playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว AWAKE แนวไซไฟหายนะสิ้นโลกจากการนอนไม่หลับ ที่ลุ้นระทึกน่ากลัวไม่แพ้แนวซอมบี้ (ไม่มีสปอยล์)

AWAKE

สรุป

หนัง Original Netflix แท้ๆ แม้จะเป็นหนังไซไฟทริลเลอร์ทุนต่ำ แต่กลับทำออกมาได้ดีเกินคาด ตัวเรื่องดำเนินไปแบบสมเหตุผล ไม่มีฉากไม่เมคเซนส์ หรือพยายามเซ็ตเรื่องให้มีฉากระทึกขวัญเกินจริงมากไป โดยยังคงมีฉากระทึกโผล่มาเรื่อยๆ ให้น่าติดตาม และไม่มีตัวละครในบทโง่ๆ ที่มักก่อเรื่องตามสูตรหนังแนวนี้เลย อีกทั้งประเด็นไซไฟเหตุการณ์นอนหลับไม่ได้ก็ถูกนำเสนอแบบมีเหตุผลที่มา เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ จนถึงทางออกในตอนจบที่เป็นไปได้เช่นกัน ไม่บ่อยนักจนถึงนานๆ จะเห็นเน็ตฟลิกทำหนังของตัวเองได้ลงตัวดี (ในสเกลเล็กหนังทุนต่ำ) ก็ไม่ควรพลาดเช่นกันครับ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
3.75 (4 votes)

Pros

  • ดราม่าในเรื่องที่แม่พยายามสอนให้ลูกเอาตัวรอดก่อนนับวันตาย
  • จำลองเรื่องไซไฟชวนระทึกเมื่อคนนอนไม่หลับ หายนะอะไรจะเกิดขึ้น
  • ตัวเรื่องเดินเร็ว มีฉากลุ้นระทึกมาเรื่อยๆ แบบเน้นตามจริง
  • ภาพในเรื่องจะแสดงอาการอ่อนเพลียของตัวละครเป็นฉากเบลอๆ จนถึงขั้นดำมืดใกล้สติดับ
  • นักแสดงเด็กในบทลูกสาวเล่นได้อย่างมีเสน่ห์
  • ที่มากับทางออกตอนจบมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับทำให้ดูน่าเชื่อถือและทำออกมาเข้าใจง่ายด้วย
  • ฉากมีความรุนแรงสูง ติดเรตเกินเด็กดู
  • มีเสียงพากย์ไทย

Cons

  • เป็นหนังแนวหายนะโลกทุนต่ำ เลยจำกัดเรื่องในวงแคบๆ ไม่ได้มีฉากเว่อร์วังอลังการอะไร
  • ดารานักแสดงคนแม่ไม่ใช่ดารานำแบบมีชื่อหรือเป็นแม่เหล็กน่าติดตามมาก (แต่เธอก็เล่นได้ดีเลย)

AWAKE ดับฝันวันสิ้นโลก ปรากฎการณ์ลึกลับเกิดขึ้นทั่วโลกทำให้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดดับ ตามมาด้วยมนุษย์นอนไม่หลับ มีแค่เด็กหญิงเพียงคนเดียวที่นอนหลับได้ ที่อาจช่วยให้มนุษชาติรอดพ้นความหายนะครั้งนี้ได้

 Awake (2021) on IMDb

ตัวอย่าง AWAKE ดับฝันวันสิ้นโลก Netflix

หนังแนวไซไฟทริลเลอร์ที่ดูทุนต่ำของ Netflix เรื่องนี้อาจจะดูไม่น่าคาดหวังอะไรได้มากในตอนแรก แต่เมื่อรับชมแล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันที เพราะนี่คืองานสร้างของ Netflix แท้ๆ ที่มีความแปลกใหม่ และทำออกมาได้ดีมากกว่าที่คิดเยอะ อีกทั้งไม่ใช่เป็นหนังโรงซิ้อมาลงในระบบแบบช่วงหลังอีกด้วย

