playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ Mr. Corman (Apple TV+) เรื่องราวตลกฝืดแบบเรียลๆ ของ Joseph Gordon Levitt

Mr. Corman

สรุป

เป็นซีรีส์ติสมากในทุกทางของการนำเสนอ ทั้งเรื่องราวธรรมดาแบบติสๆ เรียลๆ ของตัวพระเอก ฉากประกอบเรื่องที่ดูหลุดโลกหลายครั้ง ซึ่งถ้าใครไม่ชอบแนวคัลท์แปลกๆ แบบนี้ก็ควรข้ามไปเลย แต่ถ้าใครเป็นแฟนโจเซฟก็ดูได้ไม่เสียหายอะไรครับ

Overall
5.5/10
5.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  •  Joseph Gordon Levitt คุมงานสร้างเองทั้งหมด รวมถึงเล่นเอง
  • เรื่องแนวดราม่าแบบเรียลๆ ของชีวิตประจำวันของชายคนหนึ่งในช่วงโควิด 19
  • มีภาพเหนือจริงเข้ามาปะปนกับในเรื่องเยอะ

Cons

  • ตัวเรื่องติสมากจนดูเข้าใจยากพอสมควร
  • วางตัวเป็นแนวตลกแต่กลับไม่ตลกเท่าที่ควร ออกแนวตลกฝืดเยอะ

 

 

Mr. Corman  ซีรีส์ apple tv+ ที่ได้นักแสดงดังอย่าง Joseph Gordon Levitt มาคุมงานสร้างทั้งหมด รวมถึงลงไปเล่นเอง เป็นเรื่องราวแนวเรียลๆ ติดตลกนิดหน่อยกับชีวิตของตัวเอก Josh Corman ครูสอนเด็กประถมที่ฝันค้างไว้ว่าอยากเป็นนักดนตรี และได้สติคิดได้กลับมาสร้างฝันนั้นให้เป็นจริงอีกครั้ง ในช่วงวิกฤติโควิด 19 ที่บั่นทอนคนทั้งโลก

 Mr. Corman (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Mr. Corman

นี่เป็นซีรีส์ที่ติสสุดๆ แทบจะเรียกว่าเป็นแนวอินดี้หรือคัลท์เล็กๆ ของตัว Joseph Gordon Levitt เลยก็ได้ คือต้องขออธิบายก่อนว่าเจ้าตัวโจเซฟเองคิดกับสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาเองในแง่ที่ว่า เขาอยากเล่นเป็นตัวเองในแบบที่ต่างออกไปจากตัวตนจริงในปัจจุบันที่เป็นนักแสดงดัง โดยเคยฝันไว้ว่าอยากเป็นครูเป็นนักดนตรีในอดีต ตอนนี้ก็เลยมาทำซีรีส์สนองฝันในอดีตของเขาเองซะเลย ซึ่งก็ได้แอปเปิลใจป้ำออกทุนสร้างให้ เพราะคอนเซ็ปต์ของแอปเปิลคือการร่วมงานกับมืออาชีพในวงการ การที่ได้โจเซฟมาสร้างเองเล่นเองทั้งหมด มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่ แต่ต้องบอกว่าหลังจากที่รับชมจนครบหมดทุกตอนก็ยังแอบงงอยู่บ้างว่าตัวเรื่องมีจุดหมายอะไรกันแน่ เพราะมันดูเหมือนกึ่งมีสาระกับสัพเพเหระปะปนกันมั่วไปหมด จนดูไปท้ายๆ เรื่องตอนสุดท้ายผู้ชมถึงจะพอเก็ทอะไรขึ้นมาบ้าง

เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก ก็คือการนำเสนอชีวิตของชายคนหนึ่งที่ชื่อ Josh Corman เขาเป็นครูสอนประถม แยกทางกับแฟนมา 1 ปี อาศัยอยู่กับเพื่อนซี้ปึ๊กที่ทำงานส่งของผ่าน DHL ในแต่ละตอนจะเป็นการค่อยๆ ทำความรู้จักตัวตนกับชีวิตของเขาไปเรื่อยๆ โดยเป็นสถานการณ์ช่วงโควิด 19 ที่เข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ อย่างตอนหนึ่งเป็นเรื่องโควิดระบาดหนักในอเมริกาจนต้องล็อกดาวน์อยู่กับบ้านกันหมด แต่พระเอกก็ผวาที่เพื่อนออกไปทำงานกลับมาบ้านทุกวัน เนื้อเรื่องก็ทำให้เห็นว่าเขาจิตตกขนาดไหนกับเรื่องนี้เต็มๆ ทั้งตอนไปจนจบ ซึ่งในแต่ละตอนจะมีพ้อยท์สำคัญว่าเขาต้องไปเกี่ยวข้องกับใครสักคน ทั้งคนในครอบครัวที่โจเซฟก็ไม่ค่อยถูกกับใครทั้ง แม่ พ่อ น้องสาว หรือการได้ไปเกี่ยวกับคนนอกอย่างสาวที่เจอในผับ หรือการเดทผ่านวิดีโอคอลในช่วงโควิด ซึ่งทุกตอนจะเป็นการนำเสนอเรื่องราวโดดๆ กับคนๆ นึงไปจนจบแทบจะไม่มีเกี่ยวข้องไปตอนต่อไปเลยแม้แต่น้อย (มีบางตอนนิดนึงที่โยงข้ามมาอีกตอน) โดยมีติดตลกแบบเรียลๆ จากบุคลิกพิลึกนิดๆ ของพระเอกเข้ามาบ้าง แต่ส่วนใหญ่คือบทพูดสนทนาล้วนๆ ระหว่างพระเอกกับคนในตอนนั้นเป็นหลัก 

