playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ We Are the Wave คลื่นลูกใหม่ ที่เบาหวิวไร้พลัง (ไม่สปอยล์)

รีวิวซีรีส์ We Are the Wave คลื่นลูกใหม่ ที่เบาหวิวไร้พลัง (ไม่สปอยล์)

สรุป

หนังเล่นเรื่องราวปารปฏิวัติของวัยรุ่นกับปัญหาทุนนิยม แต่ทำออกมาเบาหวิว ง่ายไปหมด ช่องโหว่ของเรื่องราวจึงมีอยู่ตรึม การแสดงก็ขาดความน่าเชื่อถือไม่มีพลังพอจะให้รู้สึกอินกับเรื่องราวได้เลย

Overall
5/10
5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ประเด็นการปฏิวัติผ่านโซเชียลมีเดียน่าสนใจ

Cons

  • เนื้อหาหนังเบาหวิวไม่สมกับที่วางไว้ 18+
  • นักแสดงไม่มีพลังพอ เล่นได้ไม่น่าเชื่อถือ
  • ช่องโหว่เรื่องราวมากมาย

We Are the Wave คลื่นลูกใหม่ (ดูผ่าน Netflix คลิกที่นี่) ซีรีส์ออริจินอลเน็ตฟลิกซ์สัญชาติเยอรมัน เรื่องราวของการก่อกระแสปฏิวัติของกลุ่มเด็กในโรงเรียนต่อสังคมทุนนิยมของผู้ใหญ่ที่นำพาความเลวร้ายมาสู่สังคม โดยมีกฏหมายเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์ปิดปากคนจน ทำให้พวกเขาต้องลุกขึ้นมาเล่นนอกกรอบกฎหมาย ปลุกเร้ากระแสปฏิวัติผ่านคนรุ่นใหม่ให้สำเร็จ

ตัวอย่างซีรีส์ We Are the Wave คลื่นลูกใหม่

ซีรีส์เรื่องนี้เล่าเรื่องผ่านตัวละครเด็กวัยรุ่นในโรงเรียน จุดเริ่มเรื่องมาจากนักเรียนชายย้ายมาใหม่ ทริสแทน ที่มักทำอะไรนอกกรอบผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ และได้เป็นคนจุดกระแสให้พวกลูสเซอร์ในโรงเรียนได้เริ่มหันกลับมาสู้คนที่มากลั่นแกล้งตน จนกลายเป็นกลุ่มวัยรุ่น “คลื่นลูกใหม่” ที่รวมตัวต่อสู้กับทุนนิยมที่กำลังกลืนกินเมืองแห่งนี้ ผ่านการนำของ ลีอา สาววัยรุ่นจากครอบครัวมีอันจะกินที่หันมาต่อต้านทุนนิยมจากแรงกระตุ้นของทริสแทน

หนังวัยรุ่นปลุกกระแสอนาธิปไตยที่มาแนวรักษ์โลกจ๋า ใช้ประเด็นความไม่พอใจต่อกระแสทุนนิยมของคนรุ่นก่อน ที่สร้างปัญหาไว้มากมายทิ้งไว้ให้คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันมาเป็นแรงผลักดันเรื่องราว ที่เหมือนตัวหนังเองก็ตั้งใจทำออกมาเป็นตัวแทนปลุกระดมการปฏิวัติในแบบที่เป็นไปได้ในโลกจริงด้วยเหมือนกัน หลายๆ ประเด็นในเรื่องแม้เกิดในเยอรมันก็จริง แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับที่อื่นในโลกที่มีปัญหาแบบเดียวกัน อย่าง ขยะพลาสติค มลพิษจากโรงงาน อาหารจั๊งฟู๊ด ทารุณกรรมสัตว์ ปัญหาคนรวยครอบครองที่ดิน จนไปถึงปัญหาใหญ่ระดับโลกเรื่องอาวุธปืน อุตสาหกรรมหลักของประเทศเยอรมันที่ส่งมอบความตายให้แก่คนทั่วโลก

We Are the Wave

หนังใช้วัยรุ่นหัวขบถอย่างทริสแทนมาเป็นตัวจุดชนวนการปฏิวัติแบบลับๆ ออกเดินสายทำภารกิจที่เหยียบเส้นกฎหมายนิดๆ แล้วส่งคลิปอัพโหลดวีรกรรมขึ้นโซเชียลมีเดีย ซึ่งก็โดนใจวัยรุ่นให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นว่ายิ่งทำยิ่งได้ใจลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตัวทริสแทนเองตั้งใจแค่ทำกลุ่มเล็กๆ แต่กลับกันลีอากลับเลยเถิดไปไกลกว่านั้นจนเกิดเป็นปมขัดแย้งกันในกลุ่ม ที่ยังพยายามใช้ระบบ “ประชาธิปไตย” มาโหวดแก้ปัญหา “อนาธิปไตย” ที่พวกเขาก่อขึ้นมา

