรื่องราวบนโลกเปลี่ยนแปลงไปหมด เนื้อเรื่องไปเน้นที่ตัวหุ่นทั้ง 3 แบบในโลกนี้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ 5 แห่งที่ยึดกุมโลกไว้นอกจากเวย์แลนด์-ยูทานิ ซึ่งเป็นส่วนต่อเติมขยายที่ซีรีส์ทำได้ดีมากๆ กับการตั้งคำถามลึกถึงความเป็นมนุษย์ การหาทางมีชีวิตเป็นอมตะ และอัตลักษณ์ของชีวิต ซึ่งใน 4 ตอนแรกเรื่องค่อนข้างลึกซึ้งเต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าค้นหาคำตอบ แต่ 4 ตอนหลังของซีรีส์บทกลับไปเดินเรื่องราวเร่งรีบไปในแนวหนังสัตว์หลาดไซไฟธรรมดาที่มนุษย์มักสะเพร่าพลาดทำอะไรชุ่ยๆ จนทำให้กลายเป็นแนวสยองขวัญสูตรสำเร็จเดิมๆ แทนที่จะพาตัวเรื่องไปสู่ทิศทางที่วางไว้ตอนแรกอย่างเข้มข้นจริงจัง ซึ่งน่าผิดหวังมาก แต่ก็ยังอยากดูต่อถ้าซีซั่นต่อไปสามารถปรับจูนให้ทุกอย่างเข้าทิศทางได้ดีกว่านี้ครับ 

 

 

ติดตามอ่านรีวิวเรื่องอื่นในดิสนีย์+ ได้ที่นี่

รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ
------------------------------------------------------------