playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว CRAWL คลานขย้ำ ไอ้เข้สองมาตรฐาน (ไม่สปอยล์)

Crawl คลานขย้ำ

สรุป

หน้าหนังกับเครดิตผู้สร้างเหมือนจะทำให้หนังแปลกใหม่ได้ แต่สุดท้ายก็วนอยู่จุดเดิม แต่หนังก็ยังสนุกเซอร์วิชแฟนๆ หนังสัตว์กินคนได้ดีอยู่

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • จระเข้ดูสมจริง
  • ประเด็นครอบครัวทำได้ดี

Cons

  • หนังเดินเรื่องวนแค่ในบ้าน
  • มีความไม่สมจริงหลายจุด
  • หนังสั้นมากมาย

รีวิว Crawl คลานขย้ำ การกลับมาของหนังแนว “สัตว์กินคน” ที่ปกติมักจะเป็นหนังทุนต่ำเกรดบี โดยคราวนี้ใช้พล็อตกับสูตรสำเร็จ (เกือบ) ใหม่จากหนังคัลซ์ชื่อดัง Sharknado ที่เป็นฝูงฉลามบินมากับพายุทอร์นาโด มีมาแล้วหลายภาค (สนใจดูจาก Netflix ได้ คลิกที่นี่) กลายมาเป็นหนังแนวเป็นสมจริงมากกว่าด้วย จระเข้+เฮอริเคนระดับ 5 (สูงสุดแล้วของมาตราวัด) ถล่มเมืองจนน้ำท่วม ทำให้ไอ้เข้ออกอาละวาดได้อย่างสะดวกโยธิน และหนังเรื่องนี้ยังได้ชื่อเสียงเครดิตของ “แซม ไรมี่” ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง มาขายความคาดหวังเต็มๆ จากการที่เขาเป็นโปรดิวเซอร์ เรื่อง Don’t Breathe ซึ่งกลายเป็นงานหนังสยองขวัญยุคใหม่ที่เฉียบทั้งพล็อตและชั้นเชิงการเล่าเรื่องสุดยอด ส่วนตัวผู้กำกับก็คือ Alexandre Aja ที่มีผลงานที่จดจำได้มากสุดจากหนังสยองขวัญเรื่อง The Hills Have Eyes ซึ่งทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่ช่วยยกระดับ Crawl หนัง “จระเข้กินคน” เรื่องนี้ให้น่าดูในระดับ A+  เลยทีเดียว

Crawl
ด้วยเครดิต Don’t Breathe นี่แหละ ที่ทำให้ Crawl ดูน่าสนใจมากกว่าปกติเลยทีเดียว

สำหรับแฟนหนังแนวสัตว์กินคน (ผมก็ด้วย) คงคล้ายๆ กันคือดูหนังเกรดบีมาจนชิน ไม่คิดอะไรมากมาย เพราะหนังแนวนี้มักทุนน้อย พล็อตก็คล้ายๆ กัน ว่าต้องมีสัตว์อะไรสักอย่างออกมาอาละวาด แล้วก็มีตัวละครติดอยู่ในที่ๆ ไอ้เจ้าตัวนี้อยู่ อันนี้ต้องแยกกันก่อนว่า หนังแนว “สัตว์ประหลาดกินคน” กับ “สัตว์กินคน” มีความแตกต่างกันอยู่ แบบแรกมักจะเป็นหนังที่ต้องพึ่งการออกแบบตัวประหลาดน่าเกลียดน่ากลัว ต้องมีที่มาที่ไปลึกลับซ่อนเงื่อน ออกแนววิทย์มาเกี่ยวข้องซะส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะมีทุนพอตัว ต่างกับพวกหนัง “สัตว์กินคน” ซึ่งจะเป็นสัตว์ทั่วไปที่ดุร้ายด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างไปอยู่ถิ่นมัน หวงลูก อาหารขาดแคลน หรือไม่ก็ติดเชื้อโรคอะไรสักอย่างทำให้ดุตัวโตกว่าปกติ ซึ่งในสมัยก่อนแนวนี้ฮิตมากๆ มีตั้งแต่ นก หนู แมลง มด หมา ลิง หมูป่า เสือ สิงโต จนมาถึงพวกสัตว์ยอดฮิตอย่าง ฉลาม และจระเข้ก็เป็นอีกตัวที่ถูกจับมาทำแล้วไม่รู้กี่รอบเช่นกัน ซึ่งในไทยก็หยิบมาทำล่าสุดคือ The Pool นรก 6 เมตร ที่มีทั้งคนชอบและไม่ชอบพอๆ กัน (แต่หนังทำเงินไปกว่า 50 ล้านบาท) ที่ต้องเกริ่นตรงนี้เพราะนี่เป็นแนวหนังที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มระดับหนึ่ง สำหรับแฟนหนังแนวนี้ไม่ได้จะใส่ใจอะไรมาก ขอแค่ให้เห็นฉากสัตว์จับคนกินสนุกๆ ก็พอใจแล้ว เพราะที่ผ่านมามันก็ไม่ได้เคยมีอะไรมากกว่าที่เห็น ดังนั้นการไม่คาดหวังตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีปัญหา แต่สำหรับตัวผมเองดันมีปัญหากับความน่าเชื่อถือของหนังนี่สิ…

CRAWL รีวิว คลานขย้ำ
3 นักแสดงหลัก 2 คน 1 หมา

บอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้ยังสนุกอยู่ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนหนังแนวนี้ หรือไม่ใช่ก็ตามที ตัวหนังมีพล็อตที่ดี มีโครงเรื่องที่แข็งแรง ยิ่งในส่วนความสัมพันธ์พ่อลูกในเรื่อง ที่หนังปูมาตั้งแต่เริ่มว่าพ่อเป็นโค้ชส่วนตัวให้นางเอกเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ซึ่งก็ผนวกเข้ากับชีวิตครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน นางเอกห่างหายจากพ่อ และก็มาตามหาพ่อที่หายไปท่ามกลางคำเตือนพายุเฮอริเคนถล่ม ซึ่งก็กลายเป็นการผจญภัยร่วมกันเอาชีวิตรอดทั้งจากภัยธรรมชาติ จระเข้ และแก้ปมปัญหาครอบครัวไปพร้อม ในส่วนเรื่องราวเหล่านี้ หนังทำออกมาได้มิติดีครบถ้วน แม้ว่าช่วงแรกจะยืดๆ กินเวลาเรื่องนางเอกตามหาพ่อนานพอตัวเหมือนกัน (ราวๆ 20 นาที) ซึ่งหนังเรื่องนี้สั้นมาก แค่ 87 นาที (รวมเครดิต) หลังจากเสียเวลาไปช่วงแรกแล้ว หนังก็เดินเรื่องลุยเข้าเรื่องจระเข้ทันที พร้อมกับมีเซอร์ไพรส์เพิ่มนิดนึงจากเทรลเลอร์เท่านั้น

จระเข้มีหลายตัว เป็นฝูงเต็มเมืองไปหมด

หนังก็เดินเรื่องไปตามสูตรทุกอย่าง แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาก็คือ ความน่าเชื่อถือในเรื่องความสมจริงหลายจุด ซึ่งจริงๆ ถ้าหนังออกตัวว่าเว่อร์ๆ แบบ Sharknado หรือหนังเกรดบีปกติก็คงคิดน้อยกว่านี้ แต่ด้วยหน้าหนังกับเครดิตผู้สร้าง ทำให้คิดว่าหนังควรจะจริงจังกับความสมจริงมากกว่าหนังเกรดบีทั่วไปครับ ปัญหาคอหนังเริ่มต้นด้วยการให้ตัวละครหลักเจ็บหนัก กระดูกหักทิ่มแทงออกมาด้านนอก ซึ่งบาดแผลระดับนี้ไม่ใช่เล็กๆ ที่ยังมาเดินเหินอยู่ได้แบบแทบจะปกติ ไม่เหมือนคนกระดูกหักแต่อย่างใด (จากประสบการณ์ตรงที่เคยหักแบบนี้ อาการเสียเลือดออกจนวูบหมดสติแน่นอน) รวมถึงการที่ถูกกัดเต็มๆ หลายครั้ง ก็ยังดูไม่เป็นอะไรมาก ซึ่งการถูกจระเข้งับเต็มข้อขนาดนั้นไม่น่าจะรอดตั้งแต่ต้นๆ เรื่องแล้ว (แรงกัดจระเข้สูงกว่าเสืออีกนะครับ) คือเข้าใจว่าเพราะเป็นตัวเอกก็เลยต้องรอด แต่ในเรื่องกลับให้เหล่าตัวประกอบที่เข้าฉากน้อยมากๆ ตายแบบทีเดียวจอด ตัวขาด แขนขาขาดกระจุย เอาว่าเป็นตัวประกอบจะตายง่ายก็ไม่แปลก แต่มันแปลกตรงที่ไอ้เข้กัดแบบเดียวกันกับตัวเอกดันไม่เป็นแบบนี้ เหมือนไอ้เข้ในเรื่องสองมาตรฐานยังไงพิกล แถมเรื่องนี้ยังใช้งานตัวประกอบไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ในหนังเกรดบีทั่วไปมักจะมีบทตัวละครเหล่านี้ดิ้นรนเอาตัวรอดสุดชีวิตให้มีลุ้นก่อนตาย แต่เรื่องนี้มาไวไปไวเหมือนค่าตัวหมด ซึ่งก็น่าเสียดายเพราะหนังสามารถขยายซีนฉากลุ้นเสียวก่อนตายได้มากกว่านี้

ฉากที่ดีที่สุดอยู่ในเทรลเลอร์หมดแล้ว รวมถึงฉากนี้ด้วย

เหมือนคนเขียนบทต้องการสร้างให้ฝ่ายมนุษย์เจ็บหนักเสียเปรียบจระเข้ตั้งแต่เริ่มแบบไม่จำเป็น เพราะในพื้นที่แบบนั้นจระเข้ก็ได้เปรียบมากอยู่แล้ว แถมเอาจริงๆ ก็ไม่เห็นจะรู้สึกว่าบาดแผลใหญ่ๆ ของนางเอกจะมีผลกับเนื้อเรื่องตรงไหนเลย ซึ่งดูไปก็กวนใจคนดูอย่างผมว่า แผลเหวอะขนาดนั้น แต่ทำไมดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย แถมยังว่ายน้ำดำน้ำได้เป็นปกติอีกต่างหาก ซึ่งจริงๆ เลือดที่ออกขนาดนั้นน่าจะทำให้น้ำคลุ้งไปด้วยเลือดเต็มไปหมดแล้ว ตัวจระเข้เองก็ไม่ได้กลิ่นเลือด ผิดจากความจริงที่จระเข้รับรู้กลิ่นได้ทั้งใต้น้ำและเหนือน้ำ (ประสาทสัมผัสด้านการรับกลิ่นของจระเข้นั้น นอกจากจมูกเป็นปุ่มกลมนูนที่ปลายปากแล้ว ยังมีกระเปาะเป็นโพรงภายในปาก จึงสามารถรับรู้กลิ่นได้ทั้งบนบกและในน้ำ อ้างอิงจากเว็บกรมประมง) แต่ในเรื่องกลับตัดเรื่องการรับรู้กลิ่นออกไป ไปใช้การได้ยินเสียงเป็นหลักในการติดตามเหยื่อ ซึ่งความจริงจระเข้รับรู้ทั้งจากกลิ่นและก็การสั่นสะเทือนในน้ำ ไม่ใช่แค่เสียงเคาะท่อก็ล่อจระเข้แบบในเรื่องได้ (ขนาดตาแก่ตาบอดใน Don’t Breathe ยังหลอกแบบนี้ไม่ได้เลย) รวมถึงสายตาจระเข้ก็ดีในที่มืด ไม่ใช่แบบที่ในเรื่องบอกว่าสายตาไม่ดี การเคลื่อนที่ต้วมเตี้ยมเวลาล่าเหยื่อด้วยยิ่งผิดไปใหญ่ เพราะความจริงจระเข้วิ่งไวไม่แพ้มนุษย์เลยต่างหาก รวมๆ แล้วจระเข้ในเรื่องนี้ดุจริง แต่กลับโดนดรอปความสามารถไปหลายอย่างซะงั้น

