รีวิวซีรีส์เกาหลี Aema (Netflix) อีโรติกย้อนยุคแบบจืดจางกับยำหลายเรื่องจนมั่วสุดๆ

Aema
Summary
ซีรีส์เกาหลีที่พยายามเล่าเรื่องจริงของวงการหนังอีโรติกในเกาหลีใต้แบบย้อนยุค คล้ายๆ กับ The Naked Director ของญี่ปุ่น แต่เป็นเวอร์ชั่นเกาหลีที่เบากว่ามากๆ ไม่มีฉากเปลือยของนักแสดงหญิงให้เห็นเลยสักฉาก ไม่แม้แต่ใกล้เคียงกับหนังอีโรติกจริงๆ เลยด้วย โดยมีเหตุผลเบื้องหลังที่ไม่ได้บอกให้ผู้ชมเข้าใจเลยว่า “ผู้กำกับตั้งใจเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลสนับสนุนหนังอีโรติก แต่ก็เซ็นเซอร์เข้มงวดไม่ให้เห็นนม แต่เห็นผู้ชายเปลือยได้เกือบหมด” ซึ่งก็กลายเป็นตรงข้ามกับสิ่งที่ผู้ชมชายต้องการก่อนตั้งใจมาดู ส่วนผู้ชมหญิงก็คงไม่ถูกใจเพราะดาราชายในเรื่องเป็นบทตัวประกอบตลกๆ ไม่ได้เน้นหน้าตาหล่อแบบดาราเกาหลีมาแก้ผ้าโชว์ก้นแบบนั้นไม่มี ซึ่งแค่นี้ก็ว่าแย่แล้ว แต่ซีรีส์ยังเติมแต่งเพิ่มปัญหาเบื้องหลังงานสร้างวุ่นวายกับผู้กำกับที่อยากสร้างหนังสวยๆ แบบยุโรป โดยผูกโยงเข้ากับการต่อสู้ของนักแสดงหญิงตัวแม่ที่กล้าท้าชนเปิดโปงวงการแมงดาบันเทิงส่งส่วยดาราหญิงให้ผู้มีอิทธิพล ซึ่งเรื่องพยายามจับหลายประเด็นหนักมายำรวมกันจนดูมั่วๆ ในแนวหนังตลกเสียดสี แต่ขาดโฟกัสที่ชัดเจนให้ผู้ชมเข้าใจตั้งแต่แรก อีกทั้งความพยายามใส่ความรักแบบหญิง-หญิง เข้ามาก็เบาบางสุดๆ จนแทบรู้สึกว่าผู้สร้างแค่นึกอยากจะยัดเข้ามา แต่ก็ไม่กล้าท้าทายสังคมในโลกจริงของเกาหลีที่แอนตี้เรื่องนี้หนัก ก็ทำให้จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้กล้าเสียดสีท้าทายสังคมจริงเท่าไหร่ ดูแล้วเหนื่อยกับความพยายามจับทุกอย่างมารวมกันของผู้สร้างที่ผู้ชมแทบไม่เก็ทตามด้วยเลยครับ…
Overall
5/10User Review
( votes)Pros
- เสียดสีประวัติศาสตร์วงการหนังอีโรติกเกาหลีใต้
- มีพากย์ไทย
Cons
- เรื่องยำรวมกันหลายอย่างจนดูมั่วๆ ขาดโฟกัสทิศทางที่ชัดเจน
- ไม่มีฉากติดเรตจริงเลยสักฉาก
- มุกในเรื่องแทบไม่ตลก
- ใส่เรื่องความรักหญิง-หญิงมาแบบเบาบางมาก
ADBRO
Aema ลิมิเต็ดซีรีส์เกาหลี Original Netflix 6 ตอนจบ ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับวงการภาพยนตร์เกาหลีแนวอีโรติกในยุค 80 เมื่อนักแสดงหญิงชื่อดังปฏิเสธฉากเปลือย ทำให้โปรดิวเซอร์หันไปหานักแสดงใหม่มาแทนเธอ แล้วเอาเธอไปอยู่ในบทรองที่เธอยอมรับไม่ได้
