playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Rebel Moon part 1 ไซไฟแฟนตาซีที่เนื้อเรื่องชิลๆ สนุกแบบธรรมดา ดีกว่าตีตั๋วดูเท่านั้น

Rebel Moon part 1

Summary

สรุปเป็นหนังจากวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ในหัวของ แซ็ก สไนเดอร์ เท่านั้น เพราะเนื้อเรื่องธรรมดาและซ้ำซากมากในยุคนี้ การเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงทื่อๆ ตัวละครกบฎแต่ละคนแทบไร้รายละเอียดที่ควรมีให้จดจำ นักแสดงก็ธรรมดามาก ขาดเสน่ห์เพราะบทที่ตื้นเขินสุดๆ สิ่งที่ดีก็คือ การเล่าเรื่องที่มันง่ายๆ ดูผ่านสตรีมมิ่งที่ให้อารมณ์ชิลๆ มากกว่าตีตั๋วไปดูหนัง ผู้ชมที่ไม่คิดมากก็คงสนุกไปเรื่องนี้ได้อยู่ด้วยฉากแอ็กชั่นเยอะเน้นสโลวสำหรับผู้ชมที่เป็นแฟนแซ็คโดยเฉพาะครับ

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • หนังจาก แซ็ก สไนเดอร์
  • ฉากแอ็กชั่นเยอะ

Cons

  • เนื้อเรื่องเป็นเส้นตรงทื่อๆ
  • ตัวละครขาดความลึก
  • นักแสดงไม่โดดเด่น

Rebel Moon part 1 หนัง Netflix แนวไซไฟจากผู้กำกับ  แซ็ก สไนเดอร์ เรื่องราวในจักรวาลที่มีกองทัพมาเธอร์เวิลด์ไล่ล่าบุกยึดดวงดาวต่างๆ ตั้งต้นเป็นผู้ปกครองจักรวาล กบฎสาวที่มีอดีตอันลึกลับหลบหนีซ่อนตัวมานานก็ลุกขึ้นมารวบรวมเหล่ากบฎคนอื่นเพื่อก่อการปฏิวัติ

รีวิว Rebel Moon part 1 (ไม่สปอยล์)

 

หนังที่สร้างจากวิสัยทัศน์ของ แซ็ก สไนเดอร์ ที่บอกว่าเก็บไว้มานานตั้งแต่สมัยเรียนแต่ก็ไม่ผ่านการสร้างออกมาได้ และเรื่องนี้ยังอยู่ในจักรวาลเดียวกับหนังซอมบี้ Army of the Dead ที่ออกมาก่อนนี้ด้วย ซึ่งจุดเริ่มนี้ก็ทำให้น่าสนใจ แต่ก็ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นแค่พาร์ทแรกยังไม่จบ จึงไม่มีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องให้เห็น หรืออาจจะมีใบ้ไว้แต่ผู้เขียนไม่รู้ก็ได้ เนื้อเรื่องที่เห็นจึงเป็นเรื่องราวของหนังโดยตรง ซึ่งก็น่าผิดหวังเพราะคำประกาศอย่างยิ่งใหญ่ว่านี่เป็นผลงานสุดอลังการที่สุดของ แซ็ก สไนเดอร์ เองนั่นแหละครับ

ด้วยเรื่องราวที่เหมือนเอาสตาร์วอร์มาผสมกับ 7 เซียนซามูไร ในยุคนี้มันคือเนื้อหาที่เก่ามากๆ แล้ว และ แซ็ก สไนเดอร์ เองก็ไม่ได้เก่งในการเขียนบทให้ลึกซับซ้อนแต่อย่างใด หนังหลายเรื่องที่บทออกมาดีก็มาจากการทำตามต้นฉบับตรงๆ อย่าง Watchmen หรือ Man of steel ก็ไม่ใช่เขาเป็นคนเขียน (บทเขียนโดย David S. Goyer กับ Christopher Nolan) ทำให้พล็อตเรื่องที่ธรรมดานี้ก็ไม่ได้มีความลึกหรือการเดินเรื่องที่ลงรายละเอียดที่ดีพอ หรือแม้แต่ความแปลกใหม่สักอย่างก็ยังไม่มี แถมยังเอาไอเดียอย่างดาบเลเซอร์ของสตาร์วอร์มาใช้กันตรงๆ หรือฝ่ายตัวร้ายที่ดูยังไงมันก็คือการเอาลักษณะของนาซีมาใช้ โดยมีส่วนผสมของตัวละครรองๆ ฝ่ายตัวร้ายใส่ชุดญี่ปุ่นเข้าไปอีก ซึ่งนี่ไม่ใช่วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่อะไรแน่ แต่เป็นการก็อปปี้เนื้อหาต่างๆ ยำเข้ามาในบทที่เป็นเส้นตรงธรรมดาเท่านั้น

