playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Takedown หนังแอ็กชั่นตลกสูตรสำเร็จตำรวจคู่หูจากฝรั่งเศสที่พอมีอะไรดีอยู่เหมือนกัน

The Takedown

สรุป

หนังแอ็กชั่นสูตรสำเร็จที่โอเคเลย มุกตลกอาจจะเข้าใจยากอยู่บ้างเพราะเป็นหนังฝรั่งเศส พ่วงด้วยฉากโหดกับโป๊เปลือยแบบจัดหนักกะเอาขำแบบไม่มีเซ็นเซอร์อะไรเลย  (ไม่ใช่หนังครอบครัวเปิดให้ลูกดู) ซึ่งรวมๆ แล้วก็พอเรียกเสียงหัวเราะได้อยู่เหมือนกัน แล้วก็ไปสนุกเอากับฉากแอ็กชั่นช่วงหลังที่จัดหนักเอาเรื่องกับฉากขับรถไล่ล่าและระเบิดใหญ่โตแบบโชว์ให้ดูเลยว่านี่ไม่ใช่หนังเน็ตฟลิกซ์ทุนต่ำนะครับ (ทุนกลางๆ งานสร้างไม่ขี้เหร่)

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • แนวตำรวจคู่หูพระเอกผิวดำที่โดนเหยียดเชื้อชาติตลอดเวลา
  • ภาคต่อของหนังดังในอดีต แต่ไม่ได้มีฉายในไทย
  • หยิบปัญหาฝ่ายขวาจัดมาสร้างเรื่องราวได้ใหญ่โตดี
  • ฉากโหดกับโป๊เปลือยเยอะไม่มีเซ็นเซอร์
  • ฉากแอ็กชั่นไล่จากเบาไปหนักเฉลี่ยมีทั้งเรื่องกำลังดี
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • มุกตลกแนวหน้าตายฝรั่งเศสที่คนไทยคงไม่ขำอะไรมาก
  • เนื้อเรื่องยังดูเป็นสูตรสำเร็จไม่มีอะไรแปลกใหม่
  • บทของนักแสดงที่เล่นเป็นฟรองซัวตำรวจผิวขาวดูจืดๆ

 

The Takedown หนังฝรั่งเศสภาคต่อของ On the Other Side of the Tracks ปี 2012 จากผู้กำกับ ที่ทำ Now You see me มาเรื่องนี้เป็นแนวแอ็กชั่นตลกกับเรื่องราวคู่หูตำรวจต่างผิวสีจากปารีส ที่ต้องมาทำภารกิจปราบเหล่าร้ายในเมืองชนบทเล็กๆ แต่เรื่องราวกลับลุกลามใหญ่โตระดับประเทศ

 The Takedown (2022) on IMDb

ตัวอย่าง The Takedown

หนังภาคแรกของเรื่องนี้ไม่ได้ฉายในไทย แล้วก็ไม่มีในเน็ตฟลิกซ์ให้ดูด้วย แต่ผู้ชมก็สามารถดูเรื่องนี้ได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แค่อาจจะงงนิดๆ เวลาเนื้อเรื่องเท้าความกันนิดหน่อย ซึ่งก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับการเดินเรื่องนัก ด้วยพล็อตเรื่องสูตรสำเร็จที่มีทำออกมาเยอะแยะมากแล้วกับแนวคู่หูตำรวจนิสัยต่างกัน แต่พอมาทำภารกิจด้วยกันกลับจูนเข้าขากันเป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องนี้ก็มาในแนวคล้ายๆ กัน แต่จุดแตกต่างหน่อยก็ตรงที่ อุสมาน พระเอกหลักคือหนุ่มผิวดำที่เล่นโดย Omar Sy คนที่เล่นซีรีส์ลูปินในเน็ตฟลิกซ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งบทหนุ่มผิวดำในเรื่องนี้คืออิงกับปัญหาการเหยียดเชื้อชาติในฝรั่งเศสที่ยังมีมาตลอดแก้ไม่หาย แล้วเรื่องในภาคนี้ก็หยิบจับเอาประเด็นนี้มาเล่นให้เรื่องราวใหญ่โตเข้าไปอีก โดยอาศัยความเป็นตำรวจผิวดำที่แตกต่างจากส่วนใหญ่ในฝรั่งเศสมาผูกเข้ากับเรื่องการเมืองในวงการตำรวจ รวมถึงการเมืองท้องถิ่นที่ลุกลามไปถึงระดับชาติด้วยนโยบายไม่ต้องรับผู้อพยพของฝ่ายขวาที่เป็นประเด็นอยู่จริงๆ (ฝรั่งเศสมีปัญหากับการเปิดรับผู้อพยพมาก) ซึ่งฝ่ายที่ต่อต้านสิ่งเหล่านี้ก็ยึดถือว่าตัวเองคือผู้รักชาติ และคนผิวดำอย่างอุสมานเองก็คือตำรวจที่ต้องพบเจอกับเรื่องเหยียดเหล่านี้ตลอดเวลานั่นเอง
เรื่องราวในภาคนี้คือการโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งของ อุสมานกับฟรองซัว (รับบทโดย Laurent Lafitte) ซึ่งก็ได้ดาราเก่าจากภาคแรกกลับมาทั้งหมด ซึ่งในเรื่องทั้งคู่ก็แยกจากกันไปมีเส้นทางของตัวเอง แต่จากคดีพบศพคนขาดครึ่งตัว แล้วทั้งคู่ไปเจอกันคนละส่วน ทำให้พวกเขาต้องมาร่วมมือกันอีกครั้ง ซึ่งพล็อตเรื่องมันก็วางให้ตลกในตัวอยู่แล้วกับการอ้างสิทธิสืบคดีศพครึ่งตัว หนังเรื่องนี้ก็ยังเดินสูตรแอ็กชั่นคอมเมดี้ขำๆ เหมือนเรื่องอื่น ซึ่งมุกตลกหลักๆ ของเรื่องนี้คือแนวหน้าตายแบบฝรั่งเศส ซึ่งคนไทยก็คงไม่ค่อยชินกับมุกแบบที่ต้องให้คนดูคิดเอาเองถึงขำต่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะถึงกับฝืดอะไรเพราะในเรื่องก็ยังมุกแบบพื้นๆ ชวนให้ขำนิดๆ ได้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการแย่งกันเอาหน้าของทั้งคู่ ซึ่งก็ดูเฮฮาน่ารักดีครับ
ถึงเรื่องจะมาแนวติดตลกก็จริง แต่ตัวเนื้อหาก็ค่อนข้างเข้มและโหดเอาเรื่อง อย่างฉากศพผ่าครึ่งในตอนแรกนี่ทำออกมาชวนแหวะมากๆ โดยไม่มีการเซ็นหรือหลบมุมใดๆ ทั้งสิ้น แล้วก็ไม่ใช่แค่ฉากแบบนี้ยังมีฉากอื่นๆ อีกอย่างคนโดนปาดหัวขาดสดๆ โดยเป็นมุกตลกแบบโหดๆ ซึ่งหนังไม่มีเซ็นเซอร์อะไรเลย แบบต้องการให้คนเห็นเต็มตาแหวะๆ กันไปเลย ซึ่งผู้ใหญ่ดูได้แต่นี่ไม่ใช่หนังครอบครัวที่เปิดให้เด็กดูด้วยแน่ๆ
นอกจากนั้นแล้วเรื่องยังหยิบเอาเรื่องโป๊เปลือยมาเป็นมุกตลกในเรื่องเยอะพอสมควร อย่างฉากพระเอกไปสอบปากคำนางระบำเปลือยในบาร์ที่เปิดนมให้ดูตลอด หรือฉากบุกเข้าบ้านตัวร้ายไปเจอเมียอาบน้ำก็หยุดดูเห็นก้นเห็นนมกันยาวๆ เลย คงเพราะหนังฝรั่งเศสมักเล่นฉากพวกนี้อยู่แล้วเป็นปกติด้วย ซึ่งคนที่ชอบก็คงเพลินๆ กับอะไรแบบนี้ แต่ส่วนตัวมองว่ามันยัดมาแบบเน้นๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องสักเท่าไหร่ เหมือนแค่อยากหาจังหวะขายอะไรแบบนี้เท่านั้น
ในส่วนที่ต้องชมจริงๆ คือฉากแอ็กชั่นมากกว่า โอเคนี่มันหนังตลกเราก็คงคาดหวังฉากแอ็กชั่นระห่ำสุดๆ แบบแนวตำรวจสายตรงเรื่องอื่นไม่ได้ แต่เรื่องนี้ก็มีการครีเอทฉากแอ็กชั่นที่ไล่จากระดับเบาไปหาหนักได้ดี โดยตัวอุสมานเองคือสายลุยตุ๊บตั่บกับเหล่าร้ายตัวเๆ เยอะ ส่วนฟรองซัวคือสายบุ๋นที่ชอบคิดวิธีการอะไรแปลกๆ ออกมาใช้เฉพาะหน้า โดยมีฉากเบาๆ ที่ทำออกมาแล้วสนุกอย่างการไล่จับคนร้ายที่ขับรถคาร์ทหนีในซูเปอร์มาเก็ต ที่ตัวเอกก็ต้องขับรถคาร์ทไล่วิ่งตามไปด้วย แล้วก็มีกินกล้วยโยนใส่กันแบบเกมมาริโอคาร์ทที่แอบฮานิดๆ ซึ่งเรื่องหยอดแอ็กชั่นเบาๆ มาอยู่เรื่อยๆ ทำให้หนังมีอะไรที่พอดูได้เรื่อยๆ ก่อนที่จะไปจัดหนักเอาช่วงหลังกับฉากขับรถไล่ล่ากันบนถนนเก่าริมทะเล ซึ่งหวาดเสียวใช้ได้ แล้วก็ลงทุนระเบิดรถจริงจังแบบทำให้เห็นเลยว่านี่ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นทุนต่ำ และฉากสุดท้ายของเรื่องก็อลังการพอดูเลยกับการสร้างปมตัวร้ายเหยียดผิวที่คิดแผนใหญ่โตเกือบๆ จะเป็นระดับน้องๆ บอส 007 ก็ไม่ปาน ซึ่งถ้าผู้ชมดูผ่านมาถึงช่วงหลังของเรื่องได้นี่คือหนังแอ็กชั่นที่ดูแล้วบันเทิงสนุกใช้ได้เลย
ตัวหนังยังแอบใส่เรื่องรักของพระเอกกับตำรวจสาวในเมืองชนบทไว้นิดหน่อย พอให้รู้สึกว่ามีนางเอกอยู่ในเรื่อง แล้วก็เป็นปมให้ทั้งคู่พยายามแย่งกันจีบเกทับเอาใจเธอแบบฮานิดๆ แต่นอกเหนือจากนี้แล้วเธอก็ยังเป็นตัวละครสำคัญมากกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างของเรื่องคือการใช้ลูกเล่นมุมกล้องเหมือนโดรนบินไล่กวดเป้าหมายแบบสวิงสวายโลดโผนมาก ซึ่งไม่แน่ใจว่าใช้โดรนจริงมั้ย แต่หลายฉากในเรื่องนี้คือใช้มุมกล้องแบบนี้ทำให้เรื่องดูน่าตื่นเต้นขึ้นมาอีกระดับ แต่ในอีกมุมก็ชวนให้ปวดหัวเช่นกัน
ถือว่าเป็นหนังแอ็กชั่นสูตรสำเร็จที่โอเคเลย มุกตลกอาจจะเข้าใจยากอยู่บ้าง แต่รวมๆ แล้วก็พอมีเรื่องชวนขำได้อยู่เหมือนกัน แล้วก็ไปสนุกเอากับฉากแอ็กชั่นช่วงหลังแทนครับ
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!