รีวิวซีรีส์เกาหลี Aema
ซีรีส์ดำเนินเรื่องผ่าน “จองฮีรัน” (Lee Hanee) นักแสดงชื่อดังซึ่งกำลังจะรับบทนำในภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายกับค่าย Shinsung Pictures อันจะเป็นการสิ้นสุดสัญญาผูกขาดกับค่าย แต่เมื่อเธอตัดสินใจปฏิเสธการรับบทที่เกี่ยวข้องกับฉากเปลือย ทำให้โปรดิวเซอร์ “กูจองโฮ” บีบให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ สุดท้าย ฮีรันต้องกลายมาเป็นนักแสดงสมทบในหนังที่มีนักแสดงหน้าใหม่ “ชินจูแอ” รับบทมาดามแอมา ซึ่งเดิมทีเขียนไว้สำหรับเธอ ทำให้ศึกนี้จึงเริ่มขึ้นเบื้องหลังกองถ่ายที่วุ่นวายด้วยสารพัดปัญหา
ซีรีส์วางตัวเป็นแนวดราม่าเสียดสีตลกวงการหนังอีโรติกย้อนยุค แบบเดียวกับ The Naked Director แต่เป็นเวอร์ชั่นที่เบาบางไม่มีฉากแบบนั้นอยู่จริงๆ เลย ทั้งๆ ที่เนื้อหาในเรื่องก็คือหนังประเภทนั้นโดยตรง ซึ่งดูแล้วก็รู้สึกประหลาดว่าเกาหลีเซ็นเซอร์ตัวเองทำไม แต่พอลองค้นหาเบื้องหลังก็เลยรู้ว่าผู้กำกับต้องการเล่าเรื่องเสียดสีประวัติศาสตร์ Madame Aema (Aema Buin) ปี 1982 เป็นภาพยนตร์อีโรติกเกาหลีเรื่องแรกที่เข้าฉายภายใต้กฎหมาย 3S Act (Sex, Screen, Sports) ที่รัฐบาลเกาหลีใต้ในสมัยนั้นนำมาใช้ ภายใต้การปกครองของ ชุนดูฮวาน ผู้นำเผด็จการทหาร
ผู้สร้างซีรีส์ อีแฮยอง กล่าวว่า “ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ภาพยนตร์อีโรติกถูกส่งเสริมและผลิตขึ้นอย่างจริงจังตามนโยบาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีการเซ็นเซอร์เข้มงวดและตัดฉากมากมาย จนแทบไม่มีเสรีภาพในการแสดงออก ผมจึงอยากหยิบยกความย้อนแย้งนี้มาถ่ายทอดใหม่ในปี 2025 เพื่อสื่อสารในมุมมองที่แตกต่างออกไป”
ที่มา https://moviedelic.com/madame-aema-shinsung-pictures/
ถึงไอเดียในการเอาเรื่องจริงมาเล่าแบบเสียดสี แต่ซีรีส์ก็ไม่ได้ทำหน้าที่เล่าเรื่องเหล่านี้ออกมาได้สนุกแบบ The Naked Director ที่ก็มีเรื่องของปัญหากับรัฐบาลในยุคนั้นเช่นกัน เรื่องกลายเป็นการยำเบื้องหลังการสร้างหนังที่โปรดิวเซอร์เข้ามาก้าวก่ายปู้ยี้ปู้ยำหนังแทนผู้กำกับจนเละไม่มีชิ้นดี โดยผู้กำกับอยากทำให้ฉากอีโรติกดูสวยงาม แต่โปรดิวเซอร์ของเน้นๆ จะๆ ซึ่งสุดท้ายผู้กำกับก็ต้องยอมแก้บทเปลี่ยนแปลงเรื่องใหม่จนกลายเป็นการทำงานที่กระทบกับทุกคน โดยมีเรื่องของรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวน้อยมาก