playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Severance (Apple TV+) แยกโลกแยกความจำชีวิตสุดพิสดาร (ไม่มีสปอยล์)

สรุป

ซีรีส์ที่เต็มไปด้วยความพิลึกพิลั่นกับเรื่องราวจำลองโลกไซไฟหลุดโลกแบบดราม่าจิตวิทยาชวนหัวจะปวดมากๆ  ถึงเรื่องราวสโลว์เบิร์นมากก็จริง แต่ก็ลึกลับแปลกประหลาดดึงดูดให้ดูต่อได้เรื่อยๆ แบบยิ่งดูยิ่งพีคขึ้นๆ ในตอนหลัง ซึ่งเมื่อดูจบแล้วต้องยอมรับเลยว่านี่คือซีรีส์ที่ดีมาก เป็นม้ามืดระดับท็อปของแอปเปิลในปีนี้เลยครับ

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • เรื่องราวแนวไซไฟจำลองโลกสุดพิลึก แต่ก็ชวนขบคิดแบบจริงจังไปพร้อมกัน
  • ในเรื่องใช้ธีมมินิมอลทุกอย่าง
  • ตัวละครน้อยแต่สร้างเรื่องราวได้มากมาย

 

Cons

  • เรื่องราวดำเนินไปแบบเนิบๆ ช้าๆ มาก
  • มีความติสในเรื่องราวสูงมากจนผู้ชมทั่วไปอาจจะเข้าไม่ถึง

Severance ซีรีส์แนวดราม่าไซไฟของ Apple TV+ ผลงานกำกับของ Ben Stiller (6 ตอนแรก) จากผู้สร้างหน้าใหม่ Dan Erickson แต่ได้กลายเป็นซีรีส์ระดับท็อปของแอปเปิลไปแล้ว จากเรื่องราวสุดพิลึกพิลั่นเมื่อโลกนี้มีชิปที่แยกโลกส่วนตัวกับชีวิตการทำงานเด็ดขาดออกจากกันได้ อะไรจะเกิดขึ้น?

 Severance (2022) on IMDb

ตัวอย่าง

 

 

เรื่องย่อ

มาร์คพนักงานแผนกคัดกรองข้อมูลของบริษัท Lumon Industries ที่นี่ความจำของพนักงานทุกคนจะถูกแยกเป็นชีวิตส่วนตัวกับความจำของการทำงาน  ซึ่งมาร์คเองไม่เคยรู้สึกสงสัยในความแปลกประหลาดของงานที่เขาทำกับเพื่อนอีก 2 คน จนกระทั่งการมาของพนักงานใหม่ เฮลลี หญิงสาวที่พยายามต่อต้านการทำงานที่นี่ และตั้งคำถามถึงสิ่งที่บริษัทนี้กำลังทำอยู่ ทำให้มาร์คเริ่มสงสัยและพยายามหาคำตอบนี้ให้ได้เช่นกัน

ซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นยอดความนิยมและคะแนนสูงมากอันดับที่ 2 รองจากเรื่อง Ted Lasso ของแอปเปิลเท่านั้น (เท็ดคะแนน 8.8)

รีวิว Severance

หมายเหตุ: รีวิวนี้จะพยายามหลีกเลี่ยงการเล่าเรื่องแทบทุกอย่าง รวมถึงตัวละครในเรื่องด้วย เพราะในเรื่องนี้แทบจะไม่ให้ผู้ชมรู้ข้อมูลอะไรเลย แต่ต้องค่อยๆ รู้ไปพร้อมกับตัวละคร

