playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Red Dot เป้าตาย (Netflix) เกมล่ามือปืนส่องเลเซอร์ปริศนากลางทุ่งหิมะ (ไม่มีสปอยล์)

Red Dot

สรุป

ผิดคาดและเซอร์ไพรส์เอามากๆ กับหนังที่เล่นกันหลักๆ แค่ 2 คนกับมือปืนปริศนา เป็นแนวไล่ล่าทริลเลอร์ชวนระทึกทุนต่ำ แต่มีบทสรุปที่ชวนช็อคเกินคาด

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
4.33 (3 votes)

Pros

  • มีความกดดันลุ้นระทึกจากเลเซอร์ส่องเป้าได้ตามชื่อเรื่องจริงๆ
  • เล่นกันสองคนกับมือปืนปริศนาแทบทั้งเรื่อง
  • สภาพธรรมชาติสุดโหดที่กดดันให้ตัวละครในเรื่องเหมือนเจอศึกรอบด้าน ทั้งคนล่าทั้งธรรมชาติที่ไม่ปราณี
  • ช่วงเฉลยมีอะไรมากกว่าที่ปูมาทั้งเรื่อง จนทำให้เรื่องฉีกแตกต่างจากตอนแรก
  • มีดราม่าปมเหยียดสีผิวปะปนอยู่ในเรื่องด้วย

Cons

  • ตัวเอกสู้กลับได้แล้วแต่กลับไม่แย่งปืนมาสองรอบ ซึ่งไม่สมเหตุผลมาก แถมบทยังตั้งใจทิ้งจุดนี้เอาไว้เพื่อใช้ภายหลังต่ออีก
  • ฉากไคลแม็กซ์ท้ายเรื่องอยู่ๆ ก็แทรกตัวละครอื่นมาทำให้เรื่องมีทางออก จนดูไม่สมเหตุผล

Red Dot เป้าตาย หนัง Original Netflix จากสวีเดน เรื่องราวของสองสามีภรรยาที่ไปทริปดูแสงเหนือ แต่กลับเจอเลเซอร์จากปืนส่องเป้าประกบทั้งคู่แบบหาที่มาที่ไปไม่ได้ พวกเขาต้องเอาชีวิตรอดจากมือสังหารปริศนา ท่ามกลางสภาพอากาศอันเลวร้ายที่พร้อมฆ่าเขาทั้งคู่ให้ตายได้เช่นกัน

 Red Dot (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Red Dot เป้าตาย

นี่เป็นหนังเน็ตฟลิกซ์แท้ๆ ที่ทำเอาเซอร์ไพรส์กับบทและเรื่องราวที่คาดไม่ถึงว่าจะทำได้ดีกว่าที่คิดมาก กับแนวทริลเลอร์แบบจำกัดตัวละครตามประสาหนังทุนต่ำในเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งเรื่องนี้เล่นกันหลักๆ เพียงแค่ 2 คนคือ เดวิดกับนาเดีย สามีภรรยาที่ถูกเป้าปริศนาตามส่อง ตัวละครอื่นนอกเหนือจากนี้คือแทบไม่ได้ปรากฎมาในเรื่อง เพราะจุดขายเรื่องนี้ก็คือ ใครคือมือปืนปริศนาที่ส่องเลเซอร์ (ตามชื่อเรื่อง เรด ดอท) ใส่ทั้งคู่แบบไม่มีเปิดเผยตัวให้เห็น ทำให้คนดูต้องลุ้นระทึกติดตามการเอาตัวรอดไปพร้อมกับชวนขบคิดว่า เรื่องที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่?

