playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Ant-Man and The Wasp: Quantumania สูตรสำเร็จบันเทิงสไตล์มาร์เวลที่แอบผิดหวังหลายจุดพอสมควร

Ant-Man and The Wasp: Quantumania

Summary

“มาร์เวลก็คือมาร์เวล” ยังคงมีมาตรฐานงานที่ดี รู้จังหวะการหยอดมุกต่างๆ เอาใจแฟนๆ ได้เป็นอย่างดี แล้วก็ลดความตลกโบะเบ๊ะไปค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเรื่องหลังๆ แต่หนังก็ยังคงเป็นไปตามสูตรสำเร็จง่ายๆ แทบจะเป็นเส้นตรงหนังฮีโร่ผจญภัยมาร์เวลปกติ ไม่มีหักมุมใดๆ จบแบบแฮปปี้เอนด์ดิ้งง่ายๆ ตัวละครแคงแม้จะดูดีน่าติดตาม แต่เวอร์ชั่นนี้ก็ด้อยกว่าตัวในซีรีส์โลกิหลายอย่าง โดยเฉพาะเล่ห์เหลี่ยมที่ไม่มีเลย ออกแนวบ้าพลังเป็นเผด็จการโลกควอนตัมทื่อๆ ไม่มีความสามารถเรื่องล่วงรู้เวลามาเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ยังไม่ได้เชื่อมต่อกับตอนจบของซีรีส์โลกิแต่อย่างใด (ไปขายตอนต่อเอาเอนด์ดิ้งที่ 2) ทำให้แอบผิดหวังอยู่พอสมควร 

 

ปล.ฉากใน IMAX แสงสีสเกลภาพใหญ่กว้างดูดี แต่ขาด 3D ที่แบนเรียบจนเหมือนดูหนังธรรมดา ไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าที่ควร

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • หนังเปิดเฟส 4 บอสใหญ่แคง
  • ความบันเทิงได้ตามสูตรมาร์เวล
  • งานภาพมิติควอนตัมสวย
  • สเกลภาพในระบบไอแม็กซ์

Cons

  • หนังสูตรสำเร็จเล่าเรื่องเส้นตรงมากไปหน่อย
  •  แอบผิดหวังแคงที่ด้อยกว่าในซีรีส์หลายอย่าง
  • ไม่ได้ทำเชื่อมกับซีรีส์อย่างคิด
  • บทลูกสาวน่ารำคาญเล็กๆ

 

Ant-Man and The Wasp: Quantumania แอนท์แมนภาค 3 ที่เป็นจุดเริ่มเรื่องของศึกกับบอสใหญ่แคง ที่ทุกคนในครอบครัวของสก็อตหลุดเข้าไปและต้องหาทางออกมาให้ได้ โดยมีแคงเป็นบอสใหญ่ในมิติจักรวาลนั้นอยู่
Ant-Man and the Wasp: Quantumania (2023) on IMDb

รีวิว Ant-Man and The Wasp: Quantumania

///มีสปอยล์บางส่วนนิดหน่อย////

หนังเปิดเฟส 5 มาร์เวลที่มีตัวร้ายคือ “แคง”  ตั้งแต่เปิดตัวในซีรีส์โลกิ และคาดว่าจะเป็นจุดเชื่อมเรื่องราวไปต่อในภาคนี้ แต่พอได้ดูจริงๆ กลายเป็นแอนท์แมนภาคนี้แทบจะเป็นเรื่องราวเดี่ยวๆ ของตัวเองอีกภาคหนึ่งมากกว่า เพราะแคงในเวอร์ชั่นนี้เป็นแค่อีกร่างที่ไม่ได้เกี่ยวกับตอนจบของซีรีส์โลกิที่ค้างไว้เลย โดยมีเอนด์เครดิตอันที่ 2 ที่ไปต่อกับโลกิเท่านั้น ซึ่งใครที่คาดหวังตรงนี้ไว้แบบผมว่าจะได้เห็นเรื่องราวของ TVA ในตอนตอนจบซีรีส์แบบผมก็ต้องผิดหวังกันไปตามระเบียบแล้วหนึ่งเรื่อง

อย่างที่สองที่ผิดหวังคือ แคงเวอร์ชั่นนี้ไม่ใช่เวอร์ชั่นสายวางแผนแบบในโลกิ ซึ่งตัวความสามารถของแคงคือการล่วงรู้ทุกช่วงเวลา อยู่ในทุกช่วงเวลา มีเทคโนโลยีล้ำๆ เป็นเครื่องมือ แต่ในภาคนี้คือสายบ้าพลัง ความสามารถในการล่วงรู้ไม่มี อันนี้เข้าใจได้เพราะในเรื่องอธิบายไว้ว่าเป็นแคงเวอร์ชั่นที่ติดในมิติควอนตัมที่ไร้กาลเวลา ทำให้ความสามารถล่วงรู้สิ่งต่างๆ แบบในโลกิถูกตัดทิ้งไปเลย ไปเน้นที่พลังในชุดที่ติดตัวแคง ซึ่งโอเคว่ามีฉากโชว์ว่าแทบจะทำอะไรก็ได้ในโลกนี้ แต่ก็มีข้อกังขาขัดแย้งในตัวเองอยู่ว่า ทำไมต้องพึ่งอนุภาคพิมขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเองกุมอำนาจในมิตินี้ได้ขนาดนี้แล้ว รวมถึงฉากการต่อสู้สุดท้ายที่กลายเป็นว่าแคงตัวนี้จริงๆ ก็ไม่ได้เก่งอะไรมาก เรียกว่าความร้ายกาจเล่ห์เหลี่ยม การวางแผนอะไรก็ไม่มี ความสามารถด้านพลังก็แค่ยิงแสง สร้างบาเรียได้ เอาจริงๆ ถ้าอยู่ในโลกปกติก็คงโดนเหล่าอเวนเจอร์ตบดื้นได้ไม่ยาก แต่คนเขียนบทไม่เขียนให้เท่านั้นเอง ความสามารถยังห่างชั้นกับแคงในโลกิที่หินมณีทั้งหลายกลายเป็นที่ทับกระดาษ ซึ่งเข้าใจอยู่ว่าตัวในซีรีส์คือผู้พิชิตปราบแคงตัวอื่นมาหมดแล้ว แต่มันก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นบอสที่อ่อนกว่าที่ตั้งใจมาดูไปซะแบบนั้นครับ

