playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Last Days of American Crime ฟรีซร่างหยุดสมอง ป้องกันอาชญากรรม เมื่ออเมริกาเข้าสู่ยุคเถื่อน

The Last Days of American Crime

สรุป

ตัวเรื่องมีความน่าสนใจหลายอย่างที่ตั้งต้นมาดี แต่กลับทำได้ไม่ถึงเอง หนังได้แอ็กชั่นดิบๆ โหดๆ ผูกเรื่องเข้ากับแนวไซไฟนิดๆ มีฉาก SEX เปลือยเยอะ แต่นางเอกไร้เสน่ห์ ฉากแอ็กชั่นขาดความสมเหตุผลหลายจุดแบบงงๆ ตัวหนังยืดยาวเกินความจำเป็นเมื่อเทียบกับเนื้อหาและไฮไลท์ที่คนต้องการดูฉากปล้นที่เอาไว้ท้ายสุดเกือบจบเรื่องแล้ว แต่ถ้าใครชอบหนังแอ็กชั่นติดเรต 18+ ดิบๆ ก็คงดูได้อยู่ แค่จะเบื่อๆ ชั่วโมงแรกของเรื่องเท่านั้นครับ

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
5 (2 votes)

Pros

  • พล็อตเครื่องส่งสัญญาณหยุดอาชญากรรมที่นำมาใช้เป็นปมสำคัญในเรื่องทำได้ดี
  • ฉากแอ็กชั่นโหดดิบติดเรต 18+
  • พระเอกแบบแอนตี้ฮีโร่
  • จำลองอเมริกายุคบ้านป่าเมืองเถื่อน
  • มีเสียงพากย์ไทยในระบบ

 

Cons

  • ชั่วโมงแรกของเรื่องเสียเวลาไปมากกับการเล่าอะไรเยอะแยะ แต่กลับไม่ใช่ส่วนสำคัญให้น่าติดตาม
  • แผนการปล้นง่ายๆ ไม่ได้มีลุ้นอะไร แล้วก็ไม่มีฉากวางแผนอะไรเลย
  • นางเอกที่ไร้เสน่ห์สุดๆ ทั้งๆ ที่บทวางไว้ให้เป็นสาวที่ผู้ชายใครเห็นก็ต้องหลง
  • ฉากแอ็กชั่นที่ขาดความสมเหตุผลหลายครั้ง
  • ความรักในเรื่องไม่ทำให้อินได้เลย

ปล้นสั่งลา (The Last Days of American Crime) รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมรับมือกับการก่อการร้ายและอาชญากรรมขั้นสุดท้ายโดยการปล่อยสัญญาณที่ป้องกันไม่ให้คนจงใจกระทำการผิดกฎหมายได้สำเร็จ แกรห์ม บริก (เอ็ดการ์ รามิเรซ) อาชญากรชื่อดังร่วมมือกับเควิน แคช (ไมเคิล พิทท์) ลูกหลานมาเฟียชื่อดัง และเชลบี้ ดูพรี (แอนนา บริวสเตอร์) แฮ็กเกอร์ใต้ดินก่อการปล้นครั้งสำคัญแห่งศตวรรษและอาชญากรรมครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์อเมริกาก่อนสัญญาณนี้จะดับลง

 The Last Days of American Crime (2020) on IMDb

ตัวอย่าง ปล้นสั่งลา (The Last Days of American Crime)

บทความไม่มีเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง

ภาพยนตร์ของ Netflix สร้างจากนิยายภาพของ Radical Publishing จากฝีมือริค เรเมนเดอร์และเกร็ก ทอคชินี กำกับโดย Olivier Megaton ที่ชื่อถูกนำมาเป็นจุดขายว่าจากผู้กำกับ Taken แต่ที่จริงคือเป็นภาค 2-3 ไม่ใช่ภาคแรกที่ขึ้นหิ้ง และก็เว้นห่างจาก Taken 3 มา 6 ปีก็มากำกับเรื่องนี้เลย ซึ่งก็ต้องบอกตรงๆ ผู้กำกับมือไม่ถึงกับหนังแอ็กชั่นสักเท่าไหร่ แม้พล็อตเรื่องจะดูน่าตื่นตาตื่นใจกับโลกสมมุติของอเมริกาที่กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเต็มไปด้วยอาชญากร ที่แอบเหมือนกับสถานการณ์จริงตอนนี้อยู่บ้าง และก็ออกแนวไซไฟนิดๆ ว่ารัฐบาลมีโครงการลับส่งคลื่นสัญญาณตรงเข้าสมอง หยุดยั้งการก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบโดยตรง แต่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนั้นก็เป็นช่องว่างให้โจรได้วางแผนลงมือปล้นโรงกษาปณ์ โกยเงินครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ

คือถ้าอ่านพล็อตกับดูตัวอย่างนี่ต้องบอกเลยว่าแอบว้าว เพราะเป็นส่วนผสมที่น่าสนใจมากของแนวอาชญากรรมกึ่งไซไฟดิบเถื่อน มีบางส่วนดูคล้าย The purge ภาพยนตร์ชุดคล้ายๆ กันว่าด้วยกฎหมายลดทอนอาชญากรรมของอเมริกา ด้วยการให้คนปลดปล่อยฆ่ากันในคืนเดียว และด้วยความทำมาจากนิยายภาพชื่อดังมาก่อนแล้วยิ่งการันตีได้ว่าไม่น่าพลาด แต่กลายเป็นว่าตัวเรื่องจริงกลับทำได้ไม่ถึง แม้พล็อตจะดูดุดันแบบเหลืออีกแค่ไม่กี่วันก็จะเป็นเส้นตายอาชญากรรมทั่วอเมริกาแล้ว แต่เรื่องกลับโหมโรงแบบอ้อยอิ่งลากยาว ตั้งแต่แนะนำตัวละครหลักทั้ง 3 คน รวมถึงตัวละครสมทบอื่นอีกหลายตัวในตอนแรก หนังใช้เวลาวนไปมากับส่วนเกินจากพล็อตเรื่องหลักที่คนคาดหวังว่าหนังจะบู๊มันส์แน่ๆ ไปมากมายถึง 1 ชั่วโมงเต็ม จากเวลารวม 2 ชั่วโมง 28 นาที ซึ่งตัวเนื้อหาช่วงนี้เอาจริงๆ ตัดสั้นกว่านี้สักครึ่งชั่วโมงก็ยังได้ เพราะไม่ได้สำคัญอะไรมาก ไม่ได้มีช่วงวางแผนให้น่าสนใจ เรียกว่าเปิดมามีแผนปล้นแบบง่ายๆ กางรอไว้แล้ว แค่พระเอกจะทำไม่ทำแค่นั้น

หลังพ้นชั่วโมงแรกตัวเรื่องถึงค่อยเข้าสู่ช่วงแอ็กชั่นของสองตัวละครนำ บริกกับแคช ตะลุยเมืองหาของมาช่วยในแผนปล้น จนไปถึงช่วงปล้นไฮไลท์สุดท้ายของเรื่อง ซึ่งก็ดุเดือด มีความโหดรุนแรงสะใจคอหนังแนวนี้ได้อยู่ แต่กลับมีความไม่สมเหตุผลประหลาดๆ ปนอยู่แทบทุกฉาก อย่างโดนยิงเข้าท้องเต็มๆ แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็เดินปร๋อเหมือนคนปกติหน้าตาเฉย หรือฉากตัวร้ายจับพระเอกได้ แล้วราดน้ำมันรอบๆ ตัวจุดไฟเผากะฆ่าเต็มที่ แต่กลับไม่ราดน้ำมันที่ตัว พระเอกเลยจนหนีออกมาได้ พระเอกขับรถแหกด่านตำรวจที่รุมยิงถล่ม แต่กระจกรถไม่แตกสักบาน แถมยังพ้นด่านไปก็ไม่ขับรถไล่ตามมาเลยสักคัน เหมือนแค่ตั้งใจจะโชว์แอ็กชั่นตัดเป็นฉากๆ โดยไม่มีความต่อเนื่องของซีนให้สมเหตุผล ซึ่งแอ็กชั่นไม่สมเหตุผลพวกนี้มีไปจนจบเรื่อง จนดูแล้วไม่อินไม่ลุ้นไปกับเรื่อง ออกแนวแอ็กชั่นแห้งๆ ดูให้จบเรื่องไปเท่านั้น

แต่ยังดีที่ตัวเรื่องเครื่องส่งสัญญาณหยุดอาชญากรรมที่เป็นจุดขายของเรื่องถูกใส่เข้ามารองรับเนื้อเรื่องได้ดีอยู่ ตัวเรื่องใช้จุดนี้ให้เป็นปมสำคัญท้ายเรื่องได้ดีพอสมควร โดยให้ฝ่ายตำรวจมีตัวบล็อคสัญญาณนี้ฝังไว้ในหัวทำให้ใช้ปืนกับความรุนแรงได้  ในขณะที่คนทั่วไปไม่สามารถขยับตัวได้เลยถ้ามีความคิดก่ออาชญากรรม ซึ่งก็เหมือนถูกมัดร่างกายไว้ให้เป็นเป้านิ่ง แต่ก็มีทางแก้สัญญาณนี้บอกใบ้ไว้แล้วตั้งแต่ช่วงแรกของเรื่อง และถูกหยิบมาใช้ในตอนจบ รวมถึงชี้ให้เห็นด้วยว่าถึงแม้มีระบบที่แม้แนวคิดจะดีแค่ไหน แต่ถ้าถูกคนนำไปใช้ในทางที่ผิดก็กลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้เช่นกัน (แบบเรื่อง Minority Report ที่หยุดอาชญากรรมได้ตั้งแต่เริ่มคิด แต่ก็กลายเป็นเครื่องมือเลวร้ายไปจนได้)

ตัวเรื่องพยายามอย่างมากที่จะดันบทนางเอกให้เป็นตัวหลักปมความสัมพันธ์ชู้สาวในทีม พร้อมกับความลับส่วนตัวของเธอ ซึ่งก็ตั้งใจขายฉาก SEX เข้ามาอยู่บ่อยครั้ง อาจจะเพราะต้นฉบับก็พยายามขายจุดนี้สังเกตุได้จากหน้าปกทุกเล่มต้องมาแนวโป๊เปลือย เรื่องเปิดมาบรรยายแบบว่าเธอมีเสน่ห์มากจนผู้ชายต้องแย่งกัน แต่คือต้องบอกตรงๆ ว่าดูจนจบเรื่องก็ไม่รู้สึกถึงเสน่ห์ที่ว่านี้เลยสักนิด แม้บทของเธอจะเป็นแก่นของเรื่องนี้ที่ทำให้พระเอกยอมช่วยทุกอย่างแบบทุ่มเทชีวิตให้เลย แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกอินกับจุดนี้ได้เลย แถมตัวเธอเองที่ดูตอนแรกเหมือนสาวแฮ็กเกอร์อัจฉริยะ พอเฉลยปมความลับออกมาก็กลับมาเป็นตัวละครง่อยๆ ที่ไร้ทางออกในชีวิตไปซะได้ กลายเป็นบุคลิกการกระทำดูขัดแย้งกันไปหมด แม้แต่ความรักกับพระเอกก็ไม่รู้ไปอินกันตอนไหนถึงขนาดทั้งคู่ยอมตายแทนกันได้เลย

พระเอกของเรื่องนี้ไม่ได้ดังมาก Edgar Ramírez เป็นดาราเบอร์รองหน่อย แต่รูปร่างหน้าตาดูดิบเถื่อนเข้ากับบทพระเอกแนวแอนตี้ฮีโร่ได้ดี แต่ตัวละครนำอีกคน Michael Pitt กับบทเควิน แคช ลูกเจ้าพ่อตัวปัญหาของเรื่องออกแนวน่ารำคาญอยู่หน่อยๆ บทพยายามให้ดูเป็นคนไม่เอาไหนแค่อยากดัง เพื่อจุดสำคัญท้ายเรื่อง หนังมีตัวละครสมทบที่ดูเกินๆ กับเรื่องอย่างตำรวจที่เปิดตัวตอนแรกเหมือนจะมีความสำคัญ แต่กลับมาใช้ในตอนจบแบบไม่ค่อยเข้าท่า และออกจะงงๆ ว่าใส่มาเพื่ออะไรถ้าต้องการแค่นี้ แต่กลับให้แอร์ไทม์มีฉากดูเหมือนเป็นคนสำคัญหลายครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไรเลยในตอนจบ

ก็ต้องบอกว่าตัวเรื่องมีความน่าสนใจหลายอย่างที่ตั้งต้นมาดี แต่กลับทำได้ไม่ถึงเอง ทั้งผู้กำกับและมือเขียนบท ตัวหนังก็ออกยืดยาวสองชั่วโมงเกือบครึ่ง ซึ่งยาวเกินความจำเป็นเมื่อเทียบกับเนื้อหาและไฮไลท์ที่คนต้องการดูฉากปล้นสั่งลาที่เป็นจุดขายของเรื่อง แต่ถ้าใครชอบหนังแอ็กชั่นติดเรต 18+ ดิบๆ ก็คงดูได้อยู่ แค่จะเบื่อๆ ชั่วโมงแรกของเรื่องเท่านั้นครับ

 

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!