รีวิว House of the Dragon จุดเริ่ม Game of Thrones ก่อนสิ้นยุคมังกร (ไม่มีสปอยล์)
House of the Dragon
Summary
สรุปในภาพรวมแล้ว นี่เป็นซีรีส์ระดับสุดยอดของวงการอีกเรื่องหนึ่ง เป็นการต่อยอดและขยายจักรวาลของ GOT ให้หากินต่อไปได้อีกเรื่อยๆอีกมาก แล้วที่สำคัญคือเรื่องราวสามารถรักษามาตรฐานต่อมาได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมกับการเล่าเรื่องราวที่พีคขึ้นทุกตอน จนกระทั่งจบซีซันแรก ด้านทีมนักแสดงดีเยี่ยม บทการเมืองเชือดเฉือน งาน CG มังกรจัดเต็ม แต่บทอาจจะดูเหมือนละครน้ำเน่าแนววังหลังไปบ้าง ถ้าใครที่ไม่เคยดู GOT มาก่อนอาจจะไม่ชินกับแนวทางนี้ และฉากต่อสู้หรือฉากสงครามก็มีแค่ช่วงต้นเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่เคยดู GOT มาก่อน ก็สามารถดูเรื่องนี้ได้เลย เพราะมีความเป็นเอกเทศออกมาชัดเจน และมีการเชื่อมโยงไปถึง GOT แค่บางจุดเท่านั้น ไม่เสียอรรถรสแน่นอนครับ
Overall
9.5/10User Review
( votes)Pros
- โปรดักชั่น งานสร้าง ดีเยี่ยม
- นักแสดงหลักทำได้ดีมาก ระดับชิงรางวัลได้
- มีการเชื่อม Hint ไปยัง GOT ภาคหลักได้แยบยล
- เล่าเรื่องกระชับ ไม่ต้องดู GOT มาก่อนก็เข้าใจได้เลย
- ช่วงแรกมีการปูบทไปยังเรื่องราวตอนถัดไปได้ดีเยี่ยม
- ภาพรวมทั้งซีรีส์เล่าเรื่องได้กระชับ ตราตรึง ดุดัน ไม่ยืดเยื้อ
- มีพากย์ไทย
Cons
- ถ้าเปรียบเทียบกับ GOT ช่วงเปิดเรื่องยังสู้ไม่ได้ แต่ก็ยังเหนือชั้นกว่าซีรีส์หลายเรื่อง
- ฉากต่อสู้ยังมีน้อย ซึ่งก็ตามนิยายต้นฉบับ
House of the Dragon HBO รีวิว ซีรีส์ภาคแยกของ Game of Thrones บอกเล่าเรื่องราวก่อนหน้า 172 ปี ก่อนที่ แดเนริส ทาร์เกเรียน จะถือกำเนิด โดยเป็นเรื่องราวของตระกูลทาร์แกเรียนในยุครุ่งเรืองก่อนจะเข้าสู่ช่วงเสื่อมถอย และการแย่งชิงอำนาจเพื่อการสืบทอดบัลลังก์เหล็ก โดยเฉพาะการช่วงชิงสิทธิในบัลลังก์เหล็ก ระหว่าง เรนีร่า กับ ราชินี อลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนรักและแม่เลี้ยงของตนเอง ที่ต้องช่วงชิงสิทธิ์นี้ไว้กับบุตรชายของนาง
โดยในซีซันแรก จะเป็นการปูเรื่องราวที่มาที่ไปของความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มใหญ่คือ คณะดำ ของ เจ้าหญิงเรนีร่า และ คณะเขียว ของ ราชินีอลิเซนต์ ที่มีเหล่าผู้สนับสนุนแบ่งเป็นสองฝ่ายใหญ่ นับเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม มังกรเริงระบำ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นความเสื่อมถอยของตระกูลทาร์แกเรียน รวมถึงเป็นสงครามที่ส่งผลให้เหล่ามังกรสูญสิ้นชีวิตไปแทบทั้งหมดด้วย
House of the Dragon จะมีทั้งหมด 10 ตอน ฉายครบจบทุกตอนแล้ว สามารถรับชมได้แล้ววันนี้ทาง HBO GO
