playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวมินิซีรีส์ Unorthodox เส้นทางนอกรีต สำรวจสังคมยิวในนิวยอร์ค คนชายขอบใจกลางโลกยุคใหม่

Unorthodox 

สรุป

นี่เป็นซีรีส์ที่ควรค่าแก่การดู มีความสมจริงปราณีตกับงานสร้างทุกรายละเอียด โดยพุ่งเป้าสำรวจโลกของชุมชนของยิวแท้ๆ ให้เราได้รับชมและทึ่งไปกับความเป็นคนชายขอบในโลกยุคใหม่ พร้อมทั้งการแสดงที่ทรงพลังไปกับเรื่องราวที่เป็นจริงแบบจับต้องได้ ไม่เพ้อฝัน มีทั้งความหดหู่และสวยงามไปพร้อมกัน กับฉากจบที่อาจจะดูปลายเปิด แต่ถ้าเข้าใจว่าสร้างจากเรื่องจริงก็จะได้พบคำตอบของฉากสุดท้ายได้ในตัวเองครับ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (2 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ความสวยงามของวัฒนธรรมยิวในเรื่องที่ถ่ายทอดรายละเอียดออกมาได้ดีมาก
  • โลกที่แตกต่างสองใบยุคเก่ากับยุคใหม่มาเจอกัน ชวนให้คนดูฉุกคิดตลอดเวลา
  • การแสดงของทุกตัวละครมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง
  • การเก็บรายละเอียดทุกอย่างสมจริง แม้แต่อารมณ์การแสดงของตัวประกอบยิว
  • เรื่องราวทำออกมาเคารพในโลกที่แตกต่างทางวัฒนธรรม
  • มีเรื่องราวของดนตรีกับการไล่ตามความฝัน

Cons

  • ความรู้สึกแปลกและไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ในเรื่องวัฒนธรรมความคิดของชาวยิว อาจจะทำให้คนดูรู้สึกอึดอัด
  • ตัวเรื่องไม่ได้โลดโผนสนุกสนานนัก (เพราะอิงจากเรื่องจริง)
  • เรื่องราวจบแบบปลายเปิดที่หลายคนอาจจะไม่ชอบนัก

Unorthodox นอกรีต ซีรีส์ Netflix ที่ได้แรงบันดาลใจจากนิยายขายดีของนิวยอร์คไทม์ มาจากเรื่องจริงของสาวยิวที่ถูกคลุมถุงชนและได้หลบหนีไปยังประเทศเยอรมัน เพื่อแสวงหาชีวิตใหม่ในโลกที่เธอไม่เคยรู้จัก และถูกพร่ำสอนว่าเป็นอันตรายมาตลอด

 Unorthodox (2020) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย IMDB

ตัวอย่าง Unorthodox (Netflix)

*บทความไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญ

มินิซีรีส์ 4 ตอนจบที่สร้างอ้างอิงจากเรื่องจริงของวัยรุ่นหญิงชาวยิวที่หลบหนีการใช้ชีวิตคลุมถุงชนจากย่าน “วิลเลียมสเบิร์ก (Williamsburg) ” ที่รวมตัวของชุมชนของผู้อพยพชาวยิวในสหรัฐอเมริกา ที่ยังคงใช้ชีวิตยึดถือตามแบบจารีตประเพณีของยิวไว้อย่างเคร่งครัด โดยมาจากบันทึกความทรงจำของผู้เขียน Deborah Feldman นักเขียนชาวอเมริกันที่ขอย้ายประเทศไปอยู่เยอรมนี ปัจจุบันอาศัยอยู่ในกรุงเบอร์ลิน และได้มาร่วมงานสร้างเรื่องนี้ด้วยตัวเองอีกด้วย

unorthodox นางเอก
ตัวนางเอกในเรื่องที่หัวโล้นเพราะมีเหตุผล และก็จะได้เห็นในเธอในหลายรูปลักษณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ตัวเรื่องเป็นหนังยิวแท้ๆ ที่ใช้ภาษา “ยิดดิช” (Yidish) ที่แปลว่า “ยิว” ในช่วงเวลาที่ตัวเรื่องอยู่ในนิวยอร์ค และสลับมาใช้ภาษาอังกฤษในช่วงที่อยู่เยอรมัน (มีช่วงหัดพูดเยอรมันผสมอยู่ด้วยนิดหน่อย) นอกจากการใช้ภาษายิดดิซแล้ว หนังยังตั้งใจถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมยิวแท้ๆ ที่เหมือนคนชายขอบในโลกยุคสมัยใหม่ ซึ่งตัวเรื่องใส่ใจเก็บรายละเอียดความสมจริงมาทุกอย่าง ทั้งจารีตประเพณี วัฒนธรรม เครื่องแต่งกาย แนวคิด หรือแม้แต่บุคลิกคนยิวจริงๆ ที่ไม่แสดงออกอะไรมากเกินไปแม้ว่าจะอยู่ในงานรื่นเริงของชุมชนก็ตาม เนื่องจากทุกคนยึดถือการใช้ชีวิตตามกรอบแนวทางปฏิบัติของหนังสือ “โทราห์”  ฮีบรูไบเบิล หรือหนังสือของโมเสส เป็นคัมภีร์ที่พระเจ้าประทานให้กับโมเสสใช้ยึดถือปฏิบัติ นี่จึงเป็นหนังที่ถ่ายทอดความเป็นยิวในโลกปัจจุบันออกมาอย่างเคารพตรงไปตรงมาไม่บิดเบือนเลยแม้แต่น้อย มีรายละเอียดหมดจรด งดงามตลอดเรื่อง ระหว่างที่ดูคุณจะรู้สึกไม่เข้าใจ แปลกใจไปกับความคิดการปฏิบัติตัวของยิว ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะนี่เป็นหัวใจและความต้องการของผู้สร้างเรื่องนี้ที่ต้องการถ่ายทอดสังคมโลกยุคเก่า ที่คงอยู่ในโลกยุคใหม่ได้อย่างเหนียวแน่น ออกมาให้คนในยุคใหม่ได้รับรู้กัน แม้ว่าคุณดูจบแล้วอาจจะไม่เข้าใจเลยก็ตามที แต่ก็ต้องมองเห็นความสวยงามของเรื่องราว และนำกลับไปคิดถึงไม่มากก็น้อยแน่นอน

ฉากงานแต่งของยิว
ฉากงานแต่งของยิวที่เก็บทุกรายละเอียดหมดจรด น่าทึ่งกับพิธีการมากๆ

ด้วยความที่งานสร้างเรื่องนี้สมจริงมาตั้งแต่ต้นทางจากเรื่องจริง นี่จึงไม่ใช่ซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวแบบนิยายผจญภัยขายฝัน ในแบบที่พออ่านเรื่องย่อว่า “ผู้หญิงคลุมถุงชนหนีออกจากการถูกกดขี่” ทุกคนก็คงคิดว่าคงมีการผจญภัยแนวๆ สนุกสนานลุ้นระทึก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้นเลย เรื่องตั้งอยู่บนความเป็นจริงมากถึงมากที่สุด โดยตัวเรื่องจะเริ่มมาที่การหนีของนางเอกในเรื่องมาประเทศเยอรมัน ก่อนจะตัดภาพแฟลชแบ็คกลับไปเป็นระยะๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอในอดีต (จุดนี้ถ่ายทอดตามจริงทั้งหมด แต่ยุคปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนแต่งเรื่องให้ทันสมัยขึ้น) พร้อมกับเล่าเรื่องราวการเอาตัวรอดในเบอร์ลินให้ได้ โดยที่เจ้าตัวไม่มีการศึกษาอะไรติดตัวมาเลย แม้แต่ทักษะการใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่ตามปกติก็ยังแทบไม่มี (ยิวไม่ให้ใช้คอมพิวเตอร์ ไม่เคยใช้กูเกิล) ซึ่งหนังเรื่องราวเป็นไปในแบบจริงจัง มีการถูกเหยียดจากความแปลกแตกต่างของรูปลักษณ์การแต่งตัว อย่างการโกนหัวของผู้หญิงยิวที่แต่งงานแล้ว ซึ่งในเรื่องทุกครั้งที่นางเอกพบสิ่งใหม่ๆ เพื่อเรียนรู้ ก็สะท้อนอีกมุมกลับมายังตัวเราที่อยู่ในโลกยุคใหม่ไปพร้อมกัน เรื่องราวจะพาเราดิ่งสะเทือนใจไปกับตัวนางเอกที่ไร้ที่พึ่งในโลกยุคใหม่ พร้อมกับได้มองดูชีวิตในชุมชนยิวของเธอที่สวยงาม แต่เต็มไปด้วยความกดดันและคาดหวังมากไปพร้อมกัน โดยที่เรื่องราวนำเสนอความแตกต่างของโลกวัฒนธรรมทั้งยุคเก่ากับใหม่ออกมาอย่างเคารพน่าประทับใจ คนทั้งสองโลกต่างมีเหตุผลในมุมของตัวเอง ที่ไม่มีใครผิดหรือถูกได้ทั้งหมด นับว่าผู้สร้างทำเรื่องราวออกมาได้สมจริงและมีพลังส่งต่อไปให้คนดูได้คิด หันมามองวัฒนธรรมอื่นๆ ที่แตกต่างออกไปในมุมมองใหม่ได้อย่างสวยงาม