ประเด็นของหนังแม้จะดูดี มีความเป็นไปได้จริง ดูแล้วก็อาจจะฮึกเหิมอยากออกมาปฏิวัติลับๆ แบบตัวละครในเรื่องอยู่บ้าง แต่หนังกลับเล่นประเด็นปัญหาทุกอย่างผิวเผินมองแค่ด้านเดียวเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงวิธีการที่ดูเหมือนพวกนักประท้วงธรรมดาทั่วไปที่ต้องสร้างจุดเด่นให้คนมาสนใจ มากกว่าจะต่อยอดจุดนี้ไปถึงการแก้ปัญหาสังคมอย่างจริงจัง ซึ่งดูแล้วขาดความน่าเชื่อถือออกแนวกลวงๆ จนแทบจะหาแก่นสารที่เรื่องต้องการโฟกัสผลักดันไม่ได้ แถมหนังก็แวะไปเล่นเรื่องราวความรักชีวิตวัยรุ่นส่วนตัวซะเยอะด้วย ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แม้แต่เบื้องลึกของตัวพระเอก หรือตัวนางเอกลีอา ก็ดูแล้วขาดความน่าเชื่อถือว่าจะลุกมาเปลี่ยนตัวเองใส่ใจรักษ์โลกสุดๆ ได้ในเวลาชั่วข้ามคืนหลังเจอพระเอกวันแรกเท่านั้น

ภารกิจรณรงค์ปัญหาพลาสิคในเรื่อง

ด้วยความที่หนังเล่นทุกอย่างง่ายไปหมด ช่องโหว่ของเรื่องราวจึงมีอยู่ตรึม ดูไปคิดว่าตำรวจเยอรมันโง่ได้ขนาดนี้เลยหรือที่ตามจับพวกนี้ไม่ได้ กลายเป็นทำให้เรื่องราวแม้จะดูน่าติดตามอยู่บ้าง แต่ก็ดูแล้วมีแต่ข้อกังขากับการจบแบบง่ายๆ ในทุกวีรกรรมที่กลุ่มก่อขึ้น หนังพยายามเล่นใหญ่ในตอนท้ายถึงปัญหาอุตสาหกรรมปืน แต่กลับจบได้เบาหวิวแบบเด็กๆ จนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นหนังที่วางตัวเองไว้ว่าเป็น การปฏิวัติปลุกกระแสอนาธิปไตยอย่างที่ตั้งธงไว้

นอกจากเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อถือแล้ว บุคลิกของตัวละครแต่ละตัวก็ไม่ได้น่าสนใจ รวมถึงการแสดงก็ไม่ได้มีพลังปลุกเร้าน่าเชื่อถือตามเรื่องราวได้เลย หนังวางบทให้พระเอกดูมีแบ็คกราวด์ระดับไปมาแล้วทั่วโลก พูดได้หลายภาษา แต่การกระทำกับอะไรหลายๆ อย่างออกมาดูกลวงๆ เหมือนหยิบจับมาปูมหลังมาแค่เปลือกให้ดูเท่เพียงเท่านั้น

We Are the Wave เป็นหนังซีรีส์วัยรุ่นจากเยอรมันที่วางตัวหนังไว้ที่เรต 18+ แต่กลับไม่ได้มีความรู้สึกว่าเรื่องราวหนักแน่น หรือดาร์คพอกับเนื้อหาที่นำมาเล่นเลยสักนิด หนังออกแนวพอดูได้ เรื่อยๆ เนือยๆ ไม่ได้มีจุดพีคอะไร ซึ่งก็ทำออกมาแค่  6 ตอน ความยาวแต่ละตอน 45-50 นาที ตอนจบพยายามขยายปมใหญ่ขึ้นเพื่อไปซีซัน 2 แต่ดูแล้วน่าจะไปต่อยาก เพราะทั้งเรื่องราวและตัวละครขาดความน่าสนใจติดตาม ดูจบก็จบ ไม่ได้แปลกใหม่อะไรทั้งสิ้นครับ

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!