playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Life Ahead ชีวิตข้างหน้า ความหวังในแววตาหญิงชรา (ไม่มีสปอยล์ส่วนสำคัญ)

สรุป

ภาพยนตร์ประสบการณ์ชีวิตและความหวังภายใน 1 ชั่วโมงครึ่ง อัดแน่นด้วยอารมณ์สุขเศร้าและการแสดงที่ยอดเยี่ยมแทบไร้ที่ติ แต่สำหรับยุคนี้อาจจะไม่ว้าวอะไร เพราะพลอตมาจากหนังสือเก่า แต่ยังไงก็ไม่เสียดายเวลาที่ดูแน่นอน

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • บทเรียบง่ายเปี่ยมด้วยความหมายของการใช้ชีวิต
  • จังหวะของเรื่องไม่มีสะดุด ปูความสัมพันธ์ตัวละครได้เชื่อมโยงกัน
  • นักแสดงสุดยอด แสดงได้ยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งนักแสดงคนอื่น ๆ
  • ประเด็นเรื่องของผู้อพยพ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และประเด็นสังคม ที่ไม่ได้ใส่มาโต้ง ๆ แต่เห็นได้จากการเล่าเรื่อง
  • เพลงประกอบยอดเยี่ยม ดนตรีคลาสสิกและเพลงอิตาลีที่ไม่ค่อยได้ยินกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะเพลง Io sì สรุปเรื่องได้ดีที่สุด

Cons

  • ดราม่าไม่ฟูมฟาย คนชอบดราม่าหนัก ๆ อาจจะเฉย ๆ ก็ได้
  • พล็อตค่อนข้างเก่าแล้วในยุคนี้ เพราะสร้างจากหนังสือเมื่อปี 1975

The Life Ahead (La vita davanti a sé) หรือ ชีวิตข้างหน้า ภาพยนตร์ดราม่าอิตาลีที่สร้างจากวรรณกรรมฝรั่งเศสเรื่อง The Life Before Us เขียนโดย โรเมน แกรี่ ที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมดีเด่นในปี 1975 กำกับโดย เอดัวร์โด พอนติ นำแสดงโดย โซเฟีย ลอเรน, อิบราฮิมา เกเย่ เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่สร้างและตีความใหม่ ซึ่งเน็ตฟลิกซ์ได้ทำการซื้อมาสตรีมมิ่ง ในเจ็ดวันหลังจากเข้าฉายจำกัดโรงที่อิตาลี ซึ่งผมไม่รู้จักภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อนเลย  เห็นว่าเป็นหนังแนวดราม่าน้ำดีที่กวาดกระแสและคำชื่นชมอย่างล้นหลามโดยนักวิจารณ์ เลยขอลองดูสักหน่อย

 The Life Ahead (2020) on IMDb

ถือเป็นครั้งที่สองแล้วที่ The Life Ahead ถูกนำมาสร้าง เพราะในปี 1977 เคยมีการสร้างภาพยนตร์ Madame Rosa ซึ่งเป็นภาพยนตร์ของฝรั่งเศสและสร้างตามหนังสือที่พื้นที่ของเรื่องราวอยู่ใน เบลวิลล์ เขตหนึ่งของปารีส แต่ในปี 2020 จะใช้พื้นที่ในแถบชายฝั่งของอิตาลีแทน ความน่าสนใจของเรื่องนี้นอกจากรางวัลวรรณกรรมดีเด่นของฝรั่งเศสแล้ว ภาพยนตร์ยังได้คำวิจารณ์รับรางวัล Academy Award for Best International Feature Film จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามว่าเวอร์ชั่นใหม่ที่ได้ โซเฟีย ลอเรน นักแสดงหญิงที่เคยได้รับรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ในปี 1960 เรื่อง Two Women ถือเป็นนักแสดงหญิงคนแรกที่ไม่ได้แสดงในภาพยนตร์พูดภาษาอังกฤษซึ่งได้รางวัลออสการ์ ที่ยืนยันว่าการที่เธอมารับบทนำในวัย 86 ปีจะน่าตื่นเต้นอะไรขนาดนี้ พ่วงด้วยตำแหน่งแม่ของอดัวร์โด พอนติ เมื่อเขานั่งแท่นกำกับและเขียนบท แถมยังได้นักร้องสาวชาวอิตาลีชื่อดัง Laura Pausini มาขับร้องเพลงประกอบให้ด้วย เรียกที่ต่างประเทศถือว่ามีกระแสพอสมควรเลย