House of the Dragon Trailer
House of the Dragon HBO เรื่องย่อ
เนื้อหาหลักของซีรีส์ชุดนี้จะอ้างอิงมาจากในหนังสือชุด Fire & Blood หรือ อัคคีและโลหิต มีลิขสิทธิ์พิมพ์กับแพรวสำนักพิมพ์ 2 เล่มจบ ซึ่งเนื้อหลักจะมาจากส่วนหนึ่งของหนังสือ ซึ่งจับความเหตุการณ์ภายในตระกูลทาร์แกเรียนในยุคสมัยที่ยังมีมังกรอยู่มากมาย แต่ก็กำลังเผชิญหน้ากับความวุ่นวายในการสืบทอดราชบัลลังก์ในยุคสมัยของกษัตริย์วิเซริส ทาร์แกเรียน ที่กำลังมีปัญหาเรื่องรัชทายาท ทำให้นำไปสู่การช่วงชิงอำนาจภายในคิงส์แลนดิ้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะมีตัวละครหลักที่เป็นศูนย์กลางคือ เจ้าหญิงเรนีร่า ทาร์แกเรียน (บรรพบุรุษของแดเนริส) และ อลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนรักและแม่เลี้ยงของนางที่สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็กลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตเพราะการช่วงชิงสิทธิในบัลลังก์เหล็ก และ เจ้าชายแดม่อน ทาร์แกเรียน น้องชายของกษัตริย์วิเซริส ผู้เป็นนักรบที่เก่งกล้าและดุดันที่สุดในยุคสมัยนั้น
เรื่องราวจะเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็กของเจ้าหญิงเรนีร่า ที่ต้องการแสดงความสามารถให้กษัตริย์วิเซริสผู้เป็นพระบิดายอมรับ แต่ด้วยปัญหาที่วิเซริสไม่สามารถมีบุตรชายจากพระราชินีได้ ทำให้เกิดปัญหาผู้สืบทอดราชบัลลังก์ขึ้นมา โดยผู้ที่มีสิทธิในบัลลังก์อีกคนก็คือเจ้าชายแดม่อนผู้เป็นน้องชาย แต่วิเซริสก็เลือกที่จะแต่งตั้งเจ้าหญิงเรนีร่าขึ้นมาเป็นรัชทายาทแทน ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้กลับกลายเป็นที่มาของปัญหาและสาเหตุแห่งความขัดแย้งในราชวงศ์ทาร์แกเรียนที่จะเป็นจุดเสื่อมถอยและจะนำไปสู่หายนะของตระกูลทาร์แกเรียนและจุดสิ้นสุดของยุคสมัยแห่งมังกร ดั่งที่ปรากฏในต้นเรื่องของ Game of Thrones นั่นเอง
House of the Dragon HBO รีวิว
ต้องยอมรับว่านี่เป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่สมการรอคอย จากภาคแยกของ Game of Thrones ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมมหากาพย์สุดยิ่งใหญ่โดย George R.R. Martin ที่ได้สร้างปรากฏการณ์ให้ HBO ได้กลับมาผงาดนับตั้งแต่เริ่มฉายครั้งแรกเมื่อปี 2011 ทำให้มีผู้ชมและแฟนคลับทั่วโลก จนกระทั่งเรื่องราวปิดฉากลงหลังจากฉายจบซีซัน 8 เมื่อปี 2019 จากนั้นก็มีข่าวคราวมาตลอดถึงการสร้างซีรีส์ภาคแยกที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตระกูลทาร์แกเรียน (Targaryen) จนในที่สุดก็ออกมาเป็นซีรีส์ House of the Dragon เข้าฉายใน HBO ล่าสุด แล้วก็ทำได้ยิ่งใหญ่อลังการสมการรอคอยของแฟนๆทั่วโลกจริงๆ