ซีรีส์ที่ใช้พล็อตเรื่องแนวไซไฟด้านลบมาขับเคลื่อนเรื่องราวแบบเดียวกับแบล็คมิเรอร์ของ Netflix แต่ในขณะที่แบล็คมิเรอร์เป็นตอนเดียวจบสั้นๆ แต่เรื่องนี้ถูกวางไว้เป็นซีรีส์ขนาดยาวถึง 9 ตอนในซีซั่นแรก และทำต่อในซีซั่น 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยความยาวขนาดนี้ทำให้เรื่องราวถูกขยายขอบเขตออกมาใหญ่มากกว่าการโฟกัสไปที่จุดเดียวแบบที่แบล็คมิเรอร์มักใช้เล่นกับตัวเอกเพียงคนเดียว แต่เรื่องนี้คือทุกตัวละครจะมีส่วนในเรื่องราวด้านลบของเทคโนโลยีไซไฟแยกชีวิตส่วนตัวกับการทำงานที่ถูกเรียกว่า “แยกโลก” ซึ่งในเรื่องคือการผ่าตัดติดชิปแยกโลกเข้าไปในสมอง และไม่สามารถย้อนกระบวนการหรือถอดออกได้ ทำให้คนที่ตัดสินใจแยกโลกคือคนที่มี 2 ตัวตนในร่างเดียว ซึ่งซีรีส์นี้จะนำเสนอทั้ง 2 ร่าง และผลกระทบทั้งสองชีวิต รวมถึงประเด็นต่างๆ ในกรณีที่สมมุติว่าโลกนี้มีเทคโนโลยีนี้อยู่จริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

พล็อตเรื่องอาจจะไม่ได้ดูแปลกประหลาดอะไรมากถ้าใครเคยดูแนวแบล็คมิเรอร์มาก่อนแล้ว แต่สิ่งที่เรื่องนี้ทำให้มันแปลกประหลาดไปกว่าแบล็คมิเรอร์นั่นก็คือ การสร้างโลกของการทำงานที่พิลึกพิสดารขนาดที่คนดูเองก็ต้องงงไปกับการทำงานของตัวละครในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งงานของแผนกที่มาร์คตัวเอกอยู่คือ แผนกคัดกรองข้อมูลมหภาค (ในซับที่แปลจะใช้ตัวย่อเรียกให้งงเข้าไปอีก) ทั้งวันให้นั่งหน้าจอคัดกรองตัวเลขพิเศษออกจากกลุ่มตัวเลขปกติบนหน้าจอ โดยไม่มีข้อมูลอะไรมากกว่านี้ให้พนักงานได้รู้เลย แถมยังต้องอยู่ในห้องโล่งๆ กับเพื่อนร่วมแผนก 4 คน โดยไม่รู้เลยว่ามีใครทำงานอยู่ที่ตึกนี้บ้าง เพราะมีกฎแปลกๆ สารพัดห้ามนั่นนี่ไปหมด นอกจากคนดูแล หัวหน้า การ์ด ที่มาหาติดต่อแผนกของมาร์ค และทั้งบริษัทถูกแยกแผนกออกมาโดดเดี่ยวไม่ให้พบเจอกัน ด้วยทางเดินในตึกที่เหมือนเขาวงกตอีกต่างหาก ซึ่งผู้ชมเองก็จะได้รับรู้ข้อมูลที่ค่อยๆ ถูกปล่อยมาในแต่ละตอน โดยเริ่มจากการที่เฮลลีพนักงานใหม่ตั้งคำถามถึงสิ่งต่างๆ ที่ปรากฎในเรื่องนี้แบบหาเหตุผลอธิบายไม่ได้ว่า ทำไปทำไม มีไว้เพื่ออะไร ข้อห้ามต่างๆ เพื่อป้องกันอะไร ฯลฯ ซึ่งตัวเรื่องก็จะอธิบายแบบ “ตอบเหมือนไม่ตอบ” หรือ “ตอบไม่ตรงคำถาม” และดำเนินไปแบบเชิงจิตวิทยาผสมตลกร้ายเครียดๆ จนแทบจะเป็นซีรีส์ที่หัวจะปวดไปกับชุดข้อมูลที่เรื่องให้มาแบบเดาไม่ได้เลยว่ามันคืออะไรกันแน่ ซึ่งผู้เขียนเองก็ยอมรับเลยว่าในช่วงแรกอย่างน้อยก็ครึ่งเรื่องกว่าๆ การรับชมซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข้างมึนงงสับสน จนอยากจะเทเลิกดูไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด แต่ซีรีส์ก็ได้สร้างโลกและเรื่องราวที่แปลกพิสดารหลอกล่อให้ผู้ชมรู้สึกคาใจ อยากรู้ตอนเฉลยสิ่งต่างๆ ได้เช่นกัน ซึ่งบอกเลยว่านี่เป็นซีรีส์ที่ทั้งสโลวเบิร์นทดสอบความอดทนของคนดูมากๆ แต่ถ้าผ่านไปได้ช่วงท้ายเรื่องราวยิ่งพีคยิ่งสนุกแบบลบความน่าเบื่อช่วงแรกทิ้งไปได้เลย กลายเป็นซีรีส์ที่ดีงามสมกับเรตติ้งคนดูที่โหวตใน IMDB สูงลิ่วถึง 8.7 มาก โดยไม่ได้เป็นแนวโอเวอร์เรตแต่อย่างใด และนี่คือซีรีส์ที่ดีอันดับต้นๆ ของแอปเปิลทีวีด้วยเช่นกัน (คะแนนและความนิยมใน IMDB อยู่อันดับ 2 รองจาก Ted Lasso )

