playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Dropout (Disney+) เรื่องจริงกลโกงลวงโลกสตาร์ทอัพตรวจเลือดที่ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์

สรุป

ซีรีส์สร้างจากเรื่องจริงของ เอลิซาเบธ โฮล์ม เจ้าของสตาร์ทอัพตรวจเลือดลวงโลกกว่า 10 ปี เรื่องราวเล่าตั้งแต่จุดเริ่มสมัยวัยรุ่นมหาลัยมีไฟมีฝันตั้งใจจริง จนมาถึงจุดเปลี่ยนเป็นการทำธุรกิจกลวงๆ ลวงโลกที่ซีรีส์แฉให้เห็นขั้นตอนละเอียดยิบเน้นๆ มากเกือบทั้งเรื่อง จนอาจจะดูเบื่อๆ ไปบ้างกับการโกงซ้ำๆ แค่ต่อยอดให้ใหญ่โตขึ้น แต่ตัวเรื่องก็ยังมีส่วนดราม่าชีวิตรักลับๆ ของเธอ กับเรื่องราวของศัตรูที่ตามจองเวรเธอมานานจนในที่สุดก็เปิดโปงเธอได้สำเร็จมาทำให้เรื่องดูน่าตื่นเต้นสนุกมากขึ้น

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • เล่าเรื่องราวกลโกงของเธราโนสละเอียดยิบ
  • นางเอก Amanda Seyfried ทั้งหน้าตากับการแสดงเหมือนตัวจริงมาก
  • มีส่วนแต่งเติมเรื่องราวให้ดูเป็นสตอรี่มากขึ้น
  • ตีแผ่ชีวิตรักลับๆ ของ เอลิซาเบธ โฮล์ม (มีแต่งเติมเพิ่มด้วย)

Cons

  • เน้นเล่ากลโกงซ้ำๆ ของเธราโนสทุกตอนจนเหมือนเรื่องไม่มีอะไรใหม่มาก
  • ตอนจบรวบรัดจบ เพราะคดีจริงก็ยังไม่ตัดสิน

The Dropout ดรอปเรียน เซียนเลือด ซีรีส์ Disney+ ซีรีส์ 8 ตอนจบสร้างจากเรื่องจริงของ เอลิซาเบธ โฮล์ม เจ้าของสตาร์ทอัพตรวจผลเลือดลวงโลกกว่า 10 ปี ของบริษัทเธราโนส ที่กลายเป็นกลลวงต้มตุ๋นครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์

 The Dropout (2022) on IMDb

ตัวอย่าง The Dropout ดรอปเรียน เซียนเลือด

สำหรับคดีนี้เรียกว่าเป็นคดีแรกๆ ของวงการสตาร์ทอัพเลยก็ได้ที่หลอกลวงจนสำเร็จมานานกว่า 10 ปีในช่วงที่คำว่าสตาร์ทอัพเริ่มบูมขึ้นมาใหม่ๆ หลังปี ค.ศ. 2000 ซึ่งคดีจริงพึ่งมาฟ้องร้องเรื่องฉ้อโกงนักลงทุนกันในช่วงปี 2018 และคดียังลากยาวมาถึงตอนนี้ยังไม่จบ แต่ซีรีส์เรื่องนี้ก็สร้างเรื่องราวลำดับความเป็นมาของ เอลิซาเบธ โฮล์ม กับการก่อตั้งบริษัท เธราโนส ที่ระดมทุนจนธุรกิจมีมูลค่าสูงถึง 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการจัดอันดับของฟอบส์แต่กลายเป็นเรื่องลวงโลกในเวลาต่อมา

เอลิซาเบธ โฮล์ม ตัวจริง
เอลิซาเบธ โฮล์ม ตัวจริง

ตัวซีรีส์ไม่ได้คล้ายสารคดีแบบที่ HBO ทำเรื่องคดีนี้เช่น แต่เล่าเรื่องออกมาแนวภาพยนตร์เรื่องราวไล่ตั้งแต่ตอนเด็กว่าเธอเป็นคนยังไง แล้วในตอนเด็กคือมีปมอะไรเกี่ยวกับเลือด ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เข้าใจว่าน่าจะแต่งเติมขึ้นมา หรืออาจจะมาจากบทสัมภาษณ์ของเธอ แต่คือเราต้องเข้าใจก่อนว่านี่เป็นซีรีส์ที่สร้างจากหนังสือของ จอห์น แคร์รีรู ผู้สื่อข่าวจากเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ที่เป็นผู้เปิดโปงเรื่องราวนี้ขึ้นมา ซึ่งตัวเอลิซาเบธไม่เคยให้ความร่วมมือใดๆ กับเขา ดังนั้นพวกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ส่วนตัวเธอมากๆ น่าจะเป็นการแต่งเติมเรื่องราวให้มีสีสันขึ้นมามากกว่า

แต่โครงเรื่องหลักของซีรีส์คือเรื่องจริงที่มีเส้นทางการดำเนินงานของเธอตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทำงานร่วมกับอาจารย์ เสนอไอเดียเด็ดๆ อันนี้ขึ้นมาแล้วก็ลาออกมาทำตามฝันเหมือนสตีฟจ๊อบส์ ซึ่งเป็นไอดอลหลักของเธอเลย ซึ่งตรงจุดนี้จะมีส่วนที่ลับหน่อยตรงที่ว่าที่มหาวิทยาลัยเธอได้รับบาดแผลทางจิตใจจากการล่วงละเมิดทางเพศ จนทำให้กลายมาเป็นคนเก็บตัว ตรงนี้เหมือนเป็นการปูพื้นบุคลิกภาพในช่วงแรกของการทำธุรกิจให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้ว เอลิซาเบธ ก็เป็นเหยื่อในความอยุติธรรมของสังคมชายเป็นใหญ่มาก่อน จนเป็นปมที่เธอพยายามก้าวขึ้นมาเอาชนะผู้ชายให้ได้ แม้ว่าจะต้องทำเรื่องลวงโลกแค่ไหนก็ตาม ทั้งๆ ที่ช่วงเริ่มต้นของธุรกิจเธอเต็มไปด้วยฝันแรงบันดาลใจดีๆ ล้วนๆ

เนื้อเรื่องของซีรีส์จะเล่าเรื่องช่วงธุรกิจเป็นช่วงละ 1 ตอนแบบละเอียดมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นจังหวะการระดมทุนลวงโลกใหญ่ๆ ว่าเธอทำยังไงถึงทำให้นักลงทุนเชื่อจนไต่เต้าขึ้นมาหลอกใหญ่โตขึ้นได้เรื่อยๆ โดยแทบจะไม่ตัดกลับไปถึงเรื่องคดีในปัจจุบันที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่แรกสั้นๆ ในศาล ซึ่งคงมาจากการที่คดียังไม่ถูกตัดสินออกมาเรียบร้อย ทำให้ซีรีส์เลือกที่จะข้ามๆ ไม่เล่าอะไรในปัจจุบันทั้งนั้น ตัวเรื่องจึงย้อนดีตไล่มาเรื่อยๆ ซึ่งเป็นรายละเอียดข้อเท็จจริงของเรื่องราวลวงโลกของเธอแบบที่น่าสนใจมาก แต่อาจจะยาวเกินไปในโทนเดียวกันทั้งเรื่องมากไปหน่อย ซึ่งแรกๆ ช่วงเริ่มต้นของการโกหกจะดูสนุก มีความลุ้นว่าเธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงในสถานการณ์ที่ต้องการเงินมาระดมทุนสร้างเครื่องตรวจเลือดพกพาจริงๆ แต่พอเริ่มหลอกลวงมากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำๆ แล้วตัวเรื่องหลุดจากการทำนวัตกรรมให้เป็นจริง กลายเป็นแนวหลอกลวงล้วนๆ ซ้ำๆ เพื่อหาเงินเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ ในแต่ละตอนที่ผ่านไปเรื่องเริ่มดูซ้ำจำเจน่าเบื่อขึ้นมาเหมือนกัน และตอนจบสุดท้ายของเรื่องราวก็รวบรัดตัดจบแบบไม่ค่อยมีดีเทลอะไรให้เราเห็นเลยเมื่อเทียบกับรายละเอียดที่ผ่านมา ซึ่งคงเพราะตัวนักเขียนไม่มีข้อมูลในส่วนนี้มาใช้ได้อีกแล้วนั่นเอง

ตัวเรื่องนอกจากการทำธุรกิจลวงโลกแล้ว ยังใส่เรื่องราวชีวิตรักลับๆ ของเธอกับหนุ่มใหญ่ชาวปากีสถานที่มาเป็น CEO เธราโนสเข้ามาด้วย ซึ่งเรื่องราวส่วนนี้ค่อนข้างละเอียดเว่อร์จนเหมือนเรื่องแต่งเติมขึ้นมา เพราะในเรื่องจริงตัวเธอค่อนข้างปิดบังความลับนี้มานานเพื่อไม่ให้กระทบกับภาพลักษณ์ของบริษัท รวมถึงผู้ถือหุ้นด้วย เพราะถ้าใครรู้ว่าทั้งคู่เป็นคู่รักกันก็ต้องกลายเป็นข่าวฉาวทำให้ธุรกิจลวงโลกที่ดำเนินอยู่ต้องมีปัญหา แต่เนื้อเรื่องส่วนนี้ก็ช่วยเติมเต็มให้เราเห็นความจริงที่ว่าเธอไม่ได้เป็นคนคิดแผนธุรกิจลวงโลกนี้คนเดียว แต่มีคนรักของเธอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว

นอกจากนี้ตัวเรื่องยังเล่าถึงศัตรูคนแรกของเธอ  Richard Fuisz ที่เป็นชายแก่ใกล้บ้านที่กลายมาเป็นจองเวรล้างผลาญเปิดโปงเธอ เป็นต้นเรื่องของข่าวเปิดโปงที่ส่งให้เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล และร่วมกันสืบสวนพร้อมกับตามหาพยานที่เป็นเหยื่อจากการกระทำผิดเพื่อปิดปากของเธราโนส ซึ่งเบื้องลึกตรงนี้เป็นเรื่องเล่าจริงที่มีการอ้างอิงตัวตนครบถ้วนว่าเป็นใครบ้าง ทำให้เห็นความร้ายกาจของเธราโนสว่าไม่ใช่แค่ลวงผลตรวจเลือด แต่เป็นการใช้นักกฎหมายมือหนึ่งไล่บี้จนพยานเหล่านั้นหมดทางสู้ บางคนถึงกับฆ่าตัวตายเลยก็มี ซึ่งเรื่องราวช่วงเหล่านี้เป็นส่วนที่สนุกที่สุดของเรื่องแล้ว เหมือนหนูสู้กับราชสีห์ เพราะการจะล้มเธราโนสที่ใหญ่ขึ้นจนถึงขนาดประธานาธิบดีโอบามายังยกตำแหน่งสำคัญให้เธอ มีที่ปรึกษาประธาธิบดีคนสำคัญมาเป็นบอร์ดบริหาร มีผู้ถือหุ้นจากจากวงการสื่อใหญ่ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก มาร่วมลงทุนด้วย นั่นคือเธอมีอิทธิพลทั้งอำนาจเงิน กฎหมาย การเมือง สื่อ อยู่ในมือถึงขั้นเกือบสูงสุดแล้ว แต่แล้วก็ยังพลาดมีช่องโหว่จนเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล เจาะเข้าไปได้ (แต่ก็ยังล้มไม่ได้ทันที จนมีหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจสอบถึงปิดบริษัทลงได้ในภายหลัง)

ตัวนักแสดง Amanda Seyfried นับว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากในการรับบทบาทนี้ทั้งหน้าตา ดวงตาที่ใหญ่ และทำเหมือนจะถนนออกมาตลอดเวลา ของเธอคือตรงกับตัวจริงของ เอลิซาเบธ โฮล์ม ที่พรีเซนต์ออกมาให้คนนอกได้เห็นเป๊ะๆ ซึ่งเธอก็ต้องเล่นตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นอายุไม่ถึง 18 จนผ่านมาถึงช่วงอายุ 30 กว่าได้อย่างเนียนๆ แล้วเราก็ได้เห็นพัฒนาการของการแสดงออกตัวละครชัด จากคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในเรื่องการบริหารธุรกิจ มีแต่ไอเดียกับฝัน ต้องฝึกตัวเองจนกลายมาเป็นลุคนักธุรกิจหญิงที่ถอดแบบสตีฟจ๊อบส์มาเลยทั้งเสื้อผ้าการแต่งกาย การพรีเซนต์งานต่างๆ ซึ่งนี่คือจุดสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหลงเชื่อแทบจะหมดทั้งวงการเลยทีเดียว

สรุป The Dropout สนุกและดีไหม

เป็นซีรีส์ที่ดูเพลินๆ พอได้ แต่ไม่ถึงกับสนุกมากเพราะเรื่องต้องอิงเรื่องจริงอยู่ตลอดเวลา แต่ในแง่ของสาระจากคดีลวงโลกนี้ถือว่าทำได้เยี่ยมเลย เพราะช่วยทำให้เราได้เห็นเส้นทางการหลอกลวงตั้งแต่ต้นจนจบให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!