เรื่องราวเริ่มขึ้นที่เหตุการณ์ลึกลับมีสะเก็ดดาวตกลงมาทั่วโลก ทำให้ไฟฟ้าใช้ไม่ได้ รถยนตร์ก็สตาร์ทไม่ติด เหมือนโดนระเบิด EMP กวาดล้างระบบอิเล็กทรอกนิกส์ไปทั้งหมด และต่อมาพบว่าทุกคนบนโลกนอนไม่หลับ แต่จิล (จีน่า ร็อดริเกซ) อดีตทหารหญิงที่มีปมในอดีตอาจมีทางรักษาภาวะเลวร้ายนี้ได้ เมื่อ มาทิลด้า (รับบทโดย Ariana Greenblatt) ลูกสาวของเธอสามารถนอนหลับได้ ในขณะโลกเริ่มเกิดภาวะจราจลจากคนที่นอนไม่หลับเริ่มหลอนลุกมาฆ่ากันเองจนเหมือนวันสิ้นโลก ทางไขปริศนานี้คือการนำตัวมาทิลด้าเดินทางไปที่ศูนย์วิจัยของรัฐบาลสหรัฐ ที่มีอดีตจิตแพทย์หญิงที่รักษาอาการของจิลมาก่อน แต่ที่แห่งนี้ก็มีปัญหาบางอย่างที่จิลรู้ และไม่เชื่อใจว่านี่เป็นทางรอดจากหายนะนี้ได้

จะเห็นว่าโครงเรื่องคือสูตรสำเร็จวันสิ้นโลกแบบที่เคยมีมาก่อนเป๊ะๆ แต่สิ่งที่เรื่องนี้ทำได้ดีเลยคือ บทที่ถูกวางไว้แบบสมเหตุผล รวมถึงตัวละครที่ตัดสินใจทำอะไรค่อนข้างสมเหตุผล ไม่มีตัวละครโง่ หรือเหตุการณ์แบบอีหยังวะอะไรใส่มา ซึ่งหายากมากในตอนนี้ที่แนวหนังเดิมๆ มักจะตัน และยิ่งแนวหายนะล้างโลกด้วย พล็อตกับสูตรสำเร็จยิ่งถูกนำมาใช้จนคนจับทางได้หมด แต่กับเรื่องนี้เราจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้นทั้งสิ้น

หนังเริ่มเรื่องด้วยตัวละครจิล รปภ. หญิงอดีตทหารผ่านศึกที่มีปัญหาส่วนตัวแอบทุจริตในองค์กรของตัวเองด้วยการลักยาหมดอายุมาขาย เพื่อหาเงินมาดูแลลูกสองคนที่อยู่กับย่า ซึ่งตรงนี้เป็นปมเล็กๆ ที่เรื่องใส่มาเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เป็นส่วนที่ทำให้ตัวละครจิลมีแบ็คกราวด์และเหตุผลในการตัดสินใจต่อไปอย่างน่าเชื่อถือ เมื่อเธอต้องดูแลลูกสองคนในภาวะวันสิ้นโลกที่มาแบบฉับพลันเพียงชั่วข้ามคืนในฉากต่อมา หนังเดินเรื่องไวแบบไม่รีรออะไร และยังทำเหตุการณ์ช่วงจังหวะนั้นเป็นฉากระทึกได้อย่างสมจริง เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถดับชนกันทั่วไปหมด และชนรถที่เธอขับพาลูกไปเที่ยวตกถนนจมลงไปในน้ำ หนังใส่ใจในรายละเอียดแบบเห็นได้ชัด เมื่อมีแรงดูดน้ำฉุดจิลตามรถลงไป ก่อนที่เธอจะรอดมาได้และพบว่าไฟดับทั้งหมด รถใช้ไม่ได้ เธอไปโรงพยาบาลเพื่อเย็บแผล แต่กลับเห็นความโกลาหลที่มีคนมารักษามากมาย จนเธอต้องใช้กาวทาแผลให้ติดกันแทน เป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่บ่งบอกถึงสกิลเอาตัวรอดจากทหารผ่านศึกเก่าที่เธอเคยเป็นมาก่อน ซึ่งหลังจากนี้ไปจิลคือผู้หญิงที่ต้องรับมือกับหายนะวันสิ้นโลกที่เกิดขึ้นแม้กับตัวเอง แต่สิ่งที่ควรทำตามความเป็นจริงคือ การคิดเผื่อทางรอดให้ลูกในวันที่ไม่มีเธออยู่ ซึ่งนี่คือจุดที่หนังนำเสนอการเดินทางผจญภัยท่ามกลางหายนะประหลาดนี้ได้อย่างสมเหตุผล