“ณ ดินแดนแถบชายฝั่งประเทศอิตาลี โมโมะ หรือ โมเฮเหม็ด เด็กหนุ่มกำพร้าชาวมุสลิมที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตและก่อปัญหาลักขโมยเพื่อแลกกับเงินมาใช้จุนเจือความสุข วันหนึ่งเขาดันไปเจอกับ มาดามโรซ่า หญิงชราที่ทั้งขายบริการและเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กให้กับเพื่อน ๆ จุดเริ่มต้นของความสัมพันธุ์ดูไม่สวยงามนัก เมื่อทั้งคู่พยายามผลักไสอีกฝ่ายออกจากชีวิต แต่เมื่อโมโมะได้พบเจอคนมากมายที่ยื่นมือสนับสนุนเขา ไม่ว่าจะเป็น เด็กชายผู้หวังทุกคืนให้แม่จะกลับมา ชายขายบริการแต่งหญิงที่มีลูกน่ารัก พ่อค้าขายของชำ หมอเจ้าระเบียบ และ นายหน้าขายยาเสพติด พร้อมกับความลับของมาดามโรเซ่ ทำให้เขาต้องคิดทบทวนชีวิต ว่าจะยึดอยู่กับชีวิตที่เป็น หรือก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับมาดามโรเซ่”

เรียบง่าย และ เจ็บปวด

ภาพยนตร์เปิดตัวอย่างเรียบง่าย ด้วยสังคมของชาวอิตาลีที่มีคนหลายแบบ และถ่ายทอดความเจ็บปวดของคนที่ต้องดิ้นรนจากชีวิตที่ไม่เป็นดังหวังผ่านตัวละครโมโมะ ซึ่งเป็นเด็กชายมุสลิมที่ไม่เคยมองเป้าหมายในชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากการก่อปัญหาโดยเชื่อว่าสักวันตัวเองจะไม่โดดเดี่ยวและไม่หงอยเหงา แม้ใครจะว่าอะไร เขาก็พร้อมจะไล่ตะเพิดออกไปให้ได้ จนกระทั่งเขาดันต้องไปอยู่กับมาดามโรเซ่ที่ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นหญิงชราขี้บ่น แต่จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนที่ใจดี แค่ปากร้ายและไม่ตรงกับใจ เธอพร้อมดูแลทุกคนในสถานรับเลี้ยงเด็กเหมือนลูก ซึ่งแน่นอนว่าเธอก็ผ่านชีวิตมามากมายจนแทบไม่เหลือความหวังอะไรนอกจากใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ไม่ต่างกับโมโมะ

ถ้าเรื่องย่อในเน็ตฟลิกซ์ไม่สปอยล์ผมว่ามันจะสะเทือนใจมาก ๆ ความเจ็บปวดที่แท้จริงอาจไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตเรื่อย ๆ แต่อาจเป็นคนยิวที่ต้องอพยพหลบหนีตลอดชีวิตเพื่อรักษาสิ่งที่ตัวเองรักที่สุด และมันก็ค่อยบั่นทอนจิตใจและร่างกายโรยราลงเรื่อย ๆ เพราะเมื่อนึกถึงเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ (ซึ่งก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว) เมื่อคนที่มีชีวิตที่เจ็บปวดค่อย ๆ เปิดใจกัน ความผูกพันและความรักก็ค่อย ๆ ยกทั้งคู่ออกจากความเจ็บปวด กลายเป็นคนที่ห่วงใย และพร้อมจะปลอบใจกันในยามที่เจอเรื่องร้าย ๆ ผมว่าหนังปูความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ได้แน่นมาก ๆ จนในช่วงท้าย ๆ มันปล่อยหมัดฮุคที่หนักใส่ผม ผมถึงกับสะอื้นไม่หยุดเลย เพราะชีวิตจริงมันก็เป็นแบบนี้ เราทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องเสียใจหรอก

สังคม คือ ผู้คนที่เชื่อมโยงเข้าหากัน

ภาพยนตร์ไม่ได้ให้ความสำคัญแค่ความสัมพันธ์ต่างขั้วของตัวละครหลักที่ค่อย ๆ พัฒนาตามเวลาของเรื่อง แต่ยังให้มุมมองสะท้อนสังคมของคนหลายรูปแบบที่ทั้งดีและสีเทา คนชายขอบต่าง ๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในอิตาลี มีอาชีพต่าง ๆ เป็นของตัวเอง ท่ามกลางความวุ่นวายและความสงบ พยายามจะมีชีวิตที่ดี บางคนเลือกที่จะยอมรับตัวเอง บางคนเลือกที่จะไม่ยอมรับ บางคนได้รู้จักกัน บางคนเลือกจะไม่รู้จักกัน เราจะเป็นคนแบบไหน ไม่ได้มาจากสายเลือดหรือเพราะใคร แต่อาจจะมาจากสังคม ถ้าหากสังคมดี เราก็จะทำแต่สิ่งดี ๆ ถ้าหากสังคมไม่ดี เราก็จมดิ่งและเชื่อว่าสังคมนั้นมันดี แต่จริง ๆ ก็มีเพียงแค่ผลประโยชน์ชั่วคราวทั้งนั้น มิตรภาพจากคนที่เราไม่เคยคาดถึง คือสิ่งที่วิเศษที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้วเราจะได้เจอกันหรือไม่ อาจเป็นสิ่งที่สังคมเชื่อมโยง เห็นจากในตัวละครได้พบเจอกับคนหลาย ๆ แบบ ทั้งดีและไม่ดี และมันก็ค่อย ๆ พาเขาได้เรียนรู้กับตัวเองว่าจะอยู่กับ เพื่อนในจินตนาการแทนความเหงา ซึ่งในเรื่องคือเสือ หรือจะอยู่กับคนที่พร้อมอยู่ข้างเขาจริง ๆ ซึ่งในเรื่องก็มีคำตอบที่ชัดเจนและไม่ได้อุดมคติจนเกินไป

การแสดงยอดเยี่ยม 

ขอยกนิ้วและรางวัลการแสดงให้กับ โซเฟีย ลอเรนที่ถ่ายทอดหญิงชราคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เธอก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เธอค่อย ๆ ทำให้เรารู้สึกรำคาญยัยป้าคนนี้จังในช่วงแรก กร้านโลก ปากร้าย และไม่น่ารักอย่างเป็นธรรมชาติจริง ๆ กับตัวละคร แต่เมื่อช่วงกลางเราจะเห็นว่าเธอน่าสงสารมาก ๆ และทำให้เราอินจนร้องไห้ตามโดยที่ไม่ต้องบีบเค้นด้วยคำพูดหรือดนตรีประกอบ ด้วยสีหน้าท่าทางที่อ่อนล้าและคำพูดที่อาจจะไม่ได้สอนใจแบบตัวละครผู้ใหญ่เรื่องอื่น ๆ มันทำให้เห็นว่าเธอทำทุกอย่างสุดความสามารถแล้ว ไม่แปลกใจว่าทำไมได้รางวัลออสการ์ในตอนนั้น เช่นเดียวกับนักแสดงเด็กที่รับบทโมโมะอย่าง อิบราฮิมา เกเย่  ที่รับบทนำของเรื่องเลยทีเดียวที่พาเราไปสำรวจเด็กที่ชีวิตปัญหา ไม่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง และทำตัวต่อต้านสังคม จนกระทั่งเขาได้รู้ความลับ เขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเอง ซีนดราม่าในช่วงท้ายเรื่อง บอกได้เลยว่า ถึงไม่โด่งดัง แต่ฝีมือการแสดงเยี่ยมยอดและน่าจดจำมากไม่แพ้แม่โซเฟียเลยทีเดียว

องค์ประกอบทุกอย่างช่วยให้สมบูรณ์

ผมหาจังหวะติเรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆ มันไม่มีอะไรให้ติ ไม่มีอะไรน่าขัดใจเลย นอกจากพลอตที่อาจจะดูเก่าไปแล้วสำหรับยุคนี้ ในขณะที่ตัวละครในเรื่อง บทบาทนั้นต่างช่วยเสริมเรื่องให้มีความไม่ดราม่าจนเกินไปเช่น ตัวละครอย่างโลล่า ซึ่งเป็นคนที่นำความสดใสให้กับโมโมะและของเรื่อง แต่เธอก็คือตัวละครที่สำคัญไม่แพ้กับตัวละครหลัก เวลาเธออยู่เราจะรู้สึกว่าโทนเรื่องดูอบอุ่นมาก แม้สังคมจะมองว่ามีปัญหาแค่ไหน เราอาจจะต้องการแค่คนที่อยู่ข้าง ๆ เราแค่นั้น ทั้งเรื่องของคนผิวสี เรื่องของสาวขายบริการ เรื่องของคนที่อยู่กับสิ่งที่รัก และความทรงจำ อารมณ์เหมือนกำลังมองชีวิตมนุษย์ในภาพยนตร์ จะสุขหรือทุกข์ เราต้องอยู่กับมัน หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เพลงประกอบในแต่ละช่วง ก็รู้จังหวะจะโคนที่ไม่ได้พยายามบิ๊วว่ามันต้องเศร้า มันต้องฟูมฟาย หรือมันต้องสุข แต่ปล่อยให้คนดูรู้สึกไปเอง แต่ถ้าดูจบแล้ว เพลงประกอบของภาพยนตร์ที่ขับร้องโดย Laura Pausini อย่าง Io sì คือเพลงที่เน็ตฟลิกซ์ไม่น่าทำซับไทยออกมาเลย มันทำให้ผมร้องไห้หลังจากที่ดูจบ และสรุปสาสน์ของเรื่องได้ชัดเจนที่สุดแล้ว 

ควรชม หรือข้าม?

ภาพยนตร์ดราม่าน้ำดีที่พูดถึงชีวิตและความหวัง ผ่านการแสดงที่เป็นธรรมชาติและยอดเยี่ยมของทั้งเด็กหนุ่มและหญิงชราที่ผมเชื่อว่าใครหลายคนอาจจะคิดว่าไม่น่าสนใจเพราะเป็นหนังดราม่า ไม่มีเรื่องรัก แต่อย่าเพิ่งมองข้ามเรื่องนี้ไปเพียงเพราะมันดราม่า ถ้าคุณอยากได้หนังที่มีคุณภาพไว้ดูในตอนที่สิ้นหวังในชีวิต เรื่องนี้อาจช่วยมอบบทเรียนแห่งชีวิตที่แสนล้ำค่าความยาว 1 ชั่วโมง 35 นาที อัดแน่นไปด้วยความรัก และความอบอุ่น ความเจ็บปวดและความหวัง ที่ควรชวนคนมาดูให้มากที่สุด ผมเชื่อว่าในช่วงต้น ๆ มันอาจน่าเบื่อ และซ้ำซาก แต่ช่วงท้ายจนเพลงประกอบของเรื่องดังขึ้น ทุกคนจะต้องรู้สึกเหมือนกับผม เพราะงั้นอย่าข้ามเรื่องนี้เด็ดขาด ภาพยนตร์อิตาลีที่เน็ตฟลิกซ์จัดจำหน่ายแบบนี้ ผมอยากให้คะแนนพอ ๆ กับเรื่อง แมริเอจ สตอรี่ เมื่อปีก่อนเลยล่ะ

ตัวอย่างล่าสุด ชีวิตข้างหน้า The Life Ahead

 

สามารถชมได้แล้วที่ NETFLIX ไม่ควรพลาดครับ

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!