เหล่านักแสดงในเรื่องต่างถ่ายทอดบุคลิกลักษณะนิสัยต่างๆ ของยิวออกมาได้เหมือนมาก ตัวละครหลักทั้ง 4 ตัวในเรื่อง นางเอก สามีที่มาตามหา คนตามล่านางเอก แม่นางเอก ทุกคนต่างมีปัญหาของตัวเอง และมีพลังในการแสดงทำให้เราเชื่อถือตัวละครได้จริงๆ พอเรื่องเดินไปเรื่อยๆ เราจะได้เห็นว่าไม่มีใครเป็นตัวดีหรือตัวร้ายในเรื่องอย่างที่คิด ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ไม่ได้เป็นความผิดของใครทั้งหมด ทุกคนต่างมีความผิดร่วมกัน แม้แต่กับตัวนางเอกในเรื่องเองก็ด้วย

แม้ว่าเรื่องราวจะดูเหมือนตัวนางเอกถูกกักขังจากสังคมยิวหัวเก่าในนิวยอร์ค แต่ถ้ามองกันดีๆ ก็จะเห็นว่าไม่ใช่ซะทีเดียว สิ่งที่กักขังนางเอกกลับเป็นความคิดที่ถูกตีกรอบสั่งสอนมา ทำให้นางเอกเองแม้จะเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ แต่ก็ยังมีความกลัวในความแตกต่างจากสิ่งที่เคยถูกสอนมาว่าเป็นสิ่งไม่ดี เป็นภัยกับตัว นี่เป็นสิ่งเดียวที่กักขังนางเอกไว้ และก็ตามติดมาถึงเยอรมัน ไม่ใช่คนที่ถูกสั่งมาตามล่าหานางเอกอย่างที่คิด

ซ้ายคนที่ถูกส่งมาตามตัวนางเอกกลับไป ขวาสามีของนางเอก

นี่เป็นซีรีส์ที่ควรค่าแก่การดู มีความสมจริงปราณีตกับงานสร้างทุกรายละเอียด โดยพุ่งเป้าสำรวจโลกของชุมชนของยิวแท้ๆ ให้เราได้รับชมและทึ่งไปกับความเป็นคนชายขอบในโลกยุคใหม่ พร้อมทั้งการแสดงที่ทรงพลังไปกับเรื่องราวที่เป็นจริงแบบจับต้องได้ ไม่เพ้อฝัน มีทั้งความหดหู่และสวยงามไปพร้อมกัน กับฉากจบที่อาจจะดูปลายเปิด แต่ถ้าเข้าใจว่าสร้างจากเรื่องจริงก็จะได้พบคำตอบของฉากสุดท้ายในเรื่องนี้ได้ในตัวเองครับ และเมื่อดูจบแล้วระบบของ Netflix จะเล่นต่อให้ดูเบื้องหลังงานสร้างซีรีส์ Unorthodox แนะนำว่าควรดูเป็นอย่างมาก เพราะจะได้คำตอบของหลายอย่างในเรื่องเพิ่มขึ้นครับ

ติดตามรีวิวหนังในเว็บไซต์คลิกที่นี่

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!