สำหรับซีรีส์ House of the Dragon เป็นผลงานกำกับของ Ryan J. Condal โดยมีผู้เขียนอย่าง George R.R. Martin ดูแลด้วยโดยตรง ซึ่งงานครั้งนี้จะไม่ได้คู่หู David Benioff และ D.B. Weiss หรือแฟนๆชอบเรียกรวมว่า D&D ที่เป็นผู้กำกับจาก Game of Thrones มากำกับ ดังนั้นจุดที่แฟนบางส่วนเป็นห่วงก็คือ Ryan J. Condal จะเอาอยู่ไหมกับซีรีส์ที่ถูกคาดหวังมหาศาลจากแฟนคลับทั่วโลก แถมเจ้าตัวก็ไม่ได้มีผลงานที่คนดูจะถึงกับว้าวมากมาย ที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างแค่จากซีรีส์ Colony และภาพยนตร์ Rampage ซึ่งก็ไม่ใช่ผลงานที่โดดเด่นอะไร แต่ในแง่ดีอย่างหนึ่งคือ งานนี้ได้ผู้เขียนอย่างตาลุงจอร์จมาดูแลเองโดยตรง ดังนั้นการดัดแปลงบทต่างๆจากหนังสือ จึงไม่น่าจะเกิดขึ้นแบบที่ D&D ทำไว้กับ GOT ซีซันสุดท้ายจนทำให้สามตอนสุดท้ายของซีซัน 8 มีคะแนนแย่ที่สุดในซีรีส์เรื่องนี้
ในตอนนี้ยังมีอยู่ประโยคหนึ่งที่น่าจะเป็นการสรุปเรื่องราวของตระกูลทาร์แกเรียนได้ดีมาก นั่นคือ “สิ่งเดียวที่จะทำลายทาร์แกเรียนได้ก็คือตัวมันเอง” เป็นประโยคเปิดเรื่องที่สะท้อนถึงความเป็นมาเป็นไปของตระกูลผู้มีพลังในการควบคุมมังกรและสร้างความยำเกรงให้กับผู้คน ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็แพ้ภัยตนเองโดยไม่รู้ตัว
สำหรับภาพรวมการเปิดตัวของ House of the Dragon ต้องชมคนเขียนบทและทีมสร้างเอามากๆ ที่สามารถเล่าเรื่องทุกอย่างที่จำเป็นให้กระชับและครบถ้วนใน EP1 แทบทั้งหมด แถมยังเป็นการปูทางไปยังตอนต่อๆไปได้ดีเยี่ยม เพราะทำให้คนดูสามารถรับรู้ได้ว่า อะไรที่เรากำลังจะได้รับชมต่อไปจากนี้ ซึ่งข้อดีของมันก็คือ ต่อให้ไม่เคยดู Game of Thrones มาก่อนเลย คุณก็สามารถเพลิดเพลินกับเรื่องราวและโลกของเหล่าตัวละครได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาย่อยข้อมูลนานมากนัก แล้วสำหรับแฟนเดนตายของ GOT เมื่อได้ดูตอนนี้คงงต้องมีร้องว้าวกันแน่นอนกับ Hint ต่างๆ ที่เรื่องนำเสนอออกมา ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษของตระกูลสำคัญต่างๆใน GOT และบทสนทนาที่มีการเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวใน GOT ได้อย่างแยบยลและน่าทึ่งเอามากๆ
จุดสำคัญอย่างหนึ่งก็คือตัวละครแทบทุกตัวในเรื่องนี้ยังเต็มไปด้วยคนสีเทา ไม่มีใครที่เป็นสีขาวสะอาดเต็มร้อย ซึ่งก็เหมือนกับโลกความจริง การนำเสนอในหลายตัวละครเต็มไปด้วยการตีแผ่นสันดานมนุษย์อย่างถึงแก่น ไม่ว่าจะเป็น ความโลภ ทะเยอทะยาน ความริษยา การเห็นแก่ผลประโยชน์ทั้งส่วนตนและแก่วงศ์ตระกูลหรือพวกพ้อง การทรยศหักหลัง ทุกอย่างถูกวึนำมาเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวใน HOD แทบทั้งสิ้น
