playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Tom Clancy’s Without Remorse (Amazon Prime) บู๊ระห่ำดุเดือด แต่ไม่ถูกใจแฟนนิยาย (ไม่มีสปอยล์)

Tom Clancy's Without Remorse

สรุป

แม้หนังจะไม่ใช่แอ็กชั่นแบบฟอร์มยักษ์มาก แต่ก็มีความสนุกมันส์ๆ ให้ดูกันตลอดเรื่อง แต่ถ้าคนที่เป็นแฟนนิยายมาก่อนคงผิดหวังกับการดัดแปลงหลายอย่างในเรื่องมากพอดู

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ฉากแอ็กชั่นแนวพระเอกลุยเพื่อฆ่าตัวตายไม่สนใจชีวิตตัวเอง
  • จุดกำเนิดของตัวละครดัง จอห์น คลาร์ก ของ ทอม แคลนซี
  • ที่มาของทีม Rainbow six

 

Cons

  • เนื้อเรื่องเดาง่ายมาก ตัวร้ายแบบเดิมๆ ไม่แปลกใหม่
  • การดัดแปลงจากนิยายแบบแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม
  • ตัวพระเอก Michael B. Jordan ไม่ได้ดึงดูดมาก

Tom Clancy’s Without Remorse ลบรอยแค้น ผลงานดัดแปลงจากนิยาย ทอม แคลนซี เล่าถึงจุดกำเนิดตัวละคร จอห์น คลาร์ก สายบู๊ที่เป็นผู้ก่อตั้งทีม Rainbow six ในอนาคต
 Tom Clancy's Without Remorse (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Tom Clancy’s Without Remorse

หนังที่ทำลงโรงจาก Paramount Pictures แต่มาติดปัญหาโควิด ไม่ได้ฉาย สุดท้าย Amazon Prime มาซื้อไป ซึ่งเรื่องนี้ทางค่ายหนังตั้งใจเอามานิยายชุดตัวเอก จอห์น คลาร์ก ของ ทอม แคลนซี มาทำเป็นแฟรนไชส์ต่อกันยาวๆ โดยเล่ม Without Remorse เป็นจุดกำเนิดของตัวละครนี้ ซึ่งฉบับนิยายวางขายเมื่อปี 1993 ในเวอร์ชั่นนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงปรับโฉมใหม่ทั้งหมด เรียกว่าเอามาแต่ชื่อตัวเอกกับโครงหลวมๆ เท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กระแสตอบรับไม่ถูกใจแฟนๆ นิยาย จนทำให้คะแนนของเรื่องต่ำมากๆ (IMDB เฉลี่ยได้ 5 กว่า เว็บมะเขือได้ 40% กว่าเท่านั้น) แต่ผู้เขียนไม่ได้เป็นคนอ่านนิยายมาก่อน แต่ก็รู้จักทอมแคลนซี่ดีจากเวอร์ชั่นทั้งหนังและเกมที่ทำออกมาหลายภาคทั้งคู่ ดังนั้นในรีวิวนี้จึงเป็นมุมมองของคนดูหนังทั่วไปกับเรื่องนี้โดยตรงไม่มีเรื่องของนิยานมาปนครับ

เนื้อเรื่องถูกปรับจากสงครามเวียดนามมาเป็นยุคปัจจุบันที่จอห์นเองยังเป็นหน่วยซีลบุกเข้าไปชิงตัวประกันในตะวันออกกลาง ก่อนจะกลายเป็นว่าภารกิจนั้นศัตรูเป็นทหารรัสเซีย ซึ่งแม้จอห์จะเอาตัวรอดได้ แต่ก็กลายเป็นปริศนาคาใจว่าทำไมภารกิจที่ได้รับถึงกลายเป็นรัสเซียไปได้ ในเวลาต่อมาทีมที่ทำภารกิจนั้นกลับถูกเก็บในอเมริกาขณะอยู่กับครอบครัว จอห์นเองรอดมาได้แบบเฉียดตาย แต่เมียที่ตั้งท้องถูกฆ่า เขาจึงต้องสืบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นผู้บงการฆ่าที่แท้จริง

ตัวหนังทำออกมาเข้มข้นมากจากฉากการสืบสวนของจอห์น ที่เป็นสไตล์แปลกใหม่ด้วยการเอาตัวเองกับเหยื่อที่เขาต้องการเค้นข้อมูลไปอยู่ในจุดที่คับขัน อย่างการราดน้ำมันจุดไฟเผารถเหยื่อ แต่เขาเองกลับเข้าไปในรถเพื่อรีดข้อมูลด้วย ซึ่งเทคนิคบ้าดีเดือดของพระเอกในเรื่องนี้คือดิบสุดๆ แบบที่ไม่เคยมีตัวเอกหนังแอ็กชั่นในเรื่องอื่นทำมาก่อนแน่นอน และก็ไม่ได้มีแค่ฉากนั้นฉากเดียว แต่มีฉากอื่นที่เป็นแนวเดียวกันอีกครั้งในตอนจบ รวมถึงวิธีการช่วยเพื่อนแบบเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อคนเดียวให้โดนรุมทึ้งก็ด้วย โดยมีเหตุผลจากการที่พระเอกหมดความหวังในชีวิตแล้วจากที่เสียเมียกับลูกไป ทำให้การกระทำของพระเอกในเรื่องเป็นแนวลุยเพื่อไปตายดูสมเหตุสมผลในตัว

