playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Parasyte: The Grey (Netflix) ปรสิตเกาหลีที่แอ็กชั่นดุเดือดและเคารพต้นฉบับมาก

Parasyte: The Grey

Summary

สรุป ซีรีส์เดินเรื่องด้วยฉากแอ็กชั่นที่ดุเดือดรุนแรงร่วมกับ CG ปรสิตที่เคลื่อนไหวลื่นไหลไร้ที่ติ โดยเนื้อเรื่องที่เป็นสปินออฟแยกออกมาเป็นเกาหลีก็ไม่ได้ทำลายต้นฉบับญี่ปุ่นไปเลย มีความคล้ายคลึงกันหลายฉาก และยังใส่ความเคารพในรายละเอียดแทบทั้งหมด แต่ด้วยความที่มีเพียง 6 ตอน ความพยายามเล่าดราม่าปรัชญาชีวิตลึกๆ แบบเดิมจึงทำไม่ได้เต็มที่เท่านั้น แต่ตอนจบของเรื่องที่เชื่อมไปยังเนื้อเรื่องญี่ปุ่นก็คือเดอะเบสสุดของซีรีส์เรื่องนี้แล้วครับ 

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • สร้างจากมังงะชื่อดัง
  • เคารพต้นฉบับแทบทั้งหมด
  • ฉากแอ็กชั่นเยอะดุเดือดรุนแรงมาก
  • CG สวยลื่นไหล
  • พัฒนาการตัวละครได้ดี
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ซีรีส์สั้นมากแค่ 6 ตอนทำให้ลงรายละเอียดดราม่าปรัชญามากไม่ได้เท่ากับต้นฉบับ
  • ฉากกินคนแบบต้นฉบับไม่มี

Parasyte: The Grey ปรสิต: เดอะ เกรย์ ซีรีส์เกาหลี Original Netflix  6 ตอนจบซีซั่น 1 แนวดราม่าแอ็กชั่นสยองขวัญ เป็นสปินออฟจากมังงะดังของญี่ปุ่น เรื่องราวของปรสิตที่ลงมายึดครองร่างมนุษย์โดยการยึดสมองและไล่ฆ่ามนุษย์ หน่วยงานรัฐบาลจึงตั้งทีมปราบพวกมันโดยเฉพาะ
Parasyte: The Grey (2024) on IMDb

 

รีวิว Parasyte: The Grey ปรสิต: เดอะ เกรย์ (ไม่สปอยล์)

 

เวอร์ชั่นภาพยนตร์ของญี่ปุ่นเมื่อปี 2014 มี 2 ภาคจบ

ซีรีส์จากมังงะดังในอดีตตั้งแต่ปี 1989-1994 ซึ่งถูกนำมาสร้างเป็นหนังฉายโรงและอนิเมะมาก่อนแล้ว ซึ่งผู้ชมที่ติดตามพวกนี้มาก็น่าจะเคยดูกันมาแล้วและรู้ว่าเรื่องนี้มันขึ้นหิ้งมากในทางดราม่าปรัชญาชีวิต ดังนั้นการที่เกาหลีนำมาสร้างใหม่น่าจะมีอะไรพิเศษมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้สร้างโดยผู้กำกับ Yeon Sang-ho ซึ่งทำซีรีส์ Hellbound กับภาพยนตร์อย่าง Train to Busan ซึ่งสไตล์ของเขาก็คือการกำกับฉากแอ็กชั่นที่โดดเด่นมาก และก็ถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้โดดเด่นแตกต่างไปจากต้นฉบับของญี่ปุ่นอย่างชัดเจน

ซีรีส์เล่าเรื่องปรสิตลงมายังโลกเข้าไปในหัวคนแบบเดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างไปเลยคือฉากแรกของเรื่องนี้คือเทศกาลดนตรีที่ปรสิตอาละวาดฆ่าคนจำนวนมากในที่สาธารณะ ซึ่งผิดกับต้นฉบับที่พยายามซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา และโลกในเรื่องนี้ก็เป็นช่วงปัจจุบันที่ทุกคนมีมือถือ มีโซเชียลกันแล้ว ซึ่งการเปิดเรื่องที่แตกต่างนี้จะสร้างคำถามขึ้นในหัวของผู้อ่านต้นฉบับมาแน่นอน ตัวเรื่องก็ไม่ได้เลือกเฉลยว่าเหตุการณ์นั้นจบยังไง แล้วค่อยๆ หาทางเล่ารายละเอียดเสริมมาในภายหลัง ผ่านการเปิดตัวทีมล่าปรสิตที่ชื่อ The grey เป็นทีมที่มีความรู้และอาวุธครบมือทันทีตั้งแต่แรก โดยมี จุนกยอง (แสดงโดย Lee Jung-hyun) สาวห้าวเป็นผู้นำทีม แล้วก็เป็นการไล่ล่าปรสิตผ่านทีมนี้กันทั้งเรื่อง ซึ่งก็เป็นฉากแอ็กชั่นไล่ยิงต่อสู้กันอย่างเมามันส์ ผ่านภาพ CG ปรสิตที่แปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ (ดีกว่าเวอร์ชั่นภาพยนตร์ญี่ปุ่นปี 2014 ค่อนข้างมาก) ซึ่งฉากแอ็กชั่นการต่อสู้กับปรสิตนี้คือจุดขายที่แท้จริงของเวอร์ชั่นนี้ และบางฉากก็เหมือนต้องการให้ความเคารพต้นฉบับไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งคนที่เคยดูต้นฉบับมาก่อนก็คงรู้สึกเป็นระยะๆ ว่ามันมีความคล้ายคลึงในหลายอย่าง แต่แค่เปลี่ยนตัวละครเป็นคนเกาหลีเท่านั้น 