ซึ่งสุดท้ายแล้ว ไฮไลท์สำคัญของเรื่องราวทั้งหมดในซีรีส์ก็คือปมความขัดแย้งระหว่างอดีตสองเพื่อนรักในวัยเด็กอย่าง เจ้าหญิงเรนีร่า และ ราชินีอลิเซนต์ ซึ่งตรงนี้ซีรีส์ทำได้ดีมากๆ ว่าจากเด็กผู้หญิงสองคนที่เคยรักใคร่สนิทสนมกัน และเป็นเพื่อนผู้รู้ใจกันที่มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น สุดท้ายแล้วพวกนางกลับกลายมาเป็นศัตรูที่ต้องห้ำหั่นเพื่อชิงสิทธิในบัลลังก์เหล็กได้ยังไง
ในส่วนของงานสร้าง โปรดักชั่น จัดว่าอลังการ ดูยิ่งใหญ่ CG ของมังกรก็ทำออกมาดูดี รวมถึงฉากแอ็กชั่นที่พยายามนำเสนอออกมาในตอนแรกเพื่อไม่ให้มันกลายเป็นเรื่องแนวดราม่าพูดคุยชิงอำนาจอย่างเดียว ก็จัดว่าทำได้ดี ดนตรีและซาวน์ประกอบก็ดีเยี่ยม การเล่าเรื่องกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ เรื่องแทบจะไม่เสียเวลาดราม่าอืดอาด แม้จะเต็มไปด้วยบทสนทนามากมาย แต่แทบไม่มีฉากที่เสียเปล่าเลย แล้วเรื่องราวก็เข้าสู่ประเด็นต่างๆในทันที อีกทั้งด้วยการเกลี่ยบทตัวละครก็ทำได้ดี ทำให้คนที่เริ่มดูเข้าใจได้เลยว่าตัวละครแทบทุกคนในเรื่องนี้ต่างก็มีที่ทางและบทบาทของตนเอง
แล้วส่วนที่ต้องชมมากก็คือ นักแสดงหลักบางคน เช่น Matt Smith ที่มารับบทเป็น แดม่อน ทาร์แกเรียน ซึ่งเขาทำไว้ได้ดีเอามากๆในบทของเจ้าชายมังกรผู้ทะเยอทะยาน ดูโหดร้าย ไม่น่าไว้ใจ แต่ก็มีความอ่อนไหวและความกังวลอยู่ภายในที่ไม่สามารถระบายออกมาให้ใครรับรู้ได้ คือเรียกว่าทำได้ดีมากกับการตีความตัวละครนี้ซึ่งถือว่าเป็นตัวละครสำคัญมากในเรื่องราวนี้ สมกับตัวนักแสดงได้ฝากฝีมือการแสดงอันยอดเยี่ยมจากบทชายฟิลิปส์ในเรื่อง The Crown มาแล้ว และอีกคนที่ต้องชมก็คือนักแสดงสาว Milly Alcock ที่มารับบทสำคัญอย่างเจ้าหญิงเรนีร่าในวัยเด็ก ที่เธอทำได้ดีเกินคาด เช่นเดียวกันกับ Emma D’Arcy ที่มารับบทเจ้าหญิงเรนีร่าในตอนโต แม้ว่าออร่าพลังการแสดงของทั้งสองคนจะยังสู้ กับสมัยที่ Emilia Clark ทำไว้กับบทเจ้าหญิงแดเนริส แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก และอาจจะได้เห็นอะไรดีๆจากเธออีกในซีซันถัดไป
แล้วนักแสดงอีกคนหนึ่งที่การันตีได้ว่า เขาได้มีชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่หรือรางวัลใหญ่ในปีนี้แน่นอนก็คือ Paddy Considine ในบทของกษัตริย์ วิเซริส ผู้ปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบสุขยุคสุดท้ายของทาร์แกเรียน แต่การตัดสินใจของเขาก็เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมาแล้วเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทาร์แกเรียนล่มสลายด้วย ซึ่งการแสดงตรงนี้ Paddy