playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Dead to Me SS1-2 ชนแล้วหนีซับซ้อนวุ่นวาย พร้อมตลกร้ายแฝงพลังมิตรภาพ หญิง-หญิง สุดวายป่วง!

  • คะแนน SS1 - 8/10
    8/10
  • คะแนน SS2 - 9/10
    9/10

สรุป

ซีรีส์ตอนสั้นๆ 25-30 นาที 10 ตอนจบ ซีซั่นแรกเรื่องราวเน้นดราม่าสูง แต่ก็ทำออกมาสนุกก็มีตลกร้ายแทรกไปตลอดเรื่องกับมิตรภาพหญิง-หญิง เรื่องมีแนวสืบสวนหาความจริงในคดีชนแล้วหนีมากพอสมควร แต่พอมาซีซั่น 2 เหมือนไม่ต้องปูดราม่าแล้วจึงจัดเต็มกับตลกร้ายได้เต็มที่โดยไม่เสียเวลาใส่ดราม่าเพิ่มอีกแล้ว แถมด้วยความซับซ้อนผูกโยงกันวุ่นวายในคดีต่อเนื่องจากซีซั่นแรก ที่ทำได้สนุกเฮฮามากกว่าเดิมหลายเท่า ตลอดตั้งแต่ตอนแรกยันตอนจบเลย

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (3 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • หนังเล่นกับตลกร้ายที่แสบทรวง
  • มีความแรงของการใช้ภาษาหยาบคายแต่ตลกไปพร้อมกัน
  • มุมมิตรภาพผู้หญิงที่มีหลายอย่างน่าสนใจ
  • จุดหักมุมกับเฉลยย่อยๆ ที่ดักทางคนดูให้เดาไม่ได้หลายครั้ง
  • นักแสดงทั้งคู่เล่นได้เข้าขากันดีมาก
  • มีรายละเอียดคดีอาชญากรรมแนวชนแล้วหนีจากเรื่องจริงที่น่าสนใจให้ดู

Cons

  • ซีซั่น 1 มีเรื่องราวดราม่าปูเยอะจนอาจจะดูอืดๆ อยู่บ้างในบางตอน
  • ซีซั่น 2 มีการตัดข้ามไม่ให้เห็นศพในเรื่องจนรู้สึกเรื่องกระโดดข้ามมากไปบางครั้ง (เข้าใจว่าเพื่อลดโทนความน่ากลัวรุนแรงลง)
  • มีเรื่องฟลุ๊คดวงดีบังเอิญให้ตัวเอกทั้งคู่รอดตัวไปหลายครั้งจนดูเกินจริงไปบ้าง

รีวิว Dead to Me Season 1-2 ซีรีส์แนวดราม่าดาร์คคอมเมดี้ของ Netflix เรื่องราวของ “เจน” หม้ายลูกสองที่สามีถูกรถชนแล้วหนี 2 เดือนคดียังไม่คืบ แต่แล้วเธอกลับได้เจอ “จูดี้” ที่สนิทกันจนเป็นเพื่อนซี้ โดยไม่รู้เลยว่าจูดี้คือคนที่เกี่ยวข้องด้วยกับคดีนั้น!

ตัวอย่างซีรีส์ Dead to Me ซีซั่น 1

รีวิวซีซั่น 1

หมายเหตุ:รีวิว ss1 นี้ไม่ขอเอ่ยถึงตัวละครหลักอื่น เพราะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาสปอยล์สำคัญของเรื่อง

ซีรีส์ติดท็อปฮิตใหม่ของ Netflix 2019 ที่เรียกว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะ ด้วยพล็อตง่ายๆ ของเรื่องราวคดี “ชนแล้วหนี” ที่ปกติจะมาแนวสืบสวนระทึกขวัญตามไล่จับฆาตกรอะไรแบบนั้น แต่เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของชีวิตทั้ง 2 ด้านของผู้สูญเสียกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งปกติคงเป็นอะไรที่เศร้ามากๆ และในเรื่องนี้ก็ยังคงมีอารมณ์นั้นอยู่ครบถ้วน แต่ว่าเพิ่มเติมคือเรื่องราวตลกร้าย แนวแบดโจ๊กที่เข้ากับชีวิตบัดซบหดหู่ในเรื่องได้เป็นอย่างดี

