playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว A Man in Full (Netflix) เรื่องธุรกิจที่ไม่เข้มข้นแล้วยังจบแบบงี่เง่ามาก

A Man in Full

Summary

ซีรีส์จากผู้สร้าง David E. Kelley ที่หลุดฟอร์มไปมาก เรื่องขาดชั้นเชิงการต่อสู้ทางธุรกิจดีๆ แม้ภาพลักษณ์นักแสดงจะเล่นได้ดีมากก็ตาม อีกทั้งยังใช้เวลากับตัวละครเสริมนอกเรื่องเยอะมาก แม้จะดีแต่เรื่องส่วนนี้ก็ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักเลย และตอนจบที่งี่เง่าจนดูตลกก็ทำให้เรื่องนี้แทบพังทันที

Overall
5.5/10
5.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ซีรีส์จากผู้สร้าง David E. Kelley แนวธุรกิจ
  • ภาพลักษณ์นักแสดงตัวเอกเหมือนนักธุรกิจจริงๆ
  • เรื่องของคนผิวดำที่ถูกกฏหมายเล่นงานแบบอยุติธรรม
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • การต่อสู้ทางธุรกิจที่งั้นๆ มาก
  • ตัวละครเป็นคนดีจนตรงข้ามกับภาพลักษณ์นักธุรกิจจริงๆ
  • ตอนจบที่ไม่สมเหตุผลมาก

A Man in Full ผู้ชายเต็มตัว ซีรีส์ Original netflix 6 ตอนจบ มีพากย์ไทย ดัดแปลงมาจากนวนิยายขายดีของ Tom Wolfe เรื่องราวของ ชาร์ลี โครเกอร์ พ่อค้าอสังหาริมทรัพย์ในแอตแลนตา เมื่อเขาเผชิญกับภาวะล้มละลาย ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างผลประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจ ขณะที่เขาพยายามปกป้องอาณาจักรของเขาจากผู้ที่พยายามจะเอารัดเอาเปรียบจากการล้มลงของเขา

 

A Man in Full (2024) on IMDb

รีวิว A Man in Full ผู้ชายเต็มตัว (ไม่สปอยล์)

ซีรีส์เรื่องนี้เขียนบทโดย David E. Kelley ผู้สร้างซีรีส์ดังมาหลายเรื่องอย่างใน Netflix ก็คือ The Lincoln Lawyer โดยผลงานของเขาจะมาในแนวดราม่าที่มีบทลึกซับซ้อน มีตัวละครที่ฉลาดไหวพริบดี เฉือนคมกันด้วยบทพูดเข้มๆ ซึ่งผลงานที่ผ่านมาคือเชื่อใจได้ดีงามทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้แทบจะตรงข้ามกัน ด้วยการจำลองเรื่องราวเหมือนจริงของเจ้าพ่อนักธุรกิจใหญ่ แต่เป็นเรื่องแต่งล้วนๆ ที่ไม่ได้อิงกับความจริงหรือแม้แต่เค้าโครงเรื่องจริงเลย ทำให้บทบาทของตัวละครในเรื่องนั้นดูหลุดโลดโผนขัดแย้งกับความพยายามในการนำเสนอตัวเอก ชาร์ลี โครเกอร์ ที่ยอมรับว่านักแสดง Jeff Daniels เล่นได้สมบทบาทในแง่นักธุรกิจที่หิวกระหาย ทุ่มเททุกอย่างเพื่อความเชื่อของตนเอง ซึ่งในเรื่องเขาคือนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดังมาก่อน ภูมิใจในความแมนของตัวเอง เดินตามเส้นทางที่เชื่อมั่นโดยไม่สนใจใคร ก่อนมาลงทุนอสังหาใหญ่โตทะเยอทะยานจนมีชื่อเสียง แต่เรื่องแทบไม่ได้ปูพื้นฐานของตัวละครให้ผู้ชมรู้เลย เปิดมาเป็นตอนจบที่ชาร์ลีนอนอยู่บนพื้นแบบปริศนา แล้วก็เล่าย้อนไปจุดเริ่มของปัญหา ซึ่งก็คือข้ามช่วงอดีตของเขาไปทั้งหมด ผู้ชมก็อาจจะตามเรื่องไม่ทันได้ตั้งแต่แรก ก่อนที่จะนำเสนอพล็อตปมขัดแย้งกับธนาคารที่หวังโจมตีฮุบยึดทรัพย์สินที่มีของเขาแบบตรงๆ จนทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน และเริ่มจนมุม ซีรีส์นำเสนอเส้นทางฮึดสู้ของชาร์ลี โดยใช้ทุกวิถีทางแบบตรงไปตรงมา จนสุดท้ายก็เริ่มคิดเลี้ยวไปด้านมืด ซึ่งนี่ก็คือเรื่องราวพิสูจน์ว่าชาร์ลีคนนี้เป็นผู้ชายเต็มตัวแค่ไหนเท่านั้น โดยนำเสนอเรื่องราวเว่อร์ๆ อย่างชวนคู่ค้าธุรกิจไปฟาร์มแล้วจับงูหางกระดิ่งโชว์ ฉากแสดงความเป็นลูกผู้ชายให้ลูกดู รวมถึงความรักกับเมียสาวสวยที่นิสัยดีรักกันเหลือเกิน ทุกอย่างทำให้ภาพชาร์ลีออกมาเป็นคนดีเกินจริง แม้รูปลักษณ์การแสดงของเขาจะทำได้ไม่มีที่ติก็ตาม แต่สิ่งที่แย่สุดก็คือตอนจบที่เขียนบทได้งี่เง่าตลกมาก เรียกว่าพังทั้งเรื่องเลยทีเดียวถ้ารู้ว่าจบแบบนี้ก็คงไม่มีใครดูเลยดีกว่าครับ

ชาร์ลีเผลอบีบคอคู่อริด้วยความโกรธ แต่พอสำนึกได้มือล็อคคลายไม่ได้ก็เลยตกใจจนหัวใจวายตายตามคู่กัน

และดูเหมือนว่าเรื่องขาดเนื้อหาที่จะเล่าเรื่องเฉือนคมทางธุรกิจ ทำให้ชาร์ลีแทบจะเพลี้ยงพล้ำเสียทีทุกอย่าง ซีรีส์ขาดน้ำหนักการต่อสู้ทางธุรกิจดีๆ ไปเลย แล้วก็แบ่งเวลาครึ่งหนึ่งไปเล่าเรื่องทนายผิวดำของเขาที่กำลังต่อสู้เพื่อช่วยคนผิวดำที่ภรรยาเขาเป็นเลขาของชาร์ลี ซึ่งเรื่องส่วนนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปมหลักเรื่องของชาร์ลีเลยทั้งสิ้น เป็นเหมือนเรื่องของทนายกับพาร์ทของคนผิวดำที่ติดคุกจากความผิดพลาดเล็กๆ เรื่องที่จอดรถ จนทำร้ายตำรวจผิวขาวเข้า แล้วก็โดนส่งตัวเข้าคุกจากผู้พิพากษาที่ดูแล้วโน้มเอียงไม่เชื่อใจคนผิวดำมาก ซึ่งเรื่องนำเสนอโลกของคุกอเมริกาที่แตกต่างออกไปและก็ทำได้ดีเลยเมื่อคนดีๆ ที่เข้าไปในนั้นแล้วอยากรอดชีวิตก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใช้ความรุนแรงด้วยเช่นกัน ซึ่งเรื่องทำได้เคร่งเครียด กดดัน ดูมีปมเส้นทางความแตกแยกทางเชื้อชาติจากเรื่องเล็กๆ ขยายไปจนใหญ่โตได้ดี แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่เนื้อเรื่องหลักของซีรีส์นี้อยู่ดี จนเหมือนผู้สร้างแค่ต้องการหยิบเนื้อหานี้มาอุดเติมเต็มเรื่องนี้เท่านั้น ซึ่งก็มีแค่ 6 ตอนสั้นๆ เองด้วย

 

สรุป ซีรีส์จากผู้สร้าง David E. Kelley ที่หลุดฟอร์มไปมาก เรื่องขาดชั้นเชิงการต่อสู้ทางธุรกิจดีๆ แม้นักแสดงจะเล่นได้ดีมากก็ตาม อีกทั้งยังใช้เวลากับตัวละครเสริมนอกเรื่องเยอะมาก แม้จะดีแต่เรื่องส่วนนี้ก็ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักเลย และตอนจบที่งี่เง่าจนดูตลกก็ทำให้เรื่องนี้แทบพังทันที

 

 

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!