playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Trees of Peace หนังอินดี้ผู้หญิง 4 คนติดในห้องแคบผ่านเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในรวันดา

Trees of Peace

Summary

หนังอินดี้ที่เล่าเรื่องราวในที่จำกัดห้องใต้ดินกับหญิงสาว 4 คนในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์รวันด้าออกมาได้หดหู่สะเทือนใจแม้จะอยู่ในที่แคบๆ ทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบกับบทสนทนาล้วนๆ ที่อาจจะน่าเบื่ออยู่ แต่ก็ถ่ายทอดความหดหู่สิ้นหวังจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของผู้หญิงที่รอดตายจากเหตุการณ์
  • บอกเล่าประวัติศาสตร์การยุติสงครามล้างเผ่าพันธ์
  • ความแตกต่างทางเชื้อชาติความเชื่อที่ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นมิตรภาพจากช่วงเวลาวิกฤตสิ้นหวัง

Cons

  • เดินเรื่องด้วยบทสนทนาล้วนๆ ที่อาจจะชวนง่วงบ้าง
  • ปัญหาบางอย่างไม่ถูกทำให้ออกมาให้เห็น ทำให้เรื่องไม่ได้ถึงกับดูสมจริงเป็นแนวรอดชีวิตนัก

Trees of Peace ต้นไม้สันติภาพ หนังอินดี้ Netflix เรื่องราวของผู้หญิง 4 คนที่ติดอยู่ในห้องใต้ดินเล็กๆ ในช่วงเหตุการณ์ฆ่าล่างเผ่าพันธ์ในรวันด้าที่มีผู้เสียชีวิตนับล้าน

 Trees of Peace (2021) on IMDb

รีวิว Trees of Peace

 

หนังอินดี้ทุนต่ำเรื่องนี้ถูกฉายในงานเทศกาลหลายที่เมื่อปี 2021 แต่พึ่งได้ฤกษ์มาลง Netflix เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2022 และก็น่าจะเป็นหนังที่ถูกลืมหายไม่มีคนดู ไม่ใช่แค่ที่ไทย แต่ในโลกก็ไม่ติดอันดับใดๆ เลยเช่นกัน แม้แต่สื่อนอกรีวิวก็ยังแทบไม่มี แต่ตัวหนังกวาดมาหลายรางวัล และก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจในแง่ประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจลืมได้เรื่องหนึ่งของโลก

เรื่องนี้สร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริงของเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในประเทศรวันดา ที่ซึ่ง 85 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในรวันดาเป็นชาวฮูตู แต่เป็นชาวทุตซี ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ที่เป็นชนชั้นนำปกครองประเทศมาอย่างยาวนานจากการให้สิทธิของคนขาวผู้ล่าอณานิคมในอดีต แล้วแบ่งแยกพวกเขาจากการระบุเผ่าพันธ์บนบัตรประชาชน จนเกิดการแบ่งแยกฝังรากลึกซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์วิปโยคจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งตัวเรื่องจะมีเกริ่นนำเรื่องราวในรวันด้าให้คนดูเข้าใจคร่าวๆ ในตอนเปิดเรื่อง ก่อนที่เรื่องราวจะเข้าสู่ห้องใต้ดินที่เป็นที่ซ่อนของผู้หญิง 4 คนที่แตกต่างกันทั้งความคิด เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ สีผิว ซึ่งเป็นเรื่องราวที่นำมาจากเค้าโครงจริงของผู้ที่รอดตายในเวลาต่อมา และถูกนำมาสร้างโดยทีมงานอเมริกันที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์นี้ในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งต่างไปจากที่เคยทำหนังมาก่อนอย่าง โฮเต็ลรวันดา ที่หลายคนน่าจะรู้จักเคยได้ยินชื่อกันมาบ้าง

