playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Guilty (Netflix) งานโซโล่เดี่ยวที่ทรงพลังของ เจค จิลเลนฮอล (ไม่มีสปอยล์)

The Guilty

สรุป

หนังทุนต่ำแนวเล่นคนเดียวของ เจค จิลเลนฮอล ที่ได้บทสนทนาชั้นดีร่วมกับการแสดงแบบอินหมดใจของเขา จนทำให้กลายเป็นหนังที่ทรงพลังกระทบจิตใจผู้ชมได้ไม่มากก็น้อยกับเรื่องราวโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นแบบเป็นเคสจริงได้ผ่านการรับสายด่วน 911  แต่ถ้าผู้ชมคาดหวังหนังที่บทเว่อร์ มีความเร้าใจแบบเกินจริงคงไม่ถูกจริตกับแนวหนังแบบนี้ครับ ควรเข้าใจก่อนรับชม

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
4 (3 votes)

Pros

  • การแสดงของ เจค จิลเลนฮอล แบบเล่นคนเดียวที่เข้าถึงบทบาทแบบอินสุดๆ
  • เรื่องราวสายด่วน 911 แบบเป็นเคสจริงตามปกติได้ แต่ถูกเล่าผ่านบทสนทนาที่สนุกน่าติดตาม
  • ให้เห็นเบื้องหลังงานโอเปอเรเตอร์ 911 อย่างละเอียด
  • มีเสียงพากย์ไทยที่ดีเลย

Cons

  • เป็นงานรีเมคจากต้นฉบับไม่ได้สดใหม่ และอาจจะมีข้อเปรียบเทียบกันได้

The Guilty หนัง Original Netflix รีเมคจากต้นฉบับเดนมาร์กปี 2018 ในชื่อ Den Skyldige (ชื่อสากลชื่อเดียวกัน) แนวดราม่าทริลเลอร์เรื่องราวของเจ้าหน้าที่รับสาย 911 ที่มีความพิเศษตรงหนังเล่นกับจุดนี้ยาวคนเดียวจนจบเรื่อง โดยได้เจค จิลเลนฮอล มารับบทหลัก และยังเป็นโปรดิวเซอร์ของเรื่องนี้ด้วย ร่วมกับผู้กำกับ Antoine Fuqua จาก The Equalizer อีกด้วย (มีอีธาน ฮอว์ก ด้วยแต่ให้เสียงแค่นั้น)

 The Guilty (2021) on IMDb

ตัวอย่าง The Guilty

ด้วยความที่ต้นฉบับเรื่องกวาดรางวัลกับคำวิจารณ์ยอดเยี่ยมไปมากมายทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชม (คะแนนจากเว็บมะเขือ 98%) จากความพิเศษของเรื่องที่ตัวเอกเป็นโอเปอเรเตอร์รับสาย 911 ใช้บทสนทนาโต้ตอบกับสายที่โทรมาเป็นตัวผลักดันเนื้อเรื่องอย่างเดียวไปจนจบ โดยไม่มีฉากนอกสถานที่มาเกี่ยวข้องเลย ซึ่งถือว่าแปลกใหม่มากจนทำให้นักแสดงยอดฝีมืออย่าง เจค จิลเลนฮอล ซื้อมารีเมคใหม่และรับบทนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นอะไรที่เหมาะเจาะลงตัวมาก

Den Skyldige
Den Skyldige หรือ The Guilty ต้นฉบับปี 2018

เนื้อเรื่องเริ่มจาก โจ เบย์เลอร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกโอนย้ายมาทำงานรับสาย 911  ได้รับสายจากหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง จากการถูกลักพาตัวโดยอดีตสามี เขาพยายามช่วยเธอผ่านการสืบเบาะเท่าที่มีจากการสนทนา โดยที่ไม่คาดคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่กับชีวิตของเขาด้วย

หนังแนวใช้ตัวแสดงน้อยหรือเล่นคนเดียวในที่จำกัดจนจบเรื่องอาจจะไม่ได้แปลกใหม่อะไรมาก ในเน็ตฟลิกซ์เองก็มีมาแล้วหลายเรื่องอย่าง ออกซิเจน (Oxygen) ของผู้กำกับ อเล็กซานเดอ อาจา (อ่านรีวิวได้ที่นี่)
American Son หนังจากละครบอร์ดเวย์ดังที่เน็ตฟลิกซ์ถอดจากละครเวทีมาลงโรงตรงๆ ทั้งเรื่องมีฉากเดียวกับคน 4 คน (อ่านรีวิวได้ที่นี่) ซึ่งการเล่นกับตัวละครในที่จำกัดก็เป็นข้อจำกัดของหนังแนวนี้ที่ต้องพยายามสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมาเป็นตัวแปรแทรกให้ตัวละครเจอฉากเหตุการณ์เร้าๆ เพื่อดึงดูดผู้ชมให้รู้สึกมีอะไรมากกว่าแค่นั่งดูตัวละครพูดไปเรื่อยๆ แต่กับเรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างออกไปเมื่อทุกอย่างเป็นแค่เสียงเรื่องเล่าล้วนๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง และเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ดูเว่อร์เกินจริง เรียกว่าเป็นเคสรับสาย 911 ที่น่าจะเกิดขึ้นได้ตามปกติ ตัวละครสนทนากันไปเรื่อยๆ ก่อนค่อยๆ คลี่ปมเรื่องราวที่แท้จริงมาทีละนิด บทสนทนาในเรื่องถูกเขียนมาดี ดูสนุกได้ไม่ใช่หนังที่เน้นพูดๆๆ จนน่าเบื่อ อาจจะมีการบิ้วให้เรื่องราวมีหักมุมนิดๆ อยู่ บ้าง แต่ก็ไม่ใช่สารหรือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้

สิ่งที่ดีงามของเรื่องจริงๆ คือการแสดงอันทรงพลังของ เจค จิลเลนฮอล กับบทเจ้าหน้าที่ 911 เฉพาะกิจ ซึ่งหนังเผยให้เห็นเบื้องหลังงานนี้แบบละเอียดกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่หนักมากกับการรับสายทั้งป่วนทั้งด่วนจริง ทั้งยังต้องใช้จิตวิทยาพูดคุย วาทะศิลป์แบบนักเจรจาเกลี้ยกล่อม เซนส์ส่วนตัวประเมิณความร้ายแรงของสายที่โทรเข้ามา เพราะนี่คือการรับผิดชอบชี้เป็นชี้ตายชีวิตคนในห้วงเวลานั้นได้เลย แต่ที่กล่าวมากลับไม่ได้อยู่ในตัวบท โจ เบย์เลอร์ ที่เจคเล่นเลย ตัวหนังเปิดเรื่องมาก็ทำให้เราเห็นความไม่พร้อมทั้งในแง่ทัศคติกับความเป็นมืออาชีพในงานที่ทำ โจรังเกียจงานนี้ออกแนวเบื่อทนอยากหลุดพ้นออกไปเร็วๆ จนพาลถึงเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาถามไถ่ดีๆ ก็ถูกตะคอกกลับไป เขามีความเครียดส่วนตัวจากเรื่องบางอย่างที่ตัวเรื่องเผยให้เห็นในช่วงแรกกับสายจากนักข่าวโทรมาหาแต่เขาไม่ยอมรับและคุยด้วย ก่อนที่หนังจะเปิดปมชีวิตของเขาว่า โจแยกกันอยู่กับภรรยามา 6 เดือน มีลูกสาวตัวน้อยที่เขาคิดถึงมาก ตัวเรื่องเล่าผ่านการแอบโทรหาภรรยาระหว่างทำงาน จนกลายเป็นการทะเลาะกับภรรยาในเวลาต่อมา เป็นการเผยให้เห็นว่าตัวละครนี้สั่งสมความเครียดมานานแล้วจนใกล้แบกรับไม่ไหวแล้ว แต่เขากลับต้องมาทำงานรับสายที่ปลายทางหวังว่าจะให้ช่วย เป็นอะไรที่ค่อนข้างย้อนแย้งกันมากพอสมควร และตัวเรื่องก็ใช้จุดนี้แหละผ่านการแสดงของเจคที่ทั้งเรื่องเต็มไปด้วยความเครียดจนระบาย+ระเบิดอารมณ์ใส่เจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นที่เขาติดต่อด้วยให้ช่วยแต่ไม่ทันใจ ซึ่งผู้ชมก็ต้องรู้สึกว่าหมอนี่ไม่ใช่ตัวเอกดีๆ เท่าที่ควร