อีกจุดที่เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกในยุคนี้คือการที่พระเอกแม้จะเก่งมากๆ แต่ก็เจอยิงสวนเจ็บตลอดเรื่อง ไม่มีการไล่ยิงแบบเท่ๆ เหมือนจอห์นวิค ไม่มีฉากที่ตั้งใจยิงเท่ๆ อะไรทั้งสิ้น การที่พระเอกบาดเจ็บอยู่ตลอดเวลา บางครั้งถึงเจียนตาย ทำให้เรื่องดูสมจริงขึ้นมาก แม้เราจะรู้แหละว่ายังไงพระเอกก็ไม่ตายแน่ๆ

ฉากแอ็กชั่นใหญ่ในเรื่องนี้มี 3 ฉาก คือฉากเปิดเรื่องในตะวันออกกลาง ฉากเครื่องบินตก ฉากลุยในตึกรัสเซีย นอกนั้นคือฉากแอ็กชั่นแบบประปรายพอประกอบเรื่องเท่านั้น อาจจะเพราะด้วยเวลาของหนังสั้นมากแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง (ไม่รวมเครดิต) จึงทำให้ใส่ฉากไม่ได้เยอะ แต่ก็ทำให้เรื่องอัดฉากแอ็กชั่นเข้ามาต่อเนื่องได้กำลังดี เหมาะสมกับเวลาแล้วครับ

Jodie Turner-Smith and Michael B. Jordan star in WITHOUT REMORSE Photo: Nadja Klier © 2020 Paramount Pictures

ตัวเอกในเรื่องนี้ถูกปรับจากคนขาวมาเป็นคนดำ โดยได้ Michael B. Jordan มาเล่น ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร ทั้งจากการแสดงและการเปลี่ยนเชื้อชาติตัวละคร เพียงแต่ตัวไมเคิลเองก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดึงดูดหรือมีเสน่ห์มาก แต่นอกจากพระเอกแล้วหัวหน้าหน่วยซีลของพระเอกก็ถูกปรับเป็นสาวผิวดำเช่นกัน เล่นโดย Jodie Turner-Smith ที่ไม่ได้ดังหรือมีชื่อคนรู้จักมาก แต่บทนี้เองเข้าใจว่ามีความสำคัญสูงในตัวนิยาย มีความเชื่อมต่อโยงกับ โรเบิร์ต ริตเตอร์ เล่นโดย Jamie Bell หัวหน้า CIA ในอนาคตที่ทำงานร่วมทีมกับพระเอกในการก่อตั้งหน่วย Rainbow six ที่เป็นทีมต่อต้านการก่อการร้ายนานาชาติ โดยคัดทหารหลายชาติมารวมตัวกันผ่าน NATO ซึ่งในเรื่องนี้บางครั้งบทสนทนาจะเป็นแบบทั้งคู่รู้จักกันมาก่อนจากวิกฤติต่างๆ ซึ่งคนอ่านนิยายจะเข้าใจมากกว่าครับ

จุดด้อยของเรื่องจริงๆ คือบทที่ถูกปรับมาเป็นยุคใหม่แล้ว แต่ก็ยังเป็นแนวเดิมๆ ไม่แปลกใหม่ เดาได้ไม่ยาก ตัวร้ายก็ยังวนเวียนกับพล็อตเดิมๆ แนวหลอกใช้พระเอก ก่อนที่ตัวเอกจะรู้ตัวรอดตายแล้วกลับมาเอาคืน ซึ่งจุดหักมุมในเรื่องนี้จริงๆ ถือว่าไม่มีเพราะแทบเดาได้หมดทั้งเรื่อง แต่ถ้าดูเพลินๆ ไม่คิดมากนี่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเช่นกันครับ

สรุปแม้หนังจะไม่ใช่แอ็กชั่นแบบฟอร์มยักษ์มาก แต่ก็มีความสนุกมันส์ๆ ให้ดูกันตลอดเรื่อง แต่ถ้าคนที่เป็นแฟนนิยายมาก่อนคงผิดหวังกับการดัดแปลงหลายอย่างในเรื่อง ซึ่งสุดท้ายพอไม่ได้ฉายโรงด้วยก็ไม่รู้ว่าผลตอบรับในตอนนี้ จะทำให้ตัวละครจอห์น คลาร์ก ได้ทำภาคต่อไปรึเปล่าครับ (แต่เรื่องก็จบแบบไม่มีติดค้างอะไร)

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ Amazon Prime VIDEO เพิ่มคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!