playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Avatar 2 The Way of Water งานภาพงามจนไร้ที่ติ แต่ขาดฉากประทับใจแบบภาคแรก (ไม่สปอยล์)

Summary

งานภาพที่งดงามตระการตาแบบไร้ที่ติ ยกระดับความคมชัดละเอียดยิบของ CG ให้เป็นมาตรฐานใหม่ของวงการ แบบเต็ม 10 ให้ 100 คะแนนเลย + ภาพ 3D ที่สวยทะลุจอกระแทกหน้าตลอดเรื่อง เสมือนผู้ชมได้ร่วมดำน้ำลงไปใต้ทะเลในโลกแพนโดรา  นี่คือสิ่งที่ดึงดูดให้ดูได้เพลิดเพลินแทบไม่มีช่วงเวลาเบื่อได้เลย แต่ต้องทำใจกับบทที่ดูอ่อนลงมากกว่าภาคแรกที่ว่าอ่อนแล้ว ขาดฉากประทับใจแบบที่ภาคแรกมีให้ มีการตัดสินใจของตัวละครที่ไม่สมเหตุผลเท่าไหร่ และยังจบแบบทิ้งคาเรื่องไว้ภาคต่อแบบชัดเจน โดยไม่ยอมเคลียร์ปมที่เปิดไว้ให้หมดหลายอย่าง แต่โดยรวมนี่ก็ยังเป็นหนังที่ควรค่าแก่การไปดูในโรง ไม่ต้องรอดูในสตรีมมิ่ง Disney+ เพราะนานมากแน่ๆ กว่าจะมาลง และไม่ได้อรรถรสเท่า (ถ้าเป็นไปได้ควรดูในระบบ IMAX ที่สัดส่วนสเกล 1.90 : 1 ที่ผู้กำกับตั้งใจไว้ รวมกับระบบเสียง 12 แทร็ค)

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • งานภาพ+3D ที่สวยมากที่สุดของวงการภาพยนตร์
  • โลกแพนโดร่าใต้น้ำที่สวยสุดๆ
  • ตัวละครเด็กใหม่ๆ มีเสน่ห์
  • รายละเอียดโลกในเรื่องยังมีอะไรให้น่าค้นหาดึงดูด

 

Cons

  • บทช่วงหลังเริ่มเหมือนหมดมุก
  • มีความไม่สมเหตุผลกับการตัดสินใจของตัวละคร
  • ไม่เคลียร์ปมหลายอย่างเพื่อจบค้างคากั๊กไว้ทำภาคต่อ
  • มีจุดเชื่อมโยงกับภาคแรกที่ไม่เคลียร์

 

 

Avatar 2 The Way of Water 13 ปีแห่งการอคอย หนังระดับตำนานที่พยายามสร้างแฟรนไชนส์ของตัวเองด้วยการต่อยอดขยายเรื่องราวไปหลายภาค ภาคนี้เลยเป็นการทิ้งค้างไว้หลายอย่าง และเป็นผลเสียข้อด้อยที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
 Avatar: The Way of Water (2022) on IMDb

รีวิว Avatar: The Way of Water

เกริ่นก่อนว่าผู้เขียนดูจากโรง IMAX ไอคอนสยาม ที่ตอนนี้อัพเกรดเครื่องฉายเป็นเลเซอร์ 4K กับระบบเสียงอัพเกรด ที่นั่งที่ได้ดูก็เฉียงเกือบสุดด้านบนลงมากลางๆ หน่อย (D28) ก็ยังไม่พบว่ามีปัญหาใดๆ กับ 3D ที่ดีมากระดับลอยออกมาแทบจะทิ่มหน้าอยู่เรื่อยๆ งานภาพนี่คือระดับสูงที่สุดของวงการภาพยนตร์ที่เคยมีมาแน่นอน แบบที่ยากจะมีใครตามขึ้นมาถึงได้ง่ายๆ ด้วย ทุกฉากคือ CG หมด แบบที่สมจริงจนแยกไม่ออก เหมือนไปถ่ายที่แพนโดร่าจริงๆ แบบที่เป็นมุกล้อกัน ไม่เกินเลยความจริงตรงนี้เลย รวมถึงอัพเกรดความงดงามอลังการด้วยฉากใต้น้ำที่โผล่มาหลังผ่านไปชั่วโมงนึง จากนั้นก็คือฉากใต้น้ำที่เสมือนพาผู้ชมลงไปดำน้ำด้วยกันกับตัวละคร นี่คือสิ่งที่อวตาร 2 ทำได้แบบเยี่ยมยอดไร้ที่ติแบบเอกฉันท์หาจุดจับผิดไม่ได้เลยแน่นอน