ในแง่ของการถูกเซ็นเซอร์ตั้งแต่บทไม่ให้มีฉากเห็นนม เรื่องจึงเล่าถึงการหาทางออกให้ทำหนังเรื่องนี้ได้ทั้งๆ ที่มีข้อจำกัดมากมาย จนสุดท้ายหนังก็ประสบความสำเร็จ ซึ่งก็คือหนังเล่นตามโจทย์ของเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้ตรง แต่ว่าผู้ชมที่ไม่ได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ก็คงไม่เก็ท ซึ่งปัญหาจริงๆ ก็คือผู้สร้างก็ไม่ได้มีขึ้นบอกไว้ว่าสร้างโดยเอาเค้าโครงมาจากเรื่องจริงด้วย ทำให้คิดว่านี่เป็นเรื่องแต่งขึ้นมาล้วนๆ จนไม่รู้ว่ามีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ
แต่ปัญหาหลักจริงๆ คือส่วนที่เป็นเรื่องแต่งล้วนๆ ของตัวเอกจองฮีรันที่พยายามต่อสู้กับโปรดิวเซอร์ที่ดูแล้วเป็นพวกบ้าอำนาจแบบตลกๆ แต่ความจริงเขาเป็นเหมือนแมงดาของวงการหนังที่ส่งนักแสดงหญิงในค่ายไปให้ผู้มีอำนาจต่างๆ บำเรอในงานปาร์ตี้ส่วนตัว ซึ่งผู้กำกับก็คงพยายามเอาเรื่องดาร์คในวงการบันเทิงเกาหลีที่มีแนวนี้อยู่จริงมาผสม โดยให้นางเอกหนังอีโรติกดังมาเป็นฮีโร่หญิงเปิดโปงวงการ โดยให้เธอในตอนแรกเหมือนเป็นตัวร้ายที่เล่นบทรอง ในหนัง Aema โดยบทนำใช้นักแสดงหน้าใหม่ Bang Hyo-Rin
มาเล่นเป็นเหมือนตัวเอก แต่จริงๆ ก็คือบทรองมากกว่าเพราะเรื่องราวโฟกัสไปที่บทบาทของจองฮีรันแทบทั้งเรื่อง โดยเล่าเรื่องแบบเสียดสีว่าเธอพยายามทำบ้าอะไรห่ามๆ ตลอดเวลาทั้งการบี้ผู้กำกับให้ทำหนังตามใจเธอจากนางรองกลายเป็นบทเด่นกว่านางเอก การเทรนนางเอกหน้าใหม่ทำให้เล่นคู่กับเธอให้ได้ แล้วก็หาเรื่องสืบสวนจัดการโปรดิวเซอร์ที่พยายามเอาเปรียบเธอด้วยฉากเพี้ยนๆ เหมือนทีเล่นทีจริง ก่อนที่จะกลายเป็นการทลายวงจรอุบาทว์ของค่ายหนังนี้ ซึ่งผู้กำกับเหมือนคิดอะไรได้ก็จับมายัดๆ รวมๆ กัน จนดูแล้วขาดทิศทาง พอใกล้ๆ จบก็วกมาเล่าเรื่องจริงจังให้เป็นเหมือนกบฏต่อสู้กับรัฐบาลไปดื้อๆ ซึ่งไม่เวิร์คเพราะความไม่ต่อเนื่องของเรื่องราวที่ไม่ได้คิดจะปูมาให้ผู้ชมเข้าใจที่จุดนี้ตั้งแต่แรก
ตัวบทรอง Aema ที่เป็นชื่อเรื่องนี้ก็มีปัญหาในตัวเอง ซีรีส์พยายามเล่าถึงปัญหาหน้าอกใหญ่เกินตัวของเธอ โดยใส่ตัวร้ายที่พยายามก่อกวนเธอมาตั้งแต่สมัยยังไม่เป็นนักแสดงขึ้นมา ซึ่งมันทำให้เรื่องดูมั่วๆ ขึ้นไปอีกว่าตัวละครนี้ทำหน้าที่อะไรกันแน่ โดยที่ตอนจบก็หาทางตบหน้าตัวร้ายนี้กลับไปด้วยมุกว่านกเขานายคงไม่ขันใช่มั้ยแค่นั้น ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องหลักที่พยายามเล่าอยู่เลย เป็นบทที่ใส่ไว้งั้นๆ จะตลกก็ไม่เลยสักนิด ดูแล้วยังเครียดมากกว่าว่าต้องการล้อเลียนชายหื่นหรือยังไง