ถ้าเรื่องราวเป็นแค่การนำเสนอชีวิตของพระเอกก็คงไม่แปลกอะไร ตัวเรื่องเลยใส่ปมในชีวิตของพระเอกเข้ามาว่าเขาอยากเป็นนักดนตรีในสมัยวัยรุ่นจนโตแล้วก็ยังทำไม่ได้ แถมยังมีปัญหาแยกทางกับแฟนสุดรักเพราะเรื่องนี้ด้วย จนทำให้เขาเริ่มมีอาการทางจิตแปลกๆ อย่างโรคแพนิค ที่ตื่นตระหนกหัวใจเต้นเร็ว แถมยังเห็นภาพหลอนอย่างดาวตกกำลังมาชนโลก ซึ่งเป็นอะไรที่ดูเหนือจริงในภาพที่เรื่องนี้แสดงออกมา แต่นั้นเป็นภาพที่พระเอกเห็นคนเดียวและก็ไม่เคยบอกใคร และอาการนี้ก็เป็นบ่อยๆ ในหลายตอน แต่โดยรวมก็ไม่ได้มีผลลัพธ์อะไรกับเรื่องนัก นอกจากนี้เขายังรู้สึกสัมผัสกับภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาผ่านไปพบเห็นแล้วก็เกิดเป็นแสงสีเสียงดนตรีดังขึ้นในหัว ซึ่งตัวเรื่องแทบไม่บอกเลยว่านั่นคืออะไรจนกระทั่งตอนสุดท้ายถึงเข้าใจว่า อ๋อ เป็นฉากที่แสดงให้เห็นว่าพระเอกเก็บเกี่ยวประสบการณ์พวกนี้มาทำเป็นเพลงนั่นเอง นอกจากนี้บางฉากก็ตัดไปเป็นแนวเหนือจริงแบบคัลท์มากๆ โดยการทำกราฟิกรอบข้างเป็นลายเส้นการ์ตูนตัดกับตัวละครในเรื่อง ซึ่งฉากพวกนี้บางทีก็เป็นในแนวหนังเพลง หรือเป็นการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่เพี้ยนไปเลยก็มี ซึ่งเป็นอะไรที่ติสสุดๆ กับการนำเสนอแทรกมาดื้อๆ แบบนี้ครับ

ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องนี้ออกแนวเรียบๆ ธรรมดามากจนไม่มีอะไรชวนให้ว้าว พีค หรือดึงความสนใจไว้ได้มาก แต่ด้วยการแสดงของโจเซฟเองที่เก่ง เอาจริงๆ ก็เหมือนเขาแบกเรื่องนี้ไว้ทั้งเรื่อง เหมือนเดี่ยวแสตนด์อโลนคนเดียวไปจนจบ ซึ่งผู้ชมที่เป็นแฟนชื่นชอบโจเซฟก็คงดูได้ไม่ติดขัดอะไร แม้เรื่องจะไม่ได้สนุกมาก แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินทนอะไร บางตอนก็เพลินๆ ดี  แต่ก็มีบางตอนที่โอนไปให้เพื่อนพระเอกได้มีบทเต็มๆ แทนพระเอกด้วย

สุดท้ายนี้เป็นซีรีส์ที่ติสมากในทุกทางของการนำเสนอ ทั้งเรื่องราวธรรมดาแบบติสๆ เรียลๆ ของตัวพระเอก ฉากประกอบเรื่องที่ดูหลุดโลกหลายครั้ง ซึ่งถ้าใครไม่ชอบแนวคัลท์แปลกๆ แบบนี้ก็ควรข้ามไปเลย แต่ถ้าใครเป็นแฟนโจเซฟก็ดูได้ไม่เสียหายอะไรครับ

ติดตามอ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์ใน Apple TV+ คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!