แม้พล็อตเรื่องราวจะดูใหญ่โตจากเฮอริเคนระดับ 5 ถล่มเมือง แต่หนังทำด้วยทุนจำกัด (13.5 ล้านเหรียญ) จึงพยายามจำกัดพื้นที่เรื่องราวให้แคบๆ อยู่แค่ไม่กี่จุดในบ้าน แม้จะออกนอกบ้านมาได้ ไม่ทันไรก็ต้องหาเรื่องให้เข้าไปในบ้านอีก ซึ่งก็มีช่วงติดในที่เดิมนานๆ แอบเบื่อเล็กๆ อยู่เหมือนกันที่เรื่องวนไม่ไปไหน ซึ่งถ้าหนังขยายโลเกชั่นออกไปสำรวจในเมืองได้ เอาแค่ข้ามไปยังซูเปอร์มาเก็ตฝั่งตรงข้ามได้ก็ยังดี เรื่องก็คงมีอะไรให้เล่นมากกว่าฉากจระเข้ไล่จับคนวนในบ้านแบบนี้ ส่วนตัวแอบผิดหวังกับขนาดสเกลเรื่องตรงนี้กับหน้าหนังมากเหมือนกันครับ

CRAWL
เล่นไล่จับกับไอ้เข้ตั้งแต่ใต้ถุนบ้านจนถึงในบ้าน ไม่ไปไหนเลย – CRAWL รีวิว คลานขย้ำ

แต่ไม่ว่าอย่างไง นี่ก็เป็นหนังที่ตอบโจทย์หนังสัตว์กินคนได้โอเคอยู่ แม้ว่าจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ แบบที่คิดว่าผู้สร้างระดับนี้น่าจะทำให้แตกต่างได้ ส่วนตัวถ้าเทียบกับหนังจระเข้เก่าๆ อย่างที่ชื่นชอบมากก็เรื่อง Lake Placid โคตรเคี่ยมบึงนรก  Crawl คลานขย้ำ ก็ไม่ได้ดีกว่าในทุกๆ ทาง  แต่ในสมัยนี้ที่หาดูหนังแบบนี้ได้ยากขึ้น สำหรับแฟนหนังสัตว์กินคนก็เป็นเหมือนหนังบังคับดูนั่นแหละครับ แต่สำหรับคนดูทั่วไปไม่ดูก็ไม่ได้รู้สึกว่าพลาดอะไร ข้ามไปได้เลยเหมือนกันครับ

ปล.หลายคนอาจจะอยากให้เทียบกับ The Pool หนังจระเข้ไทยเรื่องล่าสุด ส่วนตัวผมว่าแค่ดีกว่านิดหน่อย บท The Pool อาจจะแย่ แต่ก็มีตอนจบที่โหดร้ายให้ได้จดจำอยู่ ส่วนเรื่องนี้ถ้าไทยสร้าง ก็ต้องโดนจับผิดสารพัดเหมือนกันครับ

ตัวอย่างหนัง CRAWL คลานขย้ำ

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!