ด้วยความที่เป็นหนังอินดี้ทุนต่ำมากๆ พล็อตเรื่องนี้ก็เลยกลายเป็นหนังจำกัดสถานที่ไปในตัวเอง เพราะฉากทั้งหมดของเรื่อง 99% อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ยิ่งกว่าคุก ซึ่งยากกว่าหนังที่เขียนบทในที่จำกัดมาโดยตรงซะอีก เพราะนี่คือเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้น ตัวเรื่องจึงไม่สามารถบิดให้มีเหตุการณ์ระทึกเร้าใจอะไรได้มาก ทุกอย่างคือเห็นและได้ยินผ่านห้องแคบๆ นี้เท่านั้น โดยส่วนใหญ่คือบทสนทนาของทั้ง 4 คนล้วนๆ อีกด้วย ซึ่งนี่คือจุดเด่นและจุดขายหลักของเรื่องที่ใช้ตัวละคร 4 คนที่มีสถานะความเชื่อแตกต่างกัน โดยมีทั้งฮูตู ทุตซี สาวอเมริกา ซึ่งทั้งหมดจะถูกฆ่าถ้าขึ้นด้านบน เพียงเพราะพวกเขาเป็นกลางทางการเมืองไม่เลือกฝ่าย แต่ ณ เวลานั้น กลับถูกบีบให้เลือกข้างโดยจับคนปกติยื่นอาวุธให้ฆ่ากันเองพิสูจน์ให้ดู แล้วพวกเธอก็ถูกเรียกว่าหนู แมลงสาบ ที่ต้องถูกกำจัด ทำให้เรื่องนี้เหมือนตัวละครทั้ง 4 ถูกปิดตายในห้องใต้ดินนี้ไปในทันที มีเพียงสามีของหญิงฮูตูในเรื่องที่ยังคอยมาส่งอาหารน้ำให้ แต่ก็เว้นช่วงยาวต่อเนื่องหลายวันจนเกือบร่อแร่อยู่เรื่อยๆ

สิ่งที่หนังเรื่องนี้พยายามสื่อสารออกมาก็คือ การบอกเล่าความโหดร้ายของเหตุการณ์รวันด้าผ่านทั้ง 4 คน ซึ่งในตอนแรกก็ไม่ถูกกัน แม้จะมีชะตากรรมเดียวกัน เรื่องค่อยๆ ทำให้แต่ละคนค่อยๆ เปิดใจ รวมถึงเปิดเผยความลับ ธาตุแท้ทั้งหมด จากการแย่งหรือแอบซ่อนอาหาร ซึ่งไม่มีใครเป็นคนดีสมบูรณ์แบบได้จริง แม้แม่ชีที่สอนศาสนาคริสต์เองก็ยังเป็นขโมยได้ แต่เรื่องก็ทำให้เห็นว่าสุดท้ายการให้อภัยปรับความเข้าใจกันในฐานะมนุษย์ด้วยกันคือสิ่งจำเป็น ซึ่งทำให้เรื่องนี้ค่อยๆ ดำเนินไปแบบละลายพฤติกรรมแย่ๆ ของแต่ละคนออกมา ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ โดยมีเหตุจังหวะทดสอบใจตัวละครผ่านมาบางครั้ง อย่างการที่ UN มาช่วยสาวผิวขาวในเรื่องที่มาเป็นผู้ช่วยสอนศาสนาคริสต์ แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับคนอื่น จนตัดสินใจไม่ไปด้วย แต่เรื่องก็ไม่ได้นำเสนอให้ดูเหมือนเธอเป็นฮีโร่หรือคนดีโลกสวย เพราะหลังจากนั้นก็มีเฉลยเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ที่ทำให้เข้าใจได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร ซึ่งเรื่องจะพยายามให้มีเหตุการณ์นอกห้องระทึกเล็กๆ ที่ส่งผลมาถึงคนในห้องด้วยแบบนี้คั่นเรื่องเป็นระยะไม่ให้ชวนง่วง แต่ไม่ได้เน้นไปที่ความสมจริงในการรอดชีวิตอะไรมากนัก เพราะบางอย่างก็ถูกข้ามไปไม่เล่าอย่างเรื่องการขับถ่ายของเสียในที่แคบแบบนั้นตลอดสองเดือนกว่าทำได้ไง

ถือว่าเรื่องราวมีความน่าสนใจ แต่รวมๆ แล้วก็อาจจะยังไม่เหมาะกับผู้ชมทั่วไปที่เน้นความบันเทิง เพราะเรื่องมีแต่ความโหดร้าย หดหู่ สิ้นหวังตลอดหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ส่วนในเรื่องคือผ่านไปกว่าสองเดือนเหตุการณ์นี้ถึงจบลง ถือเป็นหนังอินดี้ที่มีคุณค่าในแง่การบอกเล่าประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำและไม่ให้เกิดซ้ำแบบนี้อีกที่ไหนในโลก ในตอนท้ายเรื่องจึงมีการบอกเล่าประวัติศาสตร์หลังจากนั้นที่ทำให้รวันด้าสงบลงได้ด้วยการที่รัฐผลักดันการให้อภัยกับคนเป็นล้านที่กระทำกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ก็ต้องจบลงด้วยการอยู่ด้วยกันเป็นเพื่อนบ้านร่วมชุมชนกันต่อไปครับ

ปล.ชื่อเรื่องมาจากหนังสือเล่มเดียวที่อยู่ในห้องนั้น แล้วก็ถูกนำมาสอนหัดอ่านให้คนที่ไม่รู้หนังสือ

เบื้องหลังการถ่ายทำเซ็ตฉากใช้แค่นี้ทั้งเรื่อง

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!