หนังเล่าเรื่องราวของ “เจน” หม้ายลูกสองที่หลังสามีถูกรถชนตายผ่านไป 2 เดือนแล้วคดีก็ยังไม่ถึงไหน เพราะไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุเลย ซึ่งตามสถิติแล้วโอกาสที่จะตามผู้ก่อเหตุได้แทบไม่มี… ตำรวจจึงแทบเกียร์ว่างกับคดีนี้ จนทำให้เจนกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์หัวร้อนง่าย ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ แถมยังชอบเดาส่งเดชแจ้งตำรวจให้ตรวจสอบรถทุกคันที่เธอสงสัยว่าอาจจะใช่คันที่ชนสามีเธอ จนวันหนึ่งเธอได้พบเจอกับ “จูดี้” ที่เข้ามาตีซี้เธอในกลุ่มปรับทุกข์ของผู้สูญเสียคนรัก และก็ถูกชะตาจนทำให้เธอต้องพาจูดี้เข้ามาอยู่บ้านด้วยกันเพื่อช่วยเยียวยาใจกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าจูดี้คือคนที่เกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง และก็มีอะไรอีกมายมายตามมานับไม่ถ้วน

จูดี้กับเจน
จูดี้ (ล่าง) เจน (บน) สองตัวละครหลักของเรื่อง

ปกติพล็อตเรื่องแบบนี้ถ้าอ่านผ่านๆ คงคิดว่าหนังมาแนวฆาตกรตีซี้เพื่อมาสืบคดีบลาๆๆ แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้เลย หนังกลับนำเสนอเรื่องราวชีวิตแย่ๆ จากสภาพจิตใจที่แตกสลายไม่ฟื้นกลับมาหลังเกิดอุบัติเหตุของทั้งคู่ ผ่านมุมมองการเยียวยาใจกันและกัน กลายเป็นหนังมิตรภาพระหว่างเพื่อนในแบบที่เป็นไปได้จริงๆ โดยที่ไม่ทิ้งเรื่องราวสืบสวนไปพร้อมกัน ซึ่งนอกจากสืบเรื่องคดีหลัก หนังยังเจาะลึกไปยังเรื่องราวปัญหาครอบครัว ชีวิตการแต่งงาน ซึ่งเธอเองก็อาจจะเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้สามีตายได้ด้วยเช่นกัน

จุดเด่นของเรื่องนี้คือการที่นำตัวละครจูดี้เข้ามาในชีวิตของเจนแบบที่ไม่ได้ดูเป็นคนร้าย เพราะตัวจูดี้เองก็เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจมากเช่นกัน ซึ่งตัวละครจูดี้เป็นคนอ่อนไหว เชื่อโชคลาง มีจิตสำนึกความผิด แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่ยอมรับโทษได้ โดยจูดี้พยายามอย่างหนักที่จะหาทางเยียวยาความผิดที่ตัวเองก่อกับครอบครัวของเจน โดยเข้ามาเป็นเพื่อนเจนช่วยเหลืออยู่เคียงข้างทุกอย่าง และมีภารกิจพิชิตใจลูกชายของเจนให้ยอมรับเธอไปพร้อมกัน ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกผิดบาปตลอดเวลา จนอยากสารภาพความผิดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถลำลึกไปในความสัมพันธ์นี้มากขึ้นทุกที ซึ่งทำให้หลายๆ เรื่องกลายเป็นตลกร้าย เมื่อเจนต้องปรึกษาหาทางสืบคดีนี้โดยให้จูดี้ช่วย โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนเกี่ยวข้องที่สำนึกผิดนั่งอยู่ข้างๆ แถมเจนก็หัวร้อนสติแตกอยู่บ่อยๆ โดยที่มีจูดี้ที่คอยเป็นเพื่อนปลอบใจเสมอ ซึ่งพอดูๆ ไปอาจจะเแปลกสักหน่อยที่เราเองก็รู้สึกอึดอัดสงสารจูดี้ จนแอบเอาใจช่วยเธอลุ้นให้หาทางออกได้อยู่เหมือนกัน จากการเห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เป็นไปอย่างดีงาม จนรู้สึกว่านี่เป็นหนังมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่ดีมากเรื่องหนึ่ง

มุกไม้กางเขน
มุกไม้กางเขนก็ยังเอามาทำตลกได้ เพราะสามีของเจนไม่ได้เป็นคนนับถือศาสนา แต่ที่เกิดเหตุจูดี้ดันเอาไม้กางเขนมาปักไว้ แล้วเจอเจนเขวี้ยงทิ้ง