นอกจากนี้ซีรีส์เหมือนพยายามจะเล่าเรื่องความรักแบบ LGBTQ ของตัวนักแสดง Aema ที่มีเพื่อนสาวที่เธอพยายามดึงเข้ามาทำงานในวงการเบื้องหลังด้วย แต่ซีรีส์ก็เล่าแบบผิวเผินมากเพราะวงการบันเทิงเกาหลีเองก็แอนตี้เรื่องนี้อยู่ ทั้งๆ ที่ได้ทำลงเน็ตฟลิกซ์ แต่ก็ไม่ได้กล้าท้าทายระบบสังคมจริงๆ ซึ่งสุดท้ายจนจบก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยกับบทแบบที่ไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามาในเรื่องนี้ให้เปลืองเวลาเลยก็ได้ครับ
สรุป
ซีรีส์เกาหลีที่พยายามเล่าเรื่องจริงของวงการหนังอีโรติกในเกาหลีใต้แบบย้อนยุค คล้ายๆ กับ The Naked Director ของญี่ปุ่น แต่เป็นเวอร์ชั่นเกาหลีที่เบากว่ามากๆ ไม่มีฉากเปลือยของนักแสดงหญิงให้เห็นเลยสักฉาก ไม่แม้แต่ใกล้เคียงกับหนังอีโรติกจริงๆ เลยด้วย โดยมีเหตุผลเบื้องหลังที่ไม่ได้บอกให้ผู้ชมเข้าใจเลยว่า “ผู้กำกับตั้งใจเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลสนับสนุนหนังอีโรติก แต่ก็เซ็นเซอร์เข้มงวดไม่ให้เห็นนม แต่เห็นผู้ชายเปลือยได้เกือบหมด” ซึ่งก็กลายเป็นตรงข้ามกับสิ่งที่ผู้ชมชายต้องการก่อนตั้งใจมาดู ส่วนผู้ชมหญิงก็คงไม่ถูกใจเพราะดาราชายในเรื่องเป็นบทตัวประกอบตลกๆ ไม่ได้เน้นหน้าตาหล่อแบบดาราเกาหลีมาแก้ผ้าโชว์ก้นแบบนั้นไม่มี ซึ่งแค่นี้ก็ว่าแย่แล้ว แต่ซีรีส์ยังเติมแต่งเพิ่มปัญหาเบื้องหลังงานสร้างวุ่นวายกับผู้กำกับที่อยากสร้างหนังสวยๆ แบบยุโรป โดยผูกโยงเข้ากับการต่อสู้ของนักแสดงหญิงตัวแม่ที่กล้าท้าชนเปิดโปงวงการแมงดาบันเทิงส่งส่วยดาราหญิงให้ผู้มีอิทธิพล ซึ่งเรื่องพยายามจับหลายประเด็นหนักมายำรวมกันจนดูมั่วๆ ในแนวหนังตลกเสียดสี แต่ขาดโฟกัสที่ชัดเจนให้ผู้ชมเข้าใจตั้งแต่แรก อีกทั้งความพยายามใส่ความรักแบบหญิง-หญิง เข้ามาก็เบาบางสุดๆ จนแทบรู้สึกว่าผู้สร้างแค่นึกอยากจะยัดเข้ามา แต่ก็ไม่กล้าท้าทายสังคมในโลกจริงของเกาหลีที่แอนตี้เรื่องนี้หนัก ก็ทำให้จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้กล้าเสียดสีท้าทายสังคมจริงเท่าไหร่ ดูแล้วเหนื่อยกับความพยายามจับทุกอย่างมารวมกันของผู้สร้างที่ผู้ชมแทบไม่เก็ทตามด้วยเลยครับ…