หนังเปิดเรื่องช่วงต้นด้วยชีวิตคู่ที่พึ่งเริ่มต้นอยู่ด้วยกันของสองสามีภรรยาที่ระหองระแหงกัน แม้ตอนแรกจะเปิดเรื่องด้วยฉากขอแต่งงานแบบโรแมนติกแปลกๆ ซึ่งหนังเสียเวลาปูตรงนี้ไม่นานแค่ 10 กว่านาที (แต่ก็เป็นจุดสำคัญของเรื่อง) เพื่อจะเข้าไปสู่สถานที่หลักทุ่งหิมะชมแสงเหนือของสวีเดน ซึ่งระหว่างทางก็เปิดปมดราม่าเหยียดผิว เมื่อทั้งคู่ไปเจอกับคนในถิ่นนั้นที่เหยียดคนผิวดำ ซึ่งนาเดียภรรยาของเดวิดก็ตกเป็นเป้า ก่อนจะทะเลาะตอบโต้กันไปมา และก็กลายมาเป็นปมต่อเนื่องมายังทุ่งหิมะเมนหลักของเรื่อง แม้จะดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีความสมเหตุผลในตัว ซึ่งหนังแนวทริลเลอร์ใช้พล็อตความขัดแย้งกับคนท้องถิ่นแบบนี้มีบ่อย คนดูเข้าใจได้เมื่อหน้าหนังเผยให้เห็นแล้วว่ามือปืนในเรื่องมันโรคจิตขนาดไหนกับการเอาเป้าเลเซอร์ไล่ส่องคนในเวลากลางคืน ถึงตัวเรื่องในตอนแรกแม้จะไม่ได้มีฉากยิงกันตรงๆ มีแค่เลเซอร์ที่กวาดไปมาบนตัวจนถึงหัวของทั้งคู่ก็ทำให้คนดูลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าจะปังปืนลั่นกันตอนไหน แถมสุนัขที่ทั้งคู่พามาด้วยก็ตกเป็นเป้าอีก ซึ่งก็แน่นอนว่าคนดูเห็นเจ้าหมานี่ก็รู้เลยว่า นี่คือเหยื่อสังเวยความโรคจิตให้คนดูเห็นก่อนจะมาถึงคิวของตัวละครหลักแน่นอน (ฉากนี้มีความรุนแรงสูง สำหรับคนรักสัตว์อาจจะสะเทือนใจมาก)

หลังเรื่องเริ่มเปิดให้เห็นแล้วว่ามีการล่าจริงไม่ใช่หยอกๆ แบบใช้เลเซอร์ส่องในตอนแรก หนังก็พาให้เดวิดกับนาเดียต้องหนีตายแบบไม่รู้สาเหตุ ระหว่างทางที่หนีตายในทุ่งหิมะก็ต้องเจอกับธรรมชาติสุดโหดไปด้วย ทั้งพายุหิมะ น้ำแข็งแตก แต่หนังก็ไม่ได้ใช้พวกนี้มาก เพราะหลักๆ แล้วคือการตามล่าของมือปืนปริศนา ที่ดูชำนาญในเกมล่ากลางทุ่งหิมะกลางคืนมาก ถึงขั้นมีพลุไฟส่องแสงไว้ล่าเหยื่อที่หนีไปในความมืดด้วย ซึ่งพอมาเป็นการล่าคนแล้วกลายเป็นแค่พลุก็น่ากลัวไปในทันที ทั้งยังมีการวางกับดักล่อให้ทั้งคู่ไปติด ประหนึ่งว่านี่เป็นเกมล่าสัตว์ที่เปลี่ยนมาเป็นคนแทน

