playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ Schmigadoon! (Apple TV+) ชมิกาดูน! เมืองมิวสิคัลอัศจรรย์หรรษาเฮฮาสุดๆ

Schmigadoon! ชมิกาดูน!

สรุป

ซีรีส์แนวมิวสิคัลที่ดูเชยๆ แต่รับรองเลยว่าไม่ใช่แบบที่คิด แม้คนที่ไม่ชอบแนวมิวสิคัลก็ยังอาจจะเผลอใจรักเรื่องนี้ได้อย่างงงๆ ต้องทดลองดูกันเองสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นครับ

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ตลกเสียดสีแนวมิวสิคัลด้วยกันเองตลอดเวลา
  • ประเด็นความรักแบบยุคสมัยใหม่ที่เข้าไปในโลกหัวโบราณคลาสสิก
  • เพลงเพราะ ความหมายเล่าเรื่องดี สนุกกับฉากเต้นที่ครีเอทได้ฮามาก
  • นักแสดงโอเวอร์แอ็กติ้งจัดเต็มกับเรื่องมาก
  • งานโปรดักชั่นทำของเทียมเหมือนละครเวทีเนียนไปกับเรื่องได้ดีมาก
  • เรื่องไม่ได้ใสๆ แต่ทะลึ่งพอตัวเลย
  • ตอนสั้นแค่ 30 นาทีจบ มี 6 ตอน

 

Cons

  • มีมุกจิกกัดหนังต่างๆ ในเรื่องเยอะ คนที่ไม่ได้ดูหนังเก่าๆ มาอาจจะไม่เก็ท

 

Schmigadoon! ชมิกาดูน! ซีรีส์ Apple TV+ แนวตลกมิวสิคัลล้อเลียนแนวเดียวกันเองสุดฮา ผ่านหมู่บ้านชื่อประหลาดในโลกแฟนตาซีที่ทุกคนร้องเพลงเต้นรำโดยอัตโนมัติกันทุกเวลา จนเป็นความฮาที่มาพร้อมเพลงเต้นน่ารักกันสุดๆ ไปเลย

 Schmigadoon! (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Schmigadoon! ชมิกาดูน!

ซีรีส์มิวสิคัลที่บอกตรงๆ ว่าจากที่ดูตัวอย่างและภาพโปรโมทแสนเชยจนไม่มีความน่าสนใจอยากดูเลยแม้แต่นิดเดียว แถมแนวร้องเต้นแบบมิวสิคัลกับผู้เขียนเนี่ยไม่เคยชอบเลยสักเรื่อง ซึ่งหลายคนก็คงมองว่าแนวนี้เป็นอะไรที่เฉพาะทางมาก ค่อนข้างยี้ก่อนที่จะดู อย่างลาลาแลนด์ผู้เขียนก็ดูแบบจะหลับอันนี้บอกตรงๆ แต่กับ ชมิกาดูน! เป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก ผู้เขียนก็ยังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าจะชอบและดูเรื่องนี้เพลินขนาดวนดูฉากเต้นเพื่อฟังเพลงวนอีกรอบสองรอบได้เลยขนาดนั้น และก็ไม่ใช่แบบอยู่ๆ มันมาตรงไทป์ผู้เขียนโดยบังเอิญ แต่จากที่ดูฟีดแบ็คคนที่รีวิวในต่างประเทศก็รู้สึกแบบเดียวกัน หลายคนไม่เคยชอบแนวนี้เลย แต่พอดูเรื่องนี้กลับ Love ซะงั้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าขอให้เปิดใจลองดู แค่ตอนแรกคุณจะเห็นเลยว่าเรื่องนี้มีเสน่ห์แบบที่จะรีวิวให้ฟังกันหรือไม่