การดำเนินเรื่องในภาคนี้คือเล่าแบบรวบรัดว่าเจคมีลูกแล้ว 3 คน กับ 1 ลูกบุญธรรมที่เกิดจาก ดร.เกรซ (เกิดได้ไงในหนังมีคำอธิบายย่อๆ) แล้วก็ตัดเข้าฉากมนุษย์กลับมาบุกแพนโดราอีกทันที โดยมีตัวร้ายผู้พันจากภาคเก่ากลับมาในร่างอวตารกับทีมเดิมหลายคนของเขา ในเรื่องบอกไว้คร่าวๆ ว่า 30 ปีจากตอนจบภาคแรก แต่เวลาบนโลกกับแพนโดร่าไม่น่าเท่ากัน เพราะมีตัวละครใหม่ที่เป็นเด็กมนุษย์โตมาบนแพนโดร่าอายุราวๆ วัยรุ่นเท่าๆ กับลูกของเจค ซึ่งจะเป็นตัวสำคัญมากของเรื่องคนหนึ่ง  ที่ตัวเรื่องทำได้ดีคือไม่ได้รอช้าจัดฉากบู๊ลุยมาให้ทันทีตั้งแต่ชั่วโมงแรก ก่อนที่องค์สองกลางเรื่องจะเป็นการทำความรู้จักกับเผ่าชาวเลที่มีวิถีชีวิตต่างออกไปจากเผ่าป่าของเจค ซึ่งก็พาให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกับโลกใหม่ของแพนโดรากันอย่างเต็มอิ่ม พร้อมกับแนะนำตัวละครใหม่หนุ่มสาวของเผ่าชาวเลที่มีความสัมพันธ์กับลูกของเจค โดยลดบทบาทพ่อแม่หันมาโฟกัสที่ลูกเป็นหลัก เหมือนเป็นการพยายามส่งต่อบทไว้ในภาคต่อไปให้เป็นตัวหลักขึ้นมาเท่ารุ่นพ่อแม่ ซึ่งตัวละครเหล่านี้ก็ดูน่ารัก มีเสน่ห์ทำให้ผู้ชมชอบได้ไม่ยาก โดยเฉพาะบทของลูกสาวหัวหน้าเผ่าชาวเลนี่สวยออร่าจับมาก แต่ก็มีบางคนที่บทช่วยให้ดูหงุดหงิดแบบการกระทำแบบเด็กๆ อยู่บางครั้งด้วย 

 60-70% แรกของการเดินเรื่องดูสนุก มีความน่าติดตามผจญภัยกับสิ่งใหม่ๆ แต่ปัญหาคือช่วงหลังของเรื่องที่เริ่มออกอาการหมดมุก ตั้งแต่ความพยายามหาจุดปมขัดแย้งให้เรื่องไม่เดินตามรอบภาคเก่าคือขับไล่มนุษย์กลับ แต่เป็นการลดสเกลฉากแอ็กชั่นให้เล็กแคบลงเป็นอีเวนท์เหตุการณ์สำคัญหนึ่งที่เกี่ยวกับชีวิตของลูกๆ ของเจค โดยพยายามผูกเรื่องให้โยงกับการทำลายธรรมชาติ เกี่ยวข้องกับการล่าปลาวาฬในเรื่องที่ใช้ชื่อเรียกว่า “ทุลคุน” ซึ่งผู้กำกับเจมส์ คาเมรอน ก็เป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะทะเลอยู่แล้ว การที่นำเรื่องนี้มาผูกเข้ากับโลกของแพนโดร่าก็ไม่แปลกอะไร แต่ก็รู้สึกว่าเป็นความพยายามส่งสารเฉพาะตัวที่เหมือนยัดไส้มากไปสักหน่อย แม้มันอาจจะไม่ได้ทำให้เรื่องดูเสียหาย แต่ทิศทางของเรื่องมันก็แปลกๆ เพราะจากนั้นคือการรบกับนักล่าปลาวาฬในเรื่อง ที่พ่วงเข้ากับตัวร้ายผู้พันในสเกลเล็กแค่เรือลำหนึ่งกับพวกหุ่นยนต์ไล่ล่าปลาวาฬทั้งบนบกและในน้ำ ซึ่งต่างไปจากภาคแรกที่ทั้งหมดเป็นหุ่นรบเครื่องจักรทำสงครามทั้งนั้น ฉากแอ็กชั่นช่วงท้ายเลยไม่ได้มีอะไรที่ดุเดือดหรือลุ้นกันสุดๆ แบบที่ภาคแรกทำไว้ได้ดีทั้งตัวละครของเจคกับผู้พัน แต่มาภาคนี้เหมือนมวยวัดนัดล้างตากันแค่นั้นแล้วก็จบไปแบบเงียบๆ โดยมีปมเรื่องสายใยของครอบครัวตัวละครมาเกี่ยวข้องพอเป็นพิธีเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้อินอะไรมาก และยังมีการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุผลเท่าไหร่ของตัวละครช่วงท้าย ออกแนวอิหยังวะเลยก็ว่าได้ ซึ่งทำให้ภาคนี้ผู้เขียนคงดูรอบเดียวพอ (ภาคแรกนี่ผู้เขียนดูหลายรอบก็ยังซึ้งอินกับประเด็นความรักหรือชีวิตพิการที่อาภัพของพระเอกอยู่ตลอด)

 

นอกจากนี้ตัวเรื่องยังไม่ได้จบในตัวแบบข่าวที่ออกมา คือเป็นการจบเรื่องแบบทิ้งคาไว้เพื่อไปต่อ และก็ยังมีอีกหลายๆ อย่างที่ไม่เคลียร์เลยแม้แต่น้อย ซึ่งแม้จะไม่เป็นปัญหากับการเดินเรื่อง แต่ก็รู้สึกว่าเป็นการคาเรื่องไว้หากิน เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเริ่มคิดปมใหม่ในภาคต่อไปอีก เอาว่ามันคล้ายๆ กับการดูลอร์ดออฟเดอะริงที่ยังไงก็ต้องดูให้จบ แต่ลอร์ดคือมีนิยายรองรับแบบละเอียดยาวมาก คนดูเข้าใจดีว่ามีหลายภาคทำไม แต่เรื่องนี้คือการเขียนบทยืดทิ้งเรื่องไว้ให้ทำต่อได้ในเชิงธุรกิจมากกว่า เพราะจริงๆ เรื่องก็สามารถจบเคลียร์ได้หมดในภาคนี้เลย แต่กลับไม่ทำ และยังเผยปมที่จะใช้ไปต่อในอนาคตที่ผู้กำกับใบ้ไว้ว่าจะมีกลับไปที่โลกในภาคหลัง ซึ่งอาจจะมีทิศทางที่น่าสนใจกว่าแพนโดร่าแล้วก็ได้ (ผู้เขียนมีสปอยล์เรื่องนี้ไว้ต่อจากนี้)

โดยรวมนี่ก็ยังเป็นหนังที่ควรค่าแก่การไปดูในโรง ไม่ต้องรอดูในสตรีมมิ่ง Disney+ เพราะนานมากแน่ๆ กว่าจะมาลง และไม่ได้อรรถรสเท่าโรง ถ้าเป็นไปได้ควรจะดูในระบบ IMAX ที่สัดส่วนสเกล 1.90 : 1 ที่ผู้กำกับตั้งใจไว้ (รวมกับระบบเสียง 12 แทร็ค) ซึ่งงานภาพร่วมกับ 3D คือสิ่งที่ดึงดูดให้ดูได้เพลิดเพลินตระการตาแบบแทบไม่มีช่วงเวลาเบื่อได้เลย แต่ต้องทำใจกับบทที่ดูอ่อนลงมากในช่วงหลังอย่างที่บอกไป และการจบแบบทิ้งคาเรื่องไว้ภาคต่อแบบชัดเจนมากครับ

สปอยล์จุดที่เรื่องค้างคาไม่เฉลยให้เคลียร์

1.เด็กทารกในตอนต้นที่โตมาชื่อสไปเดอร์ กลับเป็นลูกของผู้พันที่อ้างว่าเข้าไคโอสลีปไม่ได้ (เครื่องจำศีลเพื่อเดินทางไกลในอวกาศ) ซึ่งผู้เขียนก็นึกไม่ออกว่าในภาคแรกผู้พันไปมีลูกตอนไหนที่แพนโดรา หรืออาจจะมีอธิบายไว้ในไดเร็กเตอร์คัทที่ผู้เขียนไม่ได้ดูก็ได้ อันนี้ไม่ทราบจริงๆ แต่จุดนี้น่าจะมีคนสงสัยเยอะมากที่สุด เพราะความสัมพันธ์พ่อลูกของคู่นี้มีส่วนสำคัญกับบทในตอนท้ายที่ส่งต่อไปถึงภาคต่อไปด้วยแบบชัดเจน

2.ดร.เกรซ ปรากฎตัวออกมาในเรื่องสั้นๆ แต่ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ ก็เล่นเป็น คิริ เด็กสาวที่เกิดมาจากร่างอวตารของเกรซด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้จนจบเรื่องก็ไม่มีคำอธิบายว่าเกิดมาได้ยังไง แม้จะพอเข้าใจเลาๆ ว่าแนวเอวาส่งเกรซให้มาเกิดใหม่อีกครั้ง แต่ทั้งคู่ก็มีบทบาทแยกกัน เกรซก็ยังอยู่และรู้ว่าคิริเป็นลูกของตัวเองด้วย

3.ฝ่ายมนุษย์ในเรื่องที่สร้างเมืองใหญ่โตในตอนแรก กลับหายไปเลยหลังจากการแนะนำตัวสั้นๆ ว่ามาที่แพนโดร่าเพื่อสร้างโลกใหม่ที่มนุษย์จะมาอยู่ที่นี่ได้ เพราะโลกในตอนนั้นกำลังล่มสลายแล้ว แต่ก็ไม่มีบอกรายละเอียดมากกว่านี้ ซึ่งตรงนี้ชัดว่าจะไว้เล่นในภาคต่อไปอาจจะ 3-4 เลยก็ได้ เชื่อมกับเรื่องที่เกรซเคยบอกไว้ว่าห่วงโซ่ระบบนิเวศน์ของที่นี่อาจจะช่วยโลกได้ด้วย ก็อาจจะเป็นการนำตัวละครจากแพนโดร่ากลับมาที่โลกก็ได้ 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!