จุดสำคัญของเรื่องคือการพยายามปกปิดมือปืนคนนี้อยู่ตลอดเวลา โดยให้เห็นแค่ลางๆ ในบางครั้งเท่านั้น ซึ่งนี่คือความแยบยลของเรื่องมาก จากที่เรื่องเหมือนจะเดาง่าย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ใช่ไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่เรื่องเริ่มเผยอะไรแปลกๆ ให้เห็น จากมุมมองของเดวิดที่บาดเจ็บหนักกับภาพหลอนปริศนา พร้อมกับแฟลชแบ็คไปยังเหตุการณ์อื่นในอดีตของนาเดียที่เป็นปริศนาเช่นกัน รวมถึงบทสนทนาแปลกๆ เรื่องลูกในท้องของนาเดียที่พึ่งมาบอกเดวิดในตอนนี้ ทำให้คนดูเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเรื่องมีอะไรมากกว่าที่ปูมาในตอนแรก ซึ่งหนังก็มาเฉลยเอาช่วงครบชั่วโมงเป็นอีกด้านของเรื่องราวที่ซุกซ่อนอยู่ในช่วง 10 นาทีแรกเปิดเรื่อง ซึ่งเรื่องราวหลังจากนั้นผิดคาดและแตกต่างจากเกมล่าในตอนแรกกลายมาเป็นความโหด ซาดิสม์ ของคนร้ายที่ทรมานเหยื่อด้วยมือของพวกเขาเอง ไอเดียบรรเจิดแบบน้องๆ SAW เลยทีเดียว จนดูโหดกดดันมากกว่าตอนแรกเข้าไปอีก แต่เรื่องก็ยังเซฟตัวเองไว้ไม่ถึงขั้นมีฉากแหวะ เพราะยังต้องตั้งอยู่ในสมมุติฐานของความเป็นไปได้จริงในเรื่องอยู่ด้วย (ไม่ได้เป็นแบบหนังเน้นแหวะ)

แต่จุดที่เด็ดสุดของเรื่องคือตอนจบที่ชวนช็อค นอกจากจะแหวกแนวสูตรสำเร็จทั่วไปแล้วยังกล้าจบแบบแตกต่าง โดยการให้ความหวังกับคนดูก่อนว่าจะจบแบบที่คิด แต่หนังกลับฉีกตัวเองออกไปจบอีกแบบ แม้จะไม่ได้แปลกใหม่ เคยมีแล้ว แต่ก็เป็นฉากจบที่คนทำต้องกล้า เพราะมันค่อนข้างหักหาญใจคนดูพอสมควรเลย แต่ก็ทำให้สมเหตุผลในตัวเองเช่นกันที่จบแบบนี้ครับ

แม้เรื่องจะเขียนบทได้ค่อนข้างสมเหตุผลมีที่มาที่ไปจนจบได้ดี แต่ก็มีจุดบอดใหญ่ของเรื่องคือ เหตุการณ์ระหว่างทางที่ไม่สมเหตุผล มี 2 ครั้งในเรื่อง เมื่อตัวเอกสู้กลับทำร้ายคนที่มาตามล่าได้แล้ว แต่กลับไม่ชิงปืนหรือซ้ำคนที่มาตามล่าให้ตาย แม้แต่จับมัดไว้ก็ยังดี แต่กลับให้ทั้งคู่วิ่งหนีต่อไปอีก ซึ่งถือว่าไม่สมเหตุผลมากจนชวนงงว่าเขียนบทแบบนี้เพื่ออะไร กลัวหนังจบไวงั้นหรือ แม้ต่อมาหนังจะพยายามเฉลยความจริง และนำตรงนี้กลับมาใช้ในเหตุการณ์สำคัญตอนหลังอีกครั้ง แต่มันก็กลายเป็นจุดบอดสำคัญของเรื่องที่แย่ชวนให้ไม่สมเหตุผลเพิ่มเข้าไปอีก (แอบตลกกับความไม่สมเหตุผลด้วยนิดๆ)

สุดท้ายแม้หนังจะมีจุดบอดใหญ่ แต่โดยรวมก็เป็นหนังที่มีความแตกต่างจากสูตรสำเร็จโดยทั่วไปมาก (อาจจะเพราะเป็นหนังสวีเดน) ถ้าใครต้องการความสดใหม่ของเรื่องราว พร้อมฉากจบที่ชวนช็อค แนะนำเลยว่าควรค่าแก่การดูเลยครับ

 

ติดตามรีวิวหนังในเว็บไซต์คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!