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเขาเป็นตัวเอกที่ยังมีดีอยู่คือการพยายามช่วยเคสนี้อย่างเต็มกำลัง ในขณะที่เคสก่อนตอนเปิดเรื่องสั้นๆ แสดงให้เห็นว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ซึ่งเรื่องนำเสนอความบ้าของโจแบบทะลุเพดานเกินหน้าที่โอเปอเรเตอร์อย่างมีปมสำคัญ โยงถึงตัวลูกสาวกับภรรยาที่เขาต้องแยกทางกันมาเป็นแรงผลักดันให้เขาให้ความสำคัญกับเคสนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ขนาดยอมทำงานเกินเวลา อินถึงขั้นเครียดร้องไห้ตามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเจคแสดงได้สุดยอดมาก สมบทบาทจนน่าทึ่ง โดยกล้องก็เน้นโคลสอัพให้เห็นสีหน้าอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาตลอดเวลา ทำให้เรื่องราวรับสาย 911 แม้บทจะถูกเขียนมาดีมีความสนุกอยู่แล้วในระดับที่ต้องชม แต่ถ้าไม่ได้การแสดงของเจคเรื่องราวก็คงไม่ถูกยกระดับดีขึ้นได้ขนาดนี้แน่ๆ โดยเฉพาะฉากระเบิดอารมณ์สุดท้ายที่พรั่งพรูความในใจทุกอย่างของเขาออกมากับสายที่คุย เป็นอะไรที่สุดยอดมากจริงๆ แล้วก็ต่อด้วยการเฉลยเรื่องราวทั้งหมดที่เปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของเขาไปอย่างสิ้นเชิง การแสดงของเจคทำให้เราอินเชื่อตามได้จริงๆ ว่าคนๆ นี้ยอมพังทลายตัวตนที่ผ่านมาในแง่ไม่ดีไปจนหมดสิ้น เป็นการไถ่บาปครั้งใหญ่ปิดท้ายเรื่องที่อิงไปถึงเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นกับตำรวจทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งเป็นแมสเซจหัวใจสำคัญที่สุดของเรื่องนี้เลย

นี่คือหนังที่ไม่ใช่แค่เรื่องราวดีมากเพียงอย่างเดียว แต่หนังทำได้อย่างทรงพลังผ่านการแสดงของ เจค จิลเลนฮอล ที่เชื่อว่าเขาก็คงอินกับบทนี้จริงๆ ไปด้วย จนแอบคิดว่าถ้าไทยซื้อมารีเมคทำก็ยังได้เพราะงบน้อยมาก แต่ที่ต้องคิดคือใครกันที่จะมาแน่ที่จะมารับบทแบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้แบบนี้ ส่วนตัวก็คิดถึง น้อย วงพลู คนเดียวเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นตัวอย่างงานสร้างหนังลง Netflix แบบงบน้อยสุดๆ พึ่งบทกับการแสดงเป็นหลัก จนกลายเป็นผลงานสุดยอดเรื่องหนึ่งของ Netflix เลย แม้จะถูกมองว่ารีเมคมาอีกทีก็ตามทีครับ

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!