ถึงปริศนาในที่ทำงานของเรื่องนี้จะชวนปวดหัวสุดๆ ก็ตาม แต่เรื่องราวชีวิตส่วนตัวนอกการทำงานจะถูกเล่าออกมาในจุดที่ต่างออกไป มีความเข้าใจที่ง่ายกว่า โดยมาร์คอีกคนที่ไม่รับรู้เรื่องราวในที่ทำงาน เขาเองมีชีวิตอยู่กับพี่เขยกับพี่สาวที่ใกล้คลอดลูกคนแรก มีชีวิตอยู่ในบ้านไปวันๆ แทบไม่ได้ไปไหน ดูเหมือนชีวิตตรงนี้แสนจะเรียบง่ายธรรมดา แต่ในจุดนี้เองที่ปมการแยกโลกทำให้คนดูได้เห็นว่าชีวิตแบบที่ตัดขาดการเชื่อมต่อไม่ต้องรับรู้เรื่องงานอะไรของมาร์คก็มีผลกับการใช้ชีวิตปกติของเขาเช่นกัน อย่างสังคมกำลังต่อต้านการแยกโลกว่าเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ตัวเขาเองกลับต้องการมันเพื่อเยียวยาจิตใจจากการสูญเสียภรรยาไปในอุบัติเหตุ แต่พอไร้ซึ่งความจำเรื่องงานกลับทำให้เขาสูญเสียความสัมพันธ์แบบปกติกับคนทั่วไปด้วยเช่นกัน กลายเป็นคนแปลกแยกในสังคมโลก ซึ่งตัวเรื่องได้ชวนคิดตั้งคำถามถึงแนวคิดแยกเรื่องการทำงานกับชีวิตส่วนตัวออกจากกันอย่างสิ้นเชิงมันคือสิ่งที่โอเคแล้วจริงๆ หรือ ในที่ทำงานเราไม่ต้องสนใจเรื่องส่วนตัวของใคร ไม่มีการเล่าถึงรับรู้ชีวิตของเพื่อนร่วมงานเลย และในชีวิตปกติก็ไม่มีการเอ่ยถึงงานที่ทำตามไปด้วย นั่นทำให้ชีวิตคนๆ นั้นจะยังมีปรกติสุขได้อยู่หรือไม่ ถึงแม้เรื่องจะนำเสนอออกมาแบบสุดโต่งสุดๆ แต่ก็ชวนให้คนดูรู้สึกขบคิดจริงจังได้เช่นกัน

นอกจากนี้แล้วตัวเรื่องยังใช้ตัวละครที่น้อยมากในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ได้มากมายหลายด้าน รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวให้ก่อร่างสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ จากจุดที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันมาก มาจนถึงความรู้สึกผูกพันที่เกิดต่อกันในระหว่างค้นหาความจริงของเรื่องราว  ซึ่งคนดูเองที่ได้เห็นทั้งสองโลกต่างจากตัวละครก็จะรู้สึกเห็นใจไปกับชีวิตด้านลบของตัวละครในเรื่อง นี่คือซีรีส์ที่มินิมอลไปทุกด้าน เล่นน้อย ตัวละครน้อย ฉากน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความรู้สึกอิมแพ็คมากๆ ในตอนจบ

 

สรุป  Severance สนุกและดีไหม

ซีรีส์ที่ชวนปวดหัวระหว่างดูสุดๆ แต่ก็กระตุ้นความรู้ของผู้ชมไปได้เรื่อยๆ อาจจะไม่สนุกซะทีเดียว แต่ก็เป็นซีรีส์ที่เมื่อดูจบแล้วต้องยอมรับเลยว่านี่คือซีรีส์ที่ดีมากคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปจริงๆ

 

 

ติดตามอ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์ใน Apple TV+ คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!