สำหรับผู้อ่านต้นฉบับมาก็คงรู้ว่าปรสิตแม้เก่งแค่ไหนก็ยังแพ้การรวมกลุ่มต่อสู้ของมนุษย์ ซึ่งเรื่องนี้ก็ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อปรสิตถูกกวาดล้างแบบง่ายๆ จนเหมือนสู้ไม่ได้ โดยซีรีส์ได้สร้างอุปกรณ์ขึ้นมาใหม่ที่ไม่มีในต้นฉบับ เป็นหมวกควบคุมปรสิตได้แล้วนำมาใช้ตรวจหาปรสิตตามที่ต่างๆ ซึ่งจริงๆ ก็เป็นพล็อตแบบเดียวกันกับต้นฉบับที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีเซนส์การตรวจจับปรสิตได้ แต่เรื่องนี้ทำออกมาให้ดูประหลาดเกินไปสักหน่อย แล้วก็เล่นเรื่องราวการวางแผนแทรกซึมเข้ามาของปรสิตเพื่อทำลายปรสิตที่สวมหมวกนี้ โดยมีเรื่องการตรวจสอบตัวตนว่าเป็นมนุษย์หรือปรสิตในแบบเดียวกับต้นฉบับทุกอย่างเช่น เอกซ์เรย์ การดึงเส้นผมมาทดสอบ การที่ปรสิตไม่สามารถเข้าใจและแสดงอารมณ์แบบมนุษย์ได้ ซึ่งซีรีส์ก็นำมาใช้ในการเดินเรื่องลุ้นระทึกจนแทบไม่ต่างกัน 

 ด้วยความที่เรื่องเลือกเล่าข้ามแบบก้าวกระโดดในตอนแรกต่างไปจากต้นฉบับที่ค่อยๆ เล่าชีวิตความเป็นมาของตัวละคร ในเรื่องจึงใช้การเล่าย้อนอดีตในช่วงตอนต้นของทุกตอนเป็นการเฉลยเบื้องหลังชีวิตของตัวละครหลักในเรื่องทุกคน โดยตัวเอกอย่าง ‘จองซูอิน’ที่ถูกปรสิตช่วยไว้และรวมร่างกันกลายเป็นพวกกลายพันธ์ก็ถูกเล่าโดยมีปมชีวิตที่ถูกกระทำตั้งแต่เด็ก และมองว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย แม้แต่การถูกปรสิตสิ่งร่างนี้ก็ด้วยเช่นกัน โดยมีปรสิตที่ชื่อไฮดี้เป็นพวกช่างคิดแตกต่างไปจากปรสิตตัวอื่นๆ เหมือนมิกกี้ของต้นฉบับและก็มีความสามารถคิดวางแผนได้ซับซ้อน มีจุดอ่อนที่เหมือนกันคือใช้พลังได้ไม่นานละต้องพักฟื้นโดยการนอนหลับ ซึ่งก็คือช่วงอันตรายที่เรื่องวางพล็อตไว้ให้นางเอกต้องคิดหาทางรอดโดยไม่มีปรสิตช่วยในแบบเดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างกันไปเลยคือไฮดี้ไม่สามารถสื่อสารโดยตรงกับนางเอกได้เพราะอยู่ในหัวและเวลาออกมาก็คือการเปลี่ยนตัวตนไปเลย ซึ่งนักแสดงสาว Jeon So-nee เล่นเป็น 2 บทบาทแบบตีบทแตกได้ดีเลย แล้วก็ใช้การเขียนบันทึก หรือการฝากบอกคนอื่นต่อ ซึ่งก็ดูลำบาก แต่ซีรีส์ก็นำจุดนี้มาใช้เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ดีไม่แพ้ต้นฉบับเลย 