นอกจากพาร์ทดราม่าแล้ว ส่วนของเรื่องราวการสืบสวน หนังนำเสนอเรื่องราวชนแล้วหนีแบบมีรายละเอียดที่ค่อนข้างดีเลยว่าคนที่ชนแล้วหนีคิดอะไร รวมถึงพวกนี้มักจะทำอะไรหลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และในอีกมุมหนึ่งการติดตามคดีแบบนี้ทำได้อย่างไร หลักฐานหรือพยานแบบไหนที่ใช้สืบตามรอยได้บ้าง หนังมีการเก็บรายละเอียดหลายอย่างมาให้ดูอย่างน่าสนใจ แม้อาจจะไม่ลึกสุดๆ เพราะนี่ไม่ใช่หนังสืบสวนโดยตรง แต่เป็นหนังตลกร้ายด้วยคำพูดเจ็บๆ ที่เกิดจากคดีชนแล้วหนีที่อัตราการจับกุมตัวได้น้อยมาก แต่ก็ทำให้เราได้เห็นภาพการติดตามคดีแนวนี้ได้ดีทีเดียว พร้อมทั้งชี้ช่องโหว่ทางกฎหมายให้เห็นอีกด้วย

ซีรีส์ Dead to Me เป็นตอนสั้นๆ 25-30 นาที 10 ตอนจบ ใช้เวลาการดูไม่มากเท่ากับซีรีส์ปกตินัก เรื่องราวเน้นดราม่าสูง อาจจะไม่ถูกใจคอสืบสวนโดยตรงนัก แต่ก็ทำออกมาสนุกก็มีตลกร้ายแทรกไปตลอดเรื่อง (ที่ขำได้จริงๆ) ซีรีส์นี้ได้ไปต่อซีซั่น 2 และก็จบเรื่องราวของคดีชนแล้วหนีในซีซั่นแรกอย่างลงตัว ก่อนจะมีเรื่องราวต่อในแบบที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ ว่าซีซั่น 2 จะไปต่อยังไง ถ้าหาหนังดราม่าสืบสวนที่มีแนวทางแตกต่างจากทั่วไป เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่แนะนำให้ดูเลยครับ


รีวิวซีซั่น 2

เนื้อหามีสปอยล์เรื่องราวบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับซีซั่น 1 

ตัวอย่าง Dead to Me SS2

ต้องบอกเลยว่าซีซั่น 2 สนุกมากกว่าซีซั่น 1 ซะอีก เหมือนผู้สร้างไม่ต้องรออุ่นเครื่องให้คนดูเข้าใจแนวทางของเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับความผิดบาปทุกข์ในใจ และการโกหกหลอกลวงที่ตั้งอยู่บนมิตรภาพความเป็นเพื่อนอีกที ผู้สร้างจึงจุดเครื่องสตาร์ทติดทันทีตั้งแต่ตอนแรกไล่ยาวจนครบ 10 ตอนแบบแทบไม่มีช่วงไหนแรงตกเลยแม้แต่น้อย

เรื่องราวมาพร้อมกับการกลับด้านจากทุกข์กับบาปในใจของจูดี้ในซีซั่นแรก เมื่อเจนกลายเป็นตกที่นั่งลำบากแบบเดียวกันจากการพลั้งมือฆ่าสตีฟแฟนของจูดี้ จนต้องแบกรับชะตากรรมนั้นดูบ้าง ซึ่งก็กลายเป็นว่าเธอก็พยายามทำแบบเดียวกันกับที่จูดี้เคยทำกับเธอ แม้จะบอกว่าพลั้งมือฆ่าสตีฟจากการที่จะโดนสตีฟทำร้าย แต่กลายเป็นว่ามีเรื่องราวที่แท้จริงซ่อนอยู่ในนั้นอีกเยอะมากกว่าที่เห็นในตอนจบซีซั่นแรก ที่ค่อยๆ เฉลยมาทีละนิดๆ และก็ผูกโยงกลับไปที่อุบัติเหตุชนแล้วหนีในซีซั่นแรกได้อย่างสมเหตุผล กลายเป็นปมใหม่ที่มีที่มาที่ไปจากปมเก่าแบบสับสนวุ่นวายมากกว่าเดิม จนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วใครผิดกันแน่ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น