หายนะจากคนนอนไม่หลับใน AWAKE ถูกแสดงออกมาไม่ต่างอะไรกับหนังแนวซอมบี้ เมื่อผู้คนเริ่มนอนไม่หลับ (แม้แต่คนที่หลับเพราะโคม่าก็ตื่น) ก็จะเกิดอาการเครียดกดทับประสาท ค่อยๆ ไต่ระดับไปจนถึงขั้นร่างกายไปไม่ไหว และหัวใจวายไปเอง แต่ก่อนถึงเวลานั้นคือความบ้าคลั่งที่คนระเบิดออกมา ตัวหนังบีบเวลาการเดินทางของจิลไปยังจุดหมายเป็นวัน ในแต่ละวันที่ผ่านไปจิลพยายามสอนให้ลูกสาวเอาชีวิตรอดต่อไปให้ได้ เมื่อไม่มีเธอกับพี่ชายคอยดูแลอีกต่อไป อย่างหัดยิงปืน หัดขับรถ ซึ่งแอบเป็นดราม่าซึ้งเล็กๆ ต่างไปกับหนังแนวสิ้นโลกอื่นๆ ที่มักโฟกัสไปที่หนทางรอด ฉากสยองที่พยายามยัดเข้ามา แต่เรื่องนี้ไม่ได้พยายามจะทำแบบนั้น หรือพาตัวละครไปติดกับเรื่องโง่ๆ ถึงแม้ว่าจุดหมายปลายทางจะดูเป็นสูตรสำเร็จหนังแนวนี้ที่มีกองทัพกับทีมนักวิทยาศาสตร์รอไขปริศนา แต่เรื่องก็มีปมซ่อนอยู่ให้เห็นเลยว่า จิลเองรู้เรื่องอะไรบางอย่างที่นั่น และไม่ยอมที่จะพาลูกสาวไปในตอนแรก ซึ่งคนดูอาจจะรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไม? แต่เรื่องก็บีบให้เธอต้องไปเมื่อลูกชายยืนกรานว่านี่คือทางรอดเดียวของเรา ซึ่งตัวเรื่องก็ยังคงเดินเรื่องแบบมีจุดขัดแย้งที่จิลก็ยังไม่ยอมเชื่อใจจนถึงที่สุดแม้ถึงปลายทาง และคนดูก็จะได้เห็นคำตอบเป็นฉากหายนะสุดท้ายที่บ้าคลั่ง จนรู้สึกได้เลยว่านี่คือวันสิ้นโลกจริงๆ

ฉากในโบสถ์ชวนให้นึกถึงเรื่องเดอะมิสต์ มฤตยูหมอกกินเมือง อยู่เหมือนกัน เมื่อถึงวันสิ้นโลก คนที่น่ากลัวสุดพวกหนึ่งคือพวกคลั่งศาสนานี่แหละ (ในเรื่องฉากนี้คือหลังจากอดนอนเกิน 24 ชั่วโมงแล้ว)

ตัวเรื่องไม่ได้พยายามใส่ฉากระทึกขวัญมาแบบหาเรื่องไปเจอเหมือนเรื่องอื่นๆ แต่ใส่มาในแบบท่ีสมเหตุผลตลอดเรื่องที่มีเป็นระยะๆ ตามทาง ตั้งแต่ฉากคนคลั่งที่โบสถ์เมื่อเธอพยายามไปชิงตัวลูกกลับมาจากเหล่าผู้คนที่มองว่าลูกเธอคือแสงสว่างทางรอดแบบผิดๆ แบบพวกคลั่งศาสนา ต่อมาก็ต้องเจอกับนักโทษในคุก กับเหล่าคนบ้าต่างๆ แม้บางฉากอาจจะไม่ได้มีนองเลือดอะไร อย่างฉากฝูงคนแก้ผ้ายืนอยู่บนถนน แต่กลับทำให้เรารู้สึกขนลุกกับความสมจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

ซึ่งพอเรื่องไม่พยายามให้มีฉากสยองที่เกิดจากตัวละครหรือบทไม่สมเหตุผลแปลกๆ ก็เลยทำให้การดำเนินเรื่องดูน่าเชื่อถือตามมาด้วย โดยเฉพาะที่มาของอาการนอนไม่หลับในเรื่อง ตัวหนังมีคำอธิบายสั้นๆ เข้าใจง่าย แต่เชื่อมโยงให้เราเชื่อได้แบบไม่มีข้อกังขาในทันที รวมถึงการไขปริศนาอาการนี้ก็เป็นไปอย่างน่าเชื่อถือ โดยตัวเรื่องก็เดินมาในธีมแม่พยายามสอนลูกเอาตัวรอดก่อนตาย โดยไม่มีช่วงที่รู้สึกว่าตัวเธอเองต้องรอด ซึ่งก็เหมือนกับเหตุการณ์จริง ถ้าเกิดขึ้นมาคงไม่มีใครแก้ไขอะไรได้ทัน แต่เรื่องก็มีทางออกที่คาดไม่ถึงให้ โดยมีความน่าเชื่อถือตามหลักวิทยาศาสตร์ประกอบได้ดีด้วย (ถึงจะโม้แต่ก็มีหลักการน่าเชื่อถือ) จากการใส่รายละเอียดเล็กๆ มาไว้หลายอย่างก่อนแล้วนำมันกลับมาใช้ตอนท้ายในจังหวะที่ถึงทางตันได้อย่างลงตัว ยิ่งกับฉากจบสุดท้ายที่เกือบจะทิ้งไว้เป็นฉากจบแบบปลายเปิดอยู่แล้ว ก็ยังทำให้คนดูมีลุ้นเล็กๆ ก่อนจบลงได้อีก เป็นการหาทางออกจากสเกลล้างโลกในมุมของหนังทุนต่ำได้ดีเลย

