รีวิว The Last of Us SS2 (HBO) การเดินทางแก้แค้นที่ขาดอารมณ์ร่วมแบบภาคก่อน…

The Last of Us Season 2
Summary
The Last of Us Season 2 ยังคงเป็นซีรีส์ที่เข้มข้นด้วยรายละเอียดลึกมาก ทั้งประเด็นสังคมหลังหายนะที่ผู้คนแตกออกเป็นหลายฝ่ายแล้วมาเปิดศึกฆ่ากันเอง มากกว่าโดนพวกติดเชื้อฆ่า ซึ่งเรื่องวางให้เป็นส่วนเสริมมากกว่าส่วนหลักแบบภาคก่อน แต่ก็ยังมีพอตอบโจทย์ผู้ชมได้
เรื่องหันมาเน้นธีมความแค้นที่เอลลี่ต้องตามไปฆ่าเป้าหมายให้ได้มากกว่าอย่างอื่น เหมือนจะแอ็กชั่นมากขึ้น แต่ก็ทำให้เรื่องโดยรวมดูอ่อนลงกว่าภาคก่อนเพราะขาดตัวหลักอย่างโจไป แล้วก็ยังเน้นประเด็นความรักในเพศเดียวกันมากแทบทั้งเรื่อง จนทำให้กลายเป็นข้อด้อยสำหรับคนที่ไม่ชอบแนวนี้มาก แต่ก็หนีไม่ได้แล้วเพราะซีรีส์วางให้เป็นปมดราม่าหลักของตัวละครเอลลี่ไปแล้ว แต่ด้วยความที่เรื่องทำไม่จบจึงยังทำให้ค้างคามาก ผู้ชมก็คงรู้สึกค้างกับการตัดจบแบบนี้ครับ
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- เน้นธีมความแค้นของเอลลี่กับความรักในเพศเดียวกัน
- ดราม่าความแตกหักระหว่างมนุษย์
- มีผู้ติดเชื้อแบบใหม่
- มีกลุ่มคนผู้รอดชีวิตใหม่
- มีพากย์ไทย
Cons
- ขาดตัวละครหลักอย่างโจทำให้เรื่องดูอ่อนกำลังลง
- แบ่งครึ่งเนื้อเรื่องจากเกมทำให้ไม่จบ
ADBRO
รีวิว The Last of Us SS2 ซีรีส์ HBO 7 ตอน แนวแอ็กชั่นดราม่า เรื่องราวการเดินทางด้วยความแค้นของเอลลี่ ที่มีทิศทางการเดินเรื่องใหม่หมด
รีวิว The Last of Us SS2 HBO (มีสปอยล์)
ซีซั่น 2 ยังคงดัดแปลงเนื้อหาจากเกม The Last of Us Part II โดยตรง ซึ่งผู้เขียนไม่ได้เล่นภาคนี้ (แต่เล่นภาคแรก) แต่ก็รู้เรื่องราวดราม่าของเกมเป็นอย่างดี จริงๆ แล้วเข้าใจว่าทำไมผู้สร้างถึงต้องการให้โจตายเพื่อผลักดันเนื้อเรื่องไปสู่ทิศทางใหม่ แต่แน่นอนว่ามันอาจจะแปลกไปสักหน่อยเมื่อเรื่องราวที่ภาคนี้เล่าโดยภาพรวมยังสามารถมีโจอยู่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของผู้คนที่แยกกลุ่มกันแล้วต่อสู้กันมากกว่าต่อสู้กับพวกติดเชื้อ
แต่ด้วยความต้องการที่จะถอดแบบมาจากเกมตรงๆ แล้วเพิ่มบริบทต่างๆ ให้มากขึ้น ซีรีส์จึงยังคงเดินตามรอยนี้ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ชอบเกมก็คงยิ่งชอบซีรีส์มากขึ้นไปอีก แต่คนที่ไม่ชอบเกมภาคนี้ก็คงไม่ชอบซีรีส์มากนักเช่นกัน