ทำได้สุดยอดเอามากๆกับบทของกษัตริย์ผู้มีคุณธรรมและห่วงความสงบของบ้านเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็ขาดความเด็ดขาดและตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่างในฐานะผู้นำ การแสดงในบทนี้ของ Paddy ยอดเยี่ยมถึงขนาดที่ จอร์จ มาร์ติน ผู้เขียน ยังออกปากยกยองว่าทำได้ดีกว่าตัวละครวิเซริสที่เขาเขียนเอาไว้ในหนังสือเสียอีก เรียกว่าบทนี้จะกลายเป็นหนึ่งในภาพจำของคนดูแน่นอน โดยเฉพาะฉากสำคัญใน EP8 ซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันในโลกอินเทอร์เน็ต เพียงแค่ฉากสำคัญของเขาฉากนี้ฉากเดียวก็มีค่ามากพอที่จะส่งให้เขาได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงในปีนี้ได้เลย
หากจะมีจุดให้ติอยู่บ้าง เห็นจะมีเพียงเรื่องของออร่าของนักแสดงสมทบหลายคนยังดูธรรมดาไปสักหน่อย หากเปรียบเทียบกับสมัยครั้งที่ GOT ใน EP1 ที่เคยเปิดตัวละครต่างๆ ออกมามากมายในตอนเดียว แต่แทบทุกตัวมีออร่าดึงดูดและชวนให้ลุ้นถึงเส้นทางของแต่ละตัวละครมากกว่านี้ และอีกจุดหนึ่งคือ การเดินเรื่องที่ค่อนข้างรวดเร็วและมีความจำเป็นต้อง Time Skip เป็นระยะ ทำให้คนดูอาจจะรู้สึกเสียดายพลังการแสดงของนักแสดงนำบางคนที่มาเพียงไม่กี่ตอนก็ต้องเปลี่ยนนักแสดง โดยเฉพาะแม่หนู Emma D’Arcy แต่ก็ถือว่าเป็นความจำเป็นของบทที่ต้องใช้วิธีเล่าเรื่องแบบนี้ครับ ที่สำคัญคือนักแสดงที่เข้ามารับบทเรนีเร่าและอลิเซนต์แทนที่คนเดิมก็ทำได้ดีเยี่ยมเลย
อีกจุดเล็กๆ ที่อาจจะทำให้คนที่ไม่ได้อ่านนิยายมาเสียดายคือ ฉากแอ็กชั่นและฉากสู้รบในสงครามที่มีน้อย แม้จะมีฉากสงครามปราบกบฎช่วงต้นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ก็มีแค่นั้น ซึ่งตรงนี้ก็ช่วยไม่ได้เพราะโดนแก่นของ GOT เน้นไปที่เรื่องการเมือง การเจรจา การตีแผ่สันดานมนุษย์ ความทะเยอทะยานในอำนาจ และความโหดดิบในโลกของการเมือง มากกว่าจะเน้นฉากสงครามอยู่แล้ว แถมในนิยายต้นฉบับเอง บทสงครามใหญ่จะเริ่มหลังจากนี้ด้วย
ในภาพรวมแล้ว นี่เป็นซีรีส์ระดับสุดยอดของวงการอีกเรื่องหนึ่งแน่นอน เป็นการต่อยอดและขยายจักรวาลของ GOT ให้หากินต่อไปได้อีกเรื่อยๆ อีกมาก แล้วที่สำคัญคือเรื่องราวสามารถรักษามาตรฐานต่อมาได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมกับการเล่าเรื่องราวที่พีคขึ้นทุกตอน จนกระทั่งจบซีซันแรก
สำหรับ House of the Dragon ss1 มีทั้งหมด 10 ตอน โดยแค่การฉายตอนแรกก็ได้สร้างสถิติผู้ชมสูงสุดตลอดกาลของช่องกว่า 10 ล้านคนไปแล้ว ซึ่งหลังจากจบตอนสุดท้ายของซีซันแรก เรื่องราวก็ได้ปูทางไปยังศึกใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในซีซันต่อไปคือ มังกรเริงระบำ อย่างแน่นอน แฟนๆของซีรีส์ GOT สามารถรับชมได้แล้ววันนี้ทาง HBO GO เท่านั้น
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference