รีวิว The Great Flood (Netflix) เมื่อหนังหายนะพลิกมาเป็นไซไฟปริศนาที่ชวนสับสน….
The Great Flood
Summary
The Great Flood เป็นหนังที่ทะเยอทะยาน มีไอเดียน่าสนใจ และการแสดงของคิมดามีที่ดีเยี่ยมกับบทที่พยายามตามหาลูกชายที่แสนจะสร้างความปวดหัวให้กับแม่ในช่วงเวลานั้น ซึ่งแม้จะดูน่าหงุดหงิดสุดๆ แต่ก็เป็นคีย์สำคัญของเรื่องนี้ ผ่านภาพฉากหายนะด้วยน้ำท่วมโลกแบบใสสะอาดที่ดูสวยงามจนน่าประหลาด แต่ก็มีเหตุผลของการเกิดเหตุการณ์นี้รองรับไว้ให้เข้าใจได้
แต่การตัดสินใจพลิกแนวเรื่องจากหายนะวันสิ้นโลกไปเป็นแนวไซไฟปริศนาในครึ่งหลังคงทำให้ผู้ชมไม่น้อยเลยรู้สึกผิดหวัง เพราะนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชมอยากดูมาตั้งแต่แรก แถมการเปลี่ยนแนวทันทีก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนที่ผู้กำกับไม่สามารถลำดับเล่าเรื่องให้ผู้ชมเข้าใจได้ดีพอเลย มีแต่ความมึนงงพยายามจะเป็นทั้ง Source Code กับ Interstellar มารวมกัน จนถึงตอนจบที่ปลายเปิดซ้ำอีก ทำให้กลายเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังไม่น้อยเหมือนการคิดบทไม่สุดทาง ทะเยอทะยานจนเกินตัวแล้วจบไม่ดีพอ แต่ถ้าคุณชอบหนังที่ท้าทายสมองและยอมรับได้กับการเปลี่ยนแนวเรื่องอย่างกะทันหัน นี่อาจเป็นหนังที่น่าสนใจ แต่ถ้าคุณคาดหวังหนังภัยพิบัติแบบตรงไปตรงมา อาจรู้สึกว่าถูกหลอกครับ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- ฉายหายนะทำได้สมจริงและสวยงามมาก
- การแสดงของคิมดามี
- มีพากย์ไทย
Cons
- ช่วงพลิกเรื่องเป็นไซไฟทำได้แย่
- หนังยาวเกินในช่วงหลังวนเวียนฉากซ้ำ
ADBRO
The Great Flood ภาพยนตร์เกาหลี Original Netflix ในวันที่อาจเป็นจุดจบของชีวิตบนโลก การดิ้นรนเอาชีวิตรอดในอะพาร์ตเมนต์ที่ถูกน้ำท่วมกลายมาเป็นหนทางรอดและความหวังเดียวของมนุษยชาติ
รีวิว The Great Flood
หนังเปิดฉากด้วยภาพที่คุ้นเคยของหนังภัยพิบัติ – น้ำท่วมใหญ่ถล่มโลก ผู้คนติดอยู่ในอาคารอพาร์ตเมนต์ที่กำลังจมลง และต้องดิ้นรนหาทางรอด แต่ผู้กำกับ Kim Byung-woo ไม่ได้ตั้งใจทำหนังภัยพิบัติธรรมดา พวกเขาซ่อนความลับไว้ในครึ่งหลังที่จะพลิกทุกอย่างจากหนังหายนะให้เป็นแนวไซไฟล้ำๆ ที่ดูทะเยอทะยานจนเกินตัวไป
แม่กับลูกในวันสิ้นโลก
คิมดามี รับบท An-na นักวิจัยด้าน AI ที่ติดอยู่ในอพาร์ตเมนต์กับลูกชายตัวเล็กๆ ชื่อ Ja-in ขณะที่ระดับน้ำค่อยๆ ทะยานขึ้น โดยลูกของเธอฝันอยากเป็นนักดำน้ำกลับได้พบกับประสบการณ์ดำน้ำในวิธีที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิต จนกระทั่งมีชายลึกลับ พัคแฮซู รับบท Hee-jo สมาชิกทีมรักษาความปลอดภัยที่ปรากฏตัวขึ้นมาพยายามช่วยเหลือ An-na และบอกว่ามีเฮลิคอปเตอร์รออยู่บนหลังคา แต่เขารู้มากเกินไปเกี่ยวกับสถานการณ์ และพฤติกรรมของเขาก็มีอะไรแปลกๆ คำถามว่าทำไมเขาต้องมาช่วยผู้หญิงคนนี้โดยเฉพาะคือหนึ่งในปริศนาหลักที่คอยดึงดูดความสนใจ
ครึ่งแรก – ภัยพิบัติที่สมจริงน่ากลัว
60 นาทีแรกของหนังทำงานได้ดีเยี่ยมในฐานะหนังหายนะ การถ่ายทำในพื้นที่จำกัดของอพาร์ตเมนต์ทำให้ทุกอย่างรู้สึกใกล้ตัวและเป็นไปได้จริง เราได้เห็นภาพมนุษยชาติในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด – คนบางคนปล้นบ้าน คู่รักสูงอายุนั่งรอความตายอย่างสงบ เด็กติดในลิฟต์ หญิงตั้งครรภ์กำลังจะคลอด ฉากเหล่านี้มีพลังทางอารมณ์สูง ตัดภาพถ่ายน้ำท่วมที่ใสสะอาดสวยงามมากจนผู้ชมคงมีข้อกังขา แต่ก็มีคำอธิบายว่าน้ำท่วมครั้งนี้คืออะไรให้เข้าใจแบบง่ายๆ สมเหตุผล ซึ่งฉากใต้น้ำถูกถ่ายทำอย่างพิถีพิถันจนดูสมจริง โดยทีมงานและนักแสดงต้องเรียนดำน้ำหลายเดือนก่อนถ่ายทำด้วย ทำให้ความสมจริงของเรื่องนี้ดูดีมากขึ้นไปอีก
ครึ่งหลัง – พลิกเกมไปไซไฟ
แล้วก็ถึงจุดพลิกประมาณนาทีที่ 60 หนังเปลี่ยนแนวอย่างสิ้นเชิงจากภัยพิบัติมาเป็นแนวไซไฟที่มีองค์ประกอบของแนววนลูปเวลา ซึ่งมีความเหมือน Source Code (2011: หนังแอ็กชันไซไฟที่ต้องย้อนเวลากลับไปแก้ไขเหตุการณ์ นี่คือจุดที่หลายคนจะรู้สึกสับสน เรื่องราวกลายเป็นปริศนาที่ซับซ้อน ด้วยวิธีการนำเสนอทำให้ผู้ชมหลายคนตามไม่ทัน
ความซับซ้อนนี้ทำให้องค์ประกอบทางมนุษยธรรมที่สร้างไว้ในครึ่งแรกค่อยๆ เลือนหาย ความสัมพันธ์ของแม่ลูกที่ควรเป็นศูนย์กลางกลับถูกดันออกไปเพื่อให้ที่กับการอธิบายเทคโนโลยีและแนวคิดไซไฟที่พยายามจะฉลาดเกินไปจนไม่หวังจะให้ผู้ชมเข้าใจได้อีกแล้ว
อีกทั้งความยาวของหนังถึง 1 ชั่วโมง 48 นาที ก็ทำให้รู้สึกยืดเยื้อ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายที่พยายามอธิบายทุกอย่าง วนไปวนมากด้วยการเพิ่มฉากแอ็กชั่นที่ไม่ได้ช่วยอธิบายเหตุการณ์ใหม่ แต่ต้องการเอามาย้ำประเด็นการตามหาลูกชายของเธอที่เป็นกุญแจสำคัญในเรื่อง ซึ่งหากตัดฉากบางส่วนที่ซ้ำซากหรือลดการอธิบายที่ฟุ่มเฟือย น่าจะทำให้หนังกระชับและมีพลังมากขึ้น
ตัวนักแสดง
สำหรับคิมดามีในบทแม่ เธอรับบทนี้ได้อย่างทุ่มเทจริงๆ ไม่มีความเกรงใจภาพลักษณ์ เปียกชุ่ม ผมรุงรัง และอ่อนล้า แต่ดวงตายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะปกป้องลูก ความสัมพันธ์ของแม่ลูกนี่แหละที่เป็นหัวใจหลักของเรื่อง เพียงแต่ว่าตัวบทของลูกชายเธอมีปัญหาในช่วงครึ่งแรกเมื่อบทพยายามเด็กดูเป็นนภาระกับทุกอย่างในช่วงเวลาคับขันแบบนั้นทำให้ดูน่าหงุดหงิดสุดๆ ซึ่งหนังก็มีคำเฉลยอธิบายในตอนหลังว่านี่คือกุญแจในการไขปริศนาของเรื่อง แต่มันออกมาไม่เวิร์คอย่างที่ผู้กำกับต้องการให้เป็น
ส่วนพัคแฮซู ในบทที่เหมือนบอดี้การ์ดประจำตัวก็เหมือนมีความลับมากมายซ่อนอยู่ แต่พอเฉลยกลับกลายเป็นเหมือนเป็นแค่ตัวละครสมทบมากกว่า ซึ่งบทของเขาก็แทบไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเรื่องมากกว่าแค่ตัวช่วยของนางเอกเท่านั้น
สรุป
The Great Flood เป็นหนังที่ทะเยอทะยาน มีไอเดียน่าสนใจ และการแสดงของคิมดามีที่ดีเยี่ยมกับบทที่พยายามตามหาลูกชายที่แสนจะสร้างความปวดหัวให้กับแม่ในช่วงเวลานั้น ซึ่งแม้จะดูน่าหงุดหงิดสุดๆ แต่ก็เป็นคีย์สำคัญของเรื่องนี้ ผ่านภาพฉากหายนะด้วยน้ำท่วมโลกแบบใสสะอาดที่ดูสวยงามจนน่าประหลาด แต่ก็มีเหตุผลของการเกิดเหตุการณ์นี้รองรับไว้ให้เข้าใจได้
แต่การตัดสินใจพลิกแนวเรื่องจากหายนะวันสิ้นโลกไปเป็นแนวไซไฟปริศนาในครึ่งหลังคงทำให้ผู้ชมไม่น้อยเลยรู้สึกผิดหวัง เพราะนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชมอยากดูมาตั้งแต่แรก แถมการเปลี่ยนแนวทันทีก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนที่ผู้กำกับไม่สามารถลำดับเล่าเรื่องให้ผู้ชมเข้าใจได้ดีพอเลย มีแต่ความมึนงงพยายามจะเป็นทั้ง Source Code กับ Interstellar มารวมกัน จนถึงตอนจบที่ปลายเปิดซ้ำอีก ทำให้กลายเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังไม่น้อยเหมือนการคิดบทไม่สุดทาง ทะเยอทะยานจนเกินตัวแล้วจบไม่ดีพอ แต่ถ้าคุณชอบหนังที่ท้าทายสมองและยอมรับได้กับการเปลี่ยนแนวเรื่องอย่างกะทันหัน นี่อาจเป็นหนังที่น่าสนใจ แต่ถ้าคุณคาดหวังหนังภัยพิบัติแบบตรงไปตรงมา อาจรู้สึกว่าถูกหลอกครับ