playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Baby Reindeer (Netflix) ตลก+น่ากลัวแบบปั่นประสาทจากผู้ป่วยโรคจิตสตอล์กเกอร์

Baby Reindeer

Summary

ซีรีส์ดราม่าที่เล่าเรื่องผู้ป่วยโรคจิตสตอล์กเกอร์ได้อย่างลงลึกสุดขั้ว เรื่องให้ทั้งอารมณ์ตลกจากพฤติกรรมแปลกประหลาดกับความน่ากลัวปั่นประสาทมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่กฏหมายเอาผิดไม่ได้ พร้อมกับสำรวจชีวิตตัวเอกลูสเซอร์ที่เต็มไปด้วยบาดแผลหลายอย่างฝังลึกไว้ จนเป็นเหตุให้เขาต้องมาเจอเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องคลายปมบาดแผลของทั้งคู่ได้อย่างน่าสะเทือนใจและจบได้ดีเลยครับ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • เล่าเรื่องผู้ป่วยโรคจิตสตอล์กเกอร์แบบสุดขั