ซีรีส์ยังมีตัวเอกอีกคนคือ ซอลคังอู (เล่นโดย Koo Kyo-hwan ) เป็นตัวละครที่รับหน้าที่ผู้ช่วยเหลือนางเอก แล้วก็มีเส้นเรื่องของตัวเองที่มีปมถูกแก๊งนักเลงทรยศ พี่สาวกับน้องสาวถูกปรสิตสิงร่างแล้วฆ่า ชีวิตเต็มไปด้วยความแค้น แต่ตัวเองก็ไม่มีพลังที่จะไปแก้แค้นได้ ก่อนค่อยๆ พัฒนาตัวละครจนก้าวข้ามกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญของนางเอกในยามที่ไฮดี้ไม่อยู่ แล้วก็เปลี่ยนจากบทคนที่ไม่มีอนาคตให้มีความหวังในชีวิตขึ้นมาพร้อมๆ กับนางเอกที่มีปมด้อยค่าตัวเองก็ค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อรู้ว่ามีคนคอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอ ซึ่งเรื่องผูกสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ได้ดีจนเหมือนซอลคังเป็นพระเอกของซีรีส์เรื่องนี้เลยครับ (แค่หน้าตาไม่หล่อแบบพระเอกเกาหลีปกติเท่านั้น)

 

จุดด้อยของเรื่องนี้ก็คือการที่ซีรีส์พยายามเล่าถึงการตั้งคำถามเชิงปรัชญาต่างๆ แบบเดียวกับต้นฉบับ อย่าง ปรสิตมีหน้าที่อะไรกันแน่? มนุษย์ก็เป็นปีศาจแบบเดียวกัน? อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่ปรสิตพยายามเรียนรู้สำคัญยังไง ทุกอย่างมาจากที่ต้นฉบับใช้เป็นเมนเรื่องหลักผ่านตัวละครแยกกันไปคนละตัว โดยมีพัฒนาการของตัวละครกับคำถามพวกนี้ในแง่มุมที่ลึกซึ้งมาก แต่การที่ซีรีส์มีเพียงแค่ 6 ตอนและใช้ฉากแอ็กชั่นเดินเรื่องเยอะกว่า จึงไม่สามารถเล่าแบบลงลึกผูกปมขนาดนั้นได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของซีรีส์โดยตรงนักเพราะถ้าผู้ชมไม่เคยดูต้นฉบับมาก่อนก็คงไม่รู้สึกว่ามันต้องลึกอะไร และก็น่าจะพอเข้าใจสิ่งที่เรื่องพยายามตั้งคำถามไว้โดยมีคำตอบแบบปลายเปิดชวนให้คิดทิ้งไว้ได้เหมือนกันครับ 

 

แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์สุดๆ คือตอนจบที่ทิ้งไว้เพื่อไปต่อซีซั่น 2 โดยการเชื่อมเรื่องราวกับต้นฉบับญี่ปุ่นได้อย่างน่าติดตามมากเพราะนี่คือการเปิดจักรวาลปรสิตใหม่ให้กว้างขึ้นและต่อยอดจากเนื้อเรื่องในอดีต ซึ่งผู้เขียน Hitoshi Iwaaki เองก็คงอยากให้เป็นแบบนี้เช่นกันถึงขายลิขสิทธิ์มาให้เกาหลีทำ เรียกว่าเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกสองชาติที่มีจุดเด่นคนละอย่าง มังงะญี่ปุ่น+ซีรีส์เกาหลี และก็คาดหวังว่าจะมีผลงานแบบนี้ตามมาอีกครับ 


สรุป ซีรีส์เดินเรื่องด้วยฉากแอ็กชั่นที่ดุเดือดรุนแรงร่วมกับ CG ปรสิตที่เคลื่อนไหวลื่นไหลไร้ที่ติ โดยเนื้อเรื่องที่เป็นสปินออฟแยกออกมาเป็นเกาหลีก็ไม่ได้ทำลายต้นฉบับญี่ปุ่นไปเลย มีความคล้ายคลึงกันหลายฉาก และยังใส่ความเคารพในรายละเอียดแทบทั้งหมด แต่ด้วยความที่มีเพียง 6 ตอน ความพยายามเล่าดราม่าปรัชญาชีวิตลึกๆ แบบเดิมจึงทำไม่ได้เต็มที่เท่านั้น แต่ตอนจบของเรื่องที่เชื่อมไปยังเนื้อเรื่องญี่ปุ่นก็คือเดอะเบสสุดของซีรีส์เรื่องนี้แล้วครับ 

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!