เสน่ห์อย่างแรกของเรื่องนี้เลยคือมันไม่ใช่แนวมิวสิคัลแบบยัดเยียดมาตรงๆ คือต้องอธิบายก่อนว่าปกติแนวมิวสิคัลนี่ตัวละครในเรื่องจะร้องเต้นเองกันตั้งแต่แรกได้หมด โดยแทบไม่มีการอธิบายเหตุผลว่าทำไมจู่ๆ มาร่วมร้องเต้นกันแบบนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ดูตลกๆ สำหรับคนที่มองหาความสมจริงกับแนวนี้ ซึ่งจุดนี้แหละที่เรื่องนี้นำมาใช้ล้อเลียนอีกที โดยเรื่องเริ่มจากสองคู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่อยู่กินด้วยกันมาสามปีแล้วเกิดอาการเบื่อๆ หมดไฟรักซะงั้น ทั้งคู่เลยมาร่วมทริปทัวร์คู่รักในป่า แต่บังเอิญมาเจอสะพานข้ามมายังหมู่บ้านประหลาดที่ชื่อ ชมิกาดูน! นี้แหละ (แค่ชื่อก็ฮาแล้ว) แล้วก็เจอเรื่องแปลกประหลาดตั้งแต่ก้าวแรกกันเลยเมื่อคนในเมืองร้องเต้นจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบกับพวกเขาติดๆ กันหลายครั้ง ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เข้าใจว่าเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเซ็ตฉากกับนักแสดงย้อนยุคไว้บริการ จนกระทั่งการปรากฎตัวของเอลฟ์แคระที่มาบอกเงื่อนไขให้ฟังว่า เมืองนี้ต้องหารักแท้ให้เจอถึงออกไปได้ นั่นแหละคือความบรรลัยเกิดขึ้นทันทีเมื่อทั้งคู่พึ่งมารู้ว่า ตกลงเราไม่ใช่รักแท้นี่ถึงติดอยู่ที่นี่ออกไม่ได้ และต้องแยกกันตามหารักแท้ให้เจอที่นี่ โดยการกลายเป็นพลเมืองจริงๆ เนียนไปกับตัวคนในชุมชนซึ่งแต่ละคนก็ถอดแบบเอกลักษณ์มาจากพวกหนังมิวสิคัลย้อนยุคกันทั้งนั้น ซึ่งไอ้ความที่ทั้งคู่เป็นคนสมัยใหม่ที่หลุดเข้ามาในโลกประหลาดนี้แหละคือความฮา เมื่อเจอตัดฉากมิวสิคัลกันทุกช่วงที่เผลอแสดงอารมณ์หรือพูดอะไรแปลกๆ ไปเท่านั้น ยกตัวอย่าง แค่ถามว่าอาหารนี้คืออะไร (อาหารประจำเมือง) คนในเมืองกับเด็กเสิร์ฟก็ออกมาร้องเต้นอธิบายกันเต็มๆ ซีน ทำเอาเหวอไปเลยกับการเล่นใหญ่ของทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ โดยที่ตัวเอกทั้งคู่ไม่ได้อยากจะร่วมด้วยสักเท่าไหร่ อารมณ์แบบเจอฉากเต้นแทรกทุกเรื่องจนไม่ได้ไปไหนจนกลายเป็นตลกทุกครั้งที่มีฉากพวกนี้มา เรียกว่าทั้งร้องทั้งเต้นฮาสุดๆ แถมเพลงก็ยังเพราะ มีซับบรรยายไว้ดีมากด้วย ทำให้ผู้ชมเข้าใจอารมณ์เรื่องราวที่ถ่ายทอดมาในเพลงได้หมด ซึ่งบอกเลยว่าต้องทดลองดู เพราะผู้เขียนไม่สามารถบรรยายให้เข้าใจอะไรได้มากกว่านี้จริงๆ

เสน่ห์อีกอย่างคือเส้นเรื่องความรักของทั้งคู่ จอสกับเมลิสซา ตัวเรื่องใช้เรื่องราวความรักยุคใหม่ใส่เข้าไปในโครงเรื่องโบราณ ในยุคที่ตัวละครในชมิกาดูนยังมีความคิดฝังหัวเรื่อง รักเดียว รักแท้ การแต่งงานคือเป้าหมายของชีวิต ผู้หญิงต้องทำอาหารการเรือนเก่ง แต่คู่จอสกับเมลิสซาเป็นหมอทั้งคู่ แถมแค่อยู่กินด้วยกันไม่ได้แต่งอีกต่างหาก มันเลยกลายเป็นคู่รักที่ผิดบาปในสายตาของหลายๆ คนในเมืองที่เคร่งๆ จนที่พักโรงแรมก็ต้องห้ามนอนห้องเดียวกัน แถมพอรู้ว่าทั้งคู่อาจจะไม่ได้รักกันจริงถึงขั้นรักแท้ อย่างที่เมลิสซาตั้งความหวังมาตลอด จอสกลับบอกเลยว่าเขาไม่เชื่อในคำนิยามอะไรแบบนี้ แค่อยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ได้เหรอ? ต้องพิสูจน์อะไรกันอีกมากมาย ซึ่งจอสเองก็ดูแบบไม่ค่อยใส่ใจในความรักเท่ากับเมลิสซา และการที่ทั้งคู่ได้มาอยู่ในเมืองนี้ก็เลยกลายเป็นการค้นหาตัวตนใหม่ๆ จอสมาหลงเสน่ห์สาวเสิร์ฟที่พ่อหวงสุดๆ ดูเหมือนจะยุคโบราณ แต่เปล่าเลยเธอกับหัวก้าวหน้าทั้งๆ ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อ่อยจอสสุดๆ จนถึงขั้นมุกลามกเรื่องไอ้นั่นของผู้ชายเลย ส่วนตัวของเมลิสซาเองก็ได้เจอหนุ่มนักเลงน้ำเน่าในเมืองมาจีบ จนหลงไปกับเสน่ห์เชยๆ อะไรแบบนี้เช่นกัน ซึ่งประเด็นในเรื่องมีไปถึงขั้นการเป็นเกย์ในเมืองหัวโบราณแบบนี้ด้วย เรียกว่าตัวเรื่องทันสมัยมาก แต่แค่ใช้ยุคโบราณคลาสสิคมาครอบไว้หลอกๆ เพื่อเล่นประเด็นขัดแย้งพวกนี้ลงไปในเมืองนั่นเอง และก็ทำได้ดีมากด้วยผ่านบทเพลงกับฉากเต้นประหลาดๆ นี่แหละครับ

ด้วยความที่เรื่องถูกเซ็ทให้เป็นเมืองมิวสิคัล งานโปรดักชั่นในเรื่องเลยดูเป็นพร็อบของเทียมทั้งหมด ต้นไม้เทียม หญ้าเทียม ธารน้ำเทียม นั่นนี่เทียม คือดูแล้วเหมือนไม่ลงทุน แต่ที่จริงลงทุนมากพอตัวเลยล่ะกับการใส่ของพวกนี้มาให้เทียมๆ แต่ดูเหมือนละครเวทีเล่นจริงตลอดเวลา ดูตัดกับสองตัวเอกทั้งคู่มากด้วย อันนี้เป็นความจงใจของเรื่องที่จะให้เห็นว่าทั้งคู่สวมเสื้อผ้ากับอะไรหลายๆ อย่างสมัยใหม่ ในขณะที่ทุกคนแต่งตัวคลาสสิกแบบละครเวทีตลอด แม้แต่หน้าตาทรงผมต่างๆ ก็แปลกประหลาดกันไปหมด รวมถึงภาษาพูดก็แตกต่างกัน ตัวละครในเรื่องต่างตลกกันเองเมื่อได้ยินคำพูดสนทนาด้วยภาษาพูดยุคเก่าที่ไม่ใช้กันแล้ว ในขณะที่คนในหมู่บ้านก็ขำกับศัพท์แสลงแปลกๆ ที่ตัวเอกทั้งคู่ใช้พูดกัน

เรื่องนี้ทะลึ่งพอตัวเลย ไม่ได้ใสๆ อย่างที่คิด

ซีรีส์มีทั้งหมด 6 ตอนจบ ตอนละ 30 นาที มาทุกวันศุกร์ อยากให้ลองดูลองชมกันครับ รับรองว่าอาจจะหลงเสน่ห์เรื่องนี้เข้าโดยไม่รู้ตัวแบบผมก็ได้ คลิกดูผ่านที่นี่

ความตลกคือการที่จู่ๆ ตัวคนในหมู่บ้านตัดฉากร้องเพลงกันตลอดเวลาจนทำให้ตัวเอกทั้งคู่ปรับตัวไม่ทัน

ติดตามอ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์ใน Apple TV+ คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!