จุดเด่นอีกอย่างที่ช่วยเพิ่มความสมจริงหรือสร้างภาวะให้คนดูเข้าใจเรื่องการนอนไม่หลับได้ดีขึ้นคือ ฉากมุมมองในหนังจากสายตาตัวละครในเรื่องที่ไล่ระดับอาการนอนไม่หลับไปทีละขั้น เริ่มจากเบลอๆ เหมือนคนนอนไม่พอ ต่อจากนั้นก็มีขอบคำค่อยๆ มืดลง เหมือนหน้าปกของเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเทคนิคการใช้ภาพที่เข้ากับเรื่องได้เป็นอย่างดี และถ่ายทอดภาวะการนอนไม่หลับที่หนักขึ้นๆ ของแต่ละตัวละครได้ด้วย (แต่ละคนมีความต้านทานการอดนอนต่างกัน ตอนหลังมียากระตุ้นช่วยยืดได้ด้วย)

เนื่องจากเป็นหนังทุนต่ำตัวละครหลักจึงน้อยมีแค่ 3 คนแม่ลูก (ตอนกลางเรื่องมีคนผิวดำเพิ่มมาอีกคน แต่มีบทไม่มาก) ในส่วนจิลนักแสดงที่รับบท จีน่า ร็อดริเกซ ไม่ใช่ดาราคุ้นตาหรือมีชื่อเสียงมาก ช่วงหลังส่วนใหญ่เล่นแต่ซีรีส์ด้วย แต่กับบทนี้แม้แรกๆ อาจจะรู้สึกขัดๆ เพราะเธอก็ไม่ได้สวยเด่นหรือมีเสน่ห์ แต่กับภาระแบกรับในเรื่องที่ต้องเป็นแม่ที่แกร่ง พอดูไปเรื่อยๆ เธอดูเหมาะกับบทนี้แบบไม่ติดขัดเลย ยิ่งภูมิหลังคือการติดยากดประสาทด้วย (มีส่วนเกี่ยวกับเหตุการณ์นิดหน่อย) หน้าตาที่ออกดูขี้ยาๆ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ และยิ่งคนลูกสาวที่แสดงโดย Ariana Greenblatt ก่อนนี้เล่นเรื่อง Love and Monsters ก็มีเสน่ห์น่ารักเด่นอยู่แล้ว มาเรื่องนี้ในบทเด็กที่เป็นความหวังของโลกแต่เป็นเหตุการณ์วงแคบๆ เธอแสดงอาการวิตกกังวลตลอด ทำอะไรไม่ถูก กลัวกับทุกอย่างที่ผู้ใหญ่พยายามทำอะไรกับเธอ กลัวการพลัดพรากจากแม่กับพี่ชายที่รู้ว่าต้องตายจากเธอในอีกไม่กี่วัน แต่เธอก็ยังมีความฉลาดไหวพริบดีด้วย กลายเป็นบทที่มีเสน่ห์แบบเด็กๆ เข้าคู่กับแม่ได้เป็นอย่างดี แต่ลูกชายคนโตไม่ได้มีบทมาก เหมือนตัวสมทบเรื่องอีกทีเท่านั้น

AWAKE เป็นหนังทุนต่ำของ Netflix ที่ทำออกมาได้ดีลงตัวในสเกลเล็กทุนต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกว่าถ้าได้ดูในโรงก็ไม่รู้สึกเสียดายค่าตั๋วเลย ซึ่งไม่บ่อยนักที่ Netflix จะทำออกมาดีแบบนี้ได้ ก็ไม่ควรพลาดครับ

ซึ่งถ้าใครชอบแนวไซไฟทริลเลอร์ ก่อนหน้านี้มีอีกเรื่องของเน็ตฟลิกคือ อ็อกซิเจน แนะนำให้ดูเช่นกันครับ

รีวิว Oxygen ผลงานจาก อเล็กซานเดอ อาจา ที่ไม่ระทึกขวัญเท่าไหร่ แต่สดใหม่ชวนว้าว!

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!