ส่วนเนื้อเรื่องความสนุกรวมๆ ถือว่าโอเค เพราะ “มาร์เวลก็คือมาร์เวล” ยังคงมีมาตรฐานงาน รู้จังหวะการหยอดมุกต่างๆ เอาใจแฟนๆ ได้เป็นอย่างดี แล้วก็ลดความตลกโบะเบ๊ะไปค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเรื่องหลังๆ แต่โมด็อคที่ออกมาแต่หัวนี่คงเป็นส่วนที่ตั้งใจให้ขำตรงๆ อยู่แล้ว เหมือนตัวโจ๊กของเรื่องในภาคนี้ที่ดูไปดูมาแอบน่าเอ็นดูไปซะงั้น

 

แต่ถีงตัวเรื่องจะโอเค แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อตำหนิ เพราะการเดินเรื่องที่สูตรสำเร็จมากๆ เหมือนกับว่ามาร์เวลหมดมุกฉีกเรื่องราวใหม่ๆ แล้วเหมือนกัน ตัวเรื่องก็เลยแทบจะเป็นเส้นตรงอย่าง พวกพระเอกตกลงมาที่มิติควอนตัว เจอตัวร้ายแคงยื่นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนให้ช่วย พระเอกยอมช่วยได้ของมา แย่งของกันไม่ส่งให้ตัวร้าย สุดท้ายก็รวมพลังปราบแคง ซึ่งทุกอย่างก็แทบจะอยู่ในตัวอย่างหมดแล้ว แต่แค่คนดูคาดหวังว่าจะมีอะไรมากกว่านี้ อย่างบางคนคิดไปถึงว่าต้องมีใครตาย อันนี้ก็บอกเลยว่าไม่มี ทุกอย่างจบแบบแฮปปี้เอนด์ดิ้งสวยๆ ค่อนข้างง่ายเลยด้วยซ้ำจนแอบสงสัยว่า สรุปการเปิดประตูมิติเข้าควอนตัมไปมานี่กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วใช่มั้ย แต่แคงกลับทำไม่ได้จนต้องพึ่งพิมซะงั้น

ในส่วนของตัวละครทุกตัวหลักยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ที่มีแอบหงุดหงิดเล็กๆ ก็คือบทลูกสาวพระเอก เคสซี่ แลง ที่ไปๆ มาๆ กลายเป็นตัวละครแนวสรรหาเรื่องให้พ่อแม่ แถมยังมีบุคลิกหุนหันทำอะไรไม่รอบคอบ รักความยุติธรรมแบบไม่ดูเหตุผล ซึ่งเข้าใจว่าตัวบทพยายามให้เห็นว่าเพราะพ่อไม่ได้เลี้ยงดูเธอมาตลอด ทำให้กลายเป็นเด็กวัยรุ่นที่เอาแต่ใจพอสมควร เอาว่าไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจว่าใส่มาเพื่อให้เรื่องปมครอบครัวเล็กๆ ผสมเข้าไปครับ

 

ทิ้งท้ายว่าตัวเรื่องโฆษณาเรื่องถ่ายมาแบบ IMAX แล้วก็ฉายเป็น 3D แต่พอดูจริงๆ กลับไม่มีความรู้สึกว่าเป็น 3D อะไรเลย แต่ได้ภาพที่กว้างขึ้น เต็มตาขึ้น ตัวโลกควอนตัมมีแสงสีสัตว์ประหลาดใหม่ๆ มากมาย แอบคล้ายจะเป็น Avatar อยู่นิดๆ เหมือนกัน (มีฉากเรียกสัตว์ในโลกนั้นมาทำให้เชื่องแล้วขี่บินจนแอบคิดว่าเหมือนอิกรานเลย) ซึ่งความคุ้มค่าที่ได้ก็ถือว่าดีพอตัว แต่ถ้าถามว่าคุ้มมั้ยก็คิดว่าดูโรงปกติได้ไม่ต่างเท่าไหร่ ไม่เหมือน Avatar ที่ความคุ้มค่าแตกต่างกันมากครับ

 

ติดตามอ่านรีวิวเรื่องอื่นในดิสนีย์+ ได้ที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!