การเปลี่ยนเรื่องจากคดีชนแล้วหนีมาเป็นคดีฆาตกรรมซ่อนศพก็ทำได้ดี มีเหตุผลบอกตั้งแต่แรกว่าทำไมเจนถึงไม่ไปแจ้งตำรวจ ซึ่งก็ทำให้คนดูเข้าใจได้แบบสมเหตุผล แม้ซีซั่นนี้จะเกี่ยวกับศพตรงๆ ตลอดเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ทำในแบบน่ากลัวสักเท่าไหร่ แม้จะมีฉากศพให้เห็นอยู่บ้าง แต่ก็ออกแนวตลกร้ายไปกับความพยายามของสองคนนี้ที่ช่วยกันปิดบังอำพรางคดี ในขณะที่ตำรวจกับ FBI พยายามตามหาสตีฟว่าอยู่ไหน เรื่องเดินไปแบบทำให้ทั้งคู่ต้องเจอกับปัญหาซ่อนศพชวนปวดหัวต่างนานา และก็ต้องหวาดเสียวเมื่อทั้งตำรวจและคนรอบตัวทั้งคู่เริ่มสงสัยว่าทั้งคู่พยายามปิดบังอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ

ในส่วนของมิตรภาพของทั้งคู่ก็ยังทำได้ดีเหมือนเดิม แม้ดูเหมือนว่าซีซั่นแรกจะหยิบมาเล่าไปเยอะแล้ว แต่กลายเป็นว่าซีซั่น 2 เรื่องยังสามารถใส่ปมและความน่าสนใจใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาได้อีกจากการที่มีตัวละครอื่นมาเกี่ยวข้อง เป็นเพื่อนสาวคนใหม่ของจูดี้ รวมถึงตัวละครไม่คาดคิดว่าจะกลับมาได้ก็กลับมาอีกครั้ง เรื่องไม่ทิ้งตัวละครในซีซั่นแรกไปเอากลับมาหมด และก็เพิ่มน้ำหนักความสำคัญขมวดตึงเข้ากับเรื่องได้ขึ้นไปอีก เพราะทุกคนเริ่มเข้ามาเกี่ยวกับคดีในคราวนี้มากขึ้น ต่างจากในซีซั่นแรกที่อยู่ห่างๆ เป็นแค่ปัญหาของทั้งสองคนเท่านั้น

สปอยล์ตัวละครที่ไม่คาดคิดว่าจะกลับมาในซีซั่น 2

ตัวละครที่ไม่คิดว่าจะกลับมาได้คือสตีฟนั่นเอง แต่มาในร่างตัวละครใหม่ชื่อ “เบน” เป็นน้องฝาแฝดของสตีฟ ซึ่งแม้บทจะเอามุกง่ายๆ ใส่มาแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดแต่อย่างใด กลับกลายเป็นความฉลาดของเรื่องนี้ที่เอาตัวละครคนหน้าเหมือนเพิ่มมาให้เจนที่ฆ่าสตีฟไปได้หลอนอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นยังทำให้เรื่องสับสนวุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเบนแอบมีใจให้เจน จนกลายเป็นการเปิดปมความสัมพันธ์อลเวงมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า 

 

ซีซั่นนี้ลดเรื่องดราม่าเครียดๆ ที่มีในซีซั่นแรกหายไปแทบทั้งหมด แต่ก็ยังมีปมของเรื่องความทุกข์ใจจากการโกหกอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แถมทวีคูณหนักขึ้นกว่าเดิมเพราะกลายเป็นทั้งคู่ต้องช่วยกันโกหก แต่ดันพูดไม่ตรงกันเป็นประจำ แถมเจนยังโกหกจูดี้ซ้ำลึกกว่าหนักกว่าที่จูดี้เคยโกหกเจนในซีซั่นแรกซะอีก

หนังยังคงมีส่วนตลกร้ายที่ทำได้อยู่หมัดเหมือนเดิม แถมยังเพิ่มดีกรีตลกมากกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ว่าเราขำได้หลายครั้งกว่าเดิม อาจจะเพราะพอเรื่องลดดราม่าหนักๆ หายไปทำให้เปิดโอกาสให้เล่นกับจังหวะตลกได้เต็มที่

ตัวเรื่องเปิดคดีใหม่ขึ้นมา และก็คลี่คลายเรื่องราวไปในตอนท้ายได้เกือบทั้งหมด จากนั้นก็เปิดปมใหม่เรื่องคดีชนแล้วหนีกลับมาอีกครั้งได้อย่างเหมาะเจาะ ต้องบอกว่าคนเขียนบทเรื่องนี้เก่งจริงที่โยงเรื่องวนกลับทับซ้อนไปมาได้อย่างน่าติดตามมากๆ เรียกว่าซีซั่น 2 นี้แรงดีไม่มีตกเลย แถมพาเรื่องให้ซับซ้อนวุ่นวายขึ้นได้อีกหลายเท่าแน่ๆ จากตอนจบของซีซั่น 3 ที่เจ๋งเอามากๆ ครับ

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!