ที่จริงการเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงก็อาจจะไม่แย่ เพราะมีหนังหลายเรื่องก็เล่าเรื่องแบบนี้เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจง่าย แต่ไปใส่รายละเอียดที่ลึกลงไป แต่เรื่องนี้ดันไม่ใช่ มันแย่ซ้ำเติมเข้าไปอีกเมื่อตัวละครฝ่ายกบฎที่ควรจะเป็นจุดเด่นจุดขายของเรื่องกลับเหมือนมีไปงั้นๆ หนังแทบไม่ให้รายละเอียดอะไรเลย มีแค่นางเอกเดินทางไปหาก็เจอทันที จากนั้นก็มีฉากสู้ของตัวละครนั้นกับบางอย่างที่เป็นโจทย์เล็กๆ พอจบก็ได้มาเป็นพวกทันทีโดยแทบไม่มีการลงรายละเอียดตัวละครกบฎนั้นให้ผู้ชมได้เห็นอะไรต่อเลย ตัวละครที่ทำได้ดีสุดอย่างหุ่นยนต์นักรบในตอนแรกก็มีบทพูดไม่กี่คำจากนั้นก็หายไปทั้งเรื่อง (พากย์เสียงโดย แอนโธนี่ ฮ็อปกินส์) ถึงจะเป็นหนังที่มีเวลาจำกัด แต่เนื้อเรื่องกลับตัดส่วนนี้จนห้วนมาก ซึ่งความจริงเรื่องนี้ควรจะทำเป็นซีรีส์อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็เข้าใจว่านี่ไม่ใช่แนวของ แซ็ก สไนเดอร์ ที่เป็นผู้กำกับมาตลอด

ส่วนที่แย่ต่อมาคือคือนักแสดงในเรื่องตั้งแต่ Sofia Boutella นางเอกที่ไม่ได้เด่นหรือมีเสน่ห์มากพออะไร (ก่อนนี้รับแต่บทตัวร้ายอย่าง The mummy, Kingsman: The Secret Service) ซ้ำร้ายยังมาโดนบทที่แทบไม่มีรายละเอียดลึกซึ้งกับความลับที่เป็นปริศนาของเธอ นอกจากตอนเด็กพ่อแม่ถูกฆ่า ตัวร้ายจับไปเลี้ยงสร้างมาเป็นนักรบ บทที่มันทื่อๆ รวมกับตัวนักแสดงที่ไม่เด่นทำให้หนังดูจืดลงไปอีก Bae Doona ดาราเกาหลีที่หลายคนจ้องดูก็ไม่ได้แจ้งเกิดอะไรเพราะบทน้อยเหลือเกิน แถมอาวุธไปก็อปปี้สตาร์วอร์มาอีก Djimon Hounsou ในบทแม่ทัพกบฎในตำนานก็ไม่มีออร่าอะไรให้เห็นเลย Staz Nair ในบท Tarak นักสู้ที่ตกเป็นทาสก็ก็อปปี้ทรงคนอินเดียนแดงมาใช้ แถมยังมีการบังคับสัตว์ได้แบบ Avatar จากการสื่อสารใจที่ดูแล้วก็ตะหงิดๆ อีก Charlie Hunnam ที่รับบทโจรล่ารางวัลนักฉวยโอกาสก็เป็นบทเดิมๆ ที่ผู้ชมก็คงพอรู้ได้อยู่แล้วจากหน้าตาท่าทางของเขา หรือกระทั่งพระเอกโนเนมที่เป็นชาวนาในกลุ่มกบฎแล้วกลายมาเป็นคนพลิกผันสถานการณ์ก็ยังไม่ได้ให้ความรู้สึกนี่คือพระเอกเลย แม้บทจะพยายามช่วยเขามากที่สุดในเรื่องแล้วก็ตาม ตัวร้ายของเรื่องที่เล่นโดย Ed Skrein ก็ออกมาเป็นนาซีอวกาศแบบทื่อๆ ที่ดูแล้วไม่ได้ครีเอทอะไรใหม่ตามโครงสร้างของเรื่องเลย 

แต่ส่วนดีของเรื่องก็ยังมีอยู่คือการเล่าเรื่องที่มันง่ายๆ ดูผ่านสตรีมมิ่งที่ให้อารมณ์ชิลๆ มากกว่าตีตั๋วไปดูหนัง ผู้ชมที่ไม่คิดมากก็คงสนุกไปเรื่องนี้ได้อยู่ด้วยฉากแอ็กชั่นในเรื่องที่มีเยอะ (ฉากเลือดสาดในเรื่องจะไม่มีให้เห็นเพราะหนังมีเรตสูงกว่านี้ตามมาภายหลัง) และก็พยายามเสิร์ฟด้วยฉากสโลวโมชั่นสวยๆ ตามลายเซ็นต์ของแซ็ก ถ้าใครเป็นแฟนแนวนี้ก็คงชอบเพราะใส่มาเยอะและค่อนข้างพร่ำเพรื่อมากด้วย บางฉากที่ไม่ใช่ฉากสู้ก็ยังใส่มา ซึ่งคนที่ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้ก็คงมีรำคาญอยู่บ้าง แต่ก็พอจะหยวนๆ ได้เพราะมีหนังของแซ็กที่สโลวมากกว่านี้เยอะ 

สรุปเป็นหนังจากวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ในหัวของ  แซ็ก สไนเดอร์ เท่านั้น เพราะเนื้อเรื่องธรรมดาและซ้ำซากมากในยุคนี้ การเล่าเรื่องเป็นเส้นตรงทื่อๆ ตัวละครกบฎแต่ละคนแทบไร้รายละเอียดที่ควรมีให้จดจำ นักแสดงก็ธรรมดามาก ขาดเสน่ห์เพราะบทที่ตื้นเขินสุดๆ สิ่งที่ดีก็คือ การเล่าเรื่องที่มันง่ายๆ ดูผ่านสตรีมมิ่งที่ให้อารมณ์ชิลๆ มากกว่าตีตั๋วไปดูหนัง ผู้ชมที่ไม่คิดมากก็คงสนุกไปเรื่องนี้ได้อยู่ด้วยฉากแอ็กชั่นเยอะเน้นสโลวสำหรับผู้ชมที่เป็นแฟนแซ็คโดยเฉพาะครับ

 

  

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!