ตัวผมเองต้องบอกว่าเฉยๆ กับประเด็นการตายของโจ เพราะจริงๆ ตัวเรื่องก็ยังมีโจโผล่มาในภายหลังเป็นการเล่าย้อนอดีต โดยเฉพาะตอนที่ 6 ซึ่งเป็นเรื่องของโจกับเอลลี่สองคนเท่านั้น ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ตอนเปิดเรื่องนี้เอลลี่ถึงไม่ชอบโจอยู่แล้ว
แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่าการที่เรื่องเล่าโดยไม่มีโจซึ่งเป็นตัวเอกของภาคก่อน ทำให้อารมณ์ความสัมพันธ์พ่อลูกที่ถูกหล่อหลอมสร้างมาอย่างดีหายไปเลย ทำให้เรื่องดูแห้งแล้ง และเต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นของเอลลี่ที่พยายามตามหากลุ่มคนที่ฆ่าโจ ซึ่งก็คือกลุ่ม Fireflies 5 คนที่เหลือรอดมาจากตอนจบที่โจฆ่าล้างกองกำลังไป

ตัวเรื่องวางให้พวกนี้เป็นเมนหลักของภาคนี้ เปรียบเสมือนเหล่าบอสที่เอลลี่ต้องไปตามล่าทีละคน โดยมี “แอบบี้” สาวแกร่งที่เป็นหัวหน้าทีมฆ่าโจต่อหน้าเอลลี่เป็นบอสใหญ่ของภาคนี้ ซึ่งซีรีส์วางเรื่องไว้เป็น 2 ภาคอีก ทำให้ตอนสุดท้ายที่แอบบี้ปรากฏตัวกลับมาก็ถูกตัดจบในตอนที่ 7 ทำให้อารมณ์ของผู้ชมค้างอีกเป็นปีกว่าจะได้ดูซีซั่นต่อไป
เรื่องในภาคนี้จึงดูไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเท่าภาคแรกที่ขมวดจบทุกอย่างไว้ในภาคเดียว แล้วยังเล่าเรื่องเสริมในจุดที่เกมไม่ได้ลงลึกไว้ได้อย่างดีมาก อย่างตอนที่ 3 ที่เป็นเรื่องของคู่เกย์ 2 คนที่อยู่กันจนแก่ชรา ซึ่งซีรีส์กล้ามากที่ตัดมาเล่าเรื่องแทรกโดยที่แทบไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตัวละครหลักเลย
ในภาคนี้ผู้สร้างเลือกเล่าเรื่องราว LGBTQ ได้อย่างเต็มอิ่ม เพราะเอลลี่ถูกเปลี่ยนให้เป็นบุคลิกที่ชอบเพศเดียวกัน โดยมีตัวละคร “ดีน่า” สาวแกร่งที่อยู่ในเมืองเดียวกัน เป็นเหมือนทั้งเพื่อนและคู่หูที่เธอแอบหลงรักแต่บอกไม่ได้ ซีรีส์เล่าเรื่องราวความเก็บกดของเอลลี่ผ่านความแค้นที่ต้องตามล่าคนฆ่าโจ โดยมีดีน่าเป็นเพื่อนร่วมทางไปแก้แค้นด้วย
เรื่องมีฉากที่ปลดปล่อยให้ตัวละครทั้งคู่มีอิสระภายใต้โลกที่ไร้กฎเกณฑ์ แต่ก็ยังมีการเหยียดเพศแบบนี้อยู่ในยุคนี้ ซึ่งผู้สร้างบอกว่าทัศนคติของสังคมในยุคนั้นถูกแช่แข็งไว้จากยุคสมัยเก่า ดังนั้นภาคนี้จึงมีประเด็นนี้สอดแทรกอยู่บ่อยครั้ง จนถึงขั้นเรื่องราวการสร้างครอบครัวต่อไป ซึ่งก็น่าจะขัดใจคนที่ไม่ชอบอะไรแบบนี้แน่นอน
ในส่วนของพวกติดเชื้อ ซีรีส์เอาพวกมันมาเป็นส่วนประกอบมากกว่าจะเป็นตัวหลักในการต่อสู้ที่ต้องเจอทุกตอน แต่ก็ยังมีฉากใหญ่ของพวกติดเชื้อที่มาถล่มเมืองในตอนที่สอง ซึ่งซีรีส์ลงทุนฉากนี้ใหญ่มากเหมือนหนังซอมบี้ฉายโรงดีๆ เลย แล้วก็ยังมีพวกติดเชื้อแบบใหม่ที่ฉลาดวางแผนหลอกล่อคนมาติดกับได้ และก็มีพวกที่ปล่อยเชื้อราเป็นละอองทางอากาศทำให้ติดได้อีก แต่มันก็ไม่มีผลกับเอลลี่เพราะเธอคือคนเดียวในเรื่องที่มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งประเด็นนี้ซีรีส์หยิบมาใช้เสริมเป็นเหมือนความลับที่เธอต้องปกปิดไว้เพราะเกี่ยวพันกับโจ และทำให้เธอดูเป็นตัวละครที่สามารถกล้าบุกลุยได้มากกว่า จนถึงขั้นยอมโดนกัดแทนได้เลย
ซีรีส์ไปเน้นหนักด้านแอ็กชั่นจริงๆ จากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ โดยมี WLF (Washington Liberation Front) เป็นกองกำลังที่ใหญ่และมีอิทธิพลในซีแอตเทิล มีเป้าหมายต่อสู้เพื่อความอยู่รอดและปกป้องพื้นที่ของตนเอง ที่มีศัตรูโดยตรงคือกลุ่ม Seraphites หรือ Scars เป็นกลุ่มศาสนาที่เคร่งครัด มีกฎเกณฑ์และความเชื่อเฉพาะตัวว่าการระบาดของเชื้อ Cordyceps นั้นเป็น “การลงโทษจากสวรรค์” หรือ “การเปิดโอกาสครั้งใหม่” ให้กับมนุษย์เพื่อเริ่มต้นใหม่หลังโลกพังพินาศ พวกเขาไม่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ใดๆ ที่มาจาก “โลกเก่า” (pre-apocalypse) และเลือกใช้ชีวิตเรียบง่าย มีอาวุธเป็นธนู ซึ่งในซีรีส์ก็มีฉากการปะทะของทั้งสองฝ่ายในช่วงหลัง โดยมีเอลลี่กับดีน่าพลัดหลงตกเข้าไปกลางวงสงครามนี้ด้วย
ด้านการแสดง Bella Ramsey ในบทเอลลี่แสดงได้ดีมากในการถ่ายทอดอารมณ์หลากหลายที่ต้องประสบ ทั้งการที่ตัวเองเริ่มรู้ว่าชอบผู้หญิงด้วยกัน ความบาดหมางกับโจที่เป็นเหมือนพ่อที่ห่วงเธอเหมือนลูกจริงๆ แต่เธอกลับไม่ตอบรับโจแบบภาคก่อน ซึ่งเธอสามารถถ่ายทอดมิติของตัวละครได้ดี
สรุปโดยรวม
The Last of Us SS 2 ยังคงเป็นซีรีส์ที่เข้มข้นด้วยรายละเอียดลึกมาก ทั้งประเด็นสังคมหลังหายนะที่ผู้คนแตกออกเป็นหลายฝ่ายแล้วมาเปิดศึกฆ่ากันเอง มากกว่าโดนพวกติดเชื้อฆ่า ซึ่งเรื่องวางให้เป็นส่วนเสริมมากกว่าส่วนหลักแบบภาคก่อน แต่ก็ยังมีพอตอบโจทย์ผู้ชมได้
เรื่องหันมาเน้นธีมความแค้นที่เอลลี่ต้องตามไปฆ่าเป้าหมายให้ได้มากกว่าอย่างอื่น เหมือนจะแอ็กชั่นมากขึ้น แต่ก็ทำให้เรื่องโดยรวมดูอ่อนลงกว่าภาคก่อนเพราะขาดตัวละครหลักอย่างโจไป แล้วก็ยังเน้นประเด็นความรักในเพศเดียวกันมากแทบทั้งเรื่อง จนทำให้กลายเป็นข้อด้อยสำหรับคนที่ไม่ชอบแนวนี้มาก แต่ก็หนีไม่ได้แล้วเพราะซีรีส์วางให้เป็นปมดราม่าหลักของตัวละครเอลลี่ไปแล้ว แต่ด้วยความที่เรื่องทำไม่จบจึงยังทำให้ค้างคามาก ผู้ชมก็คงรู้สึกค้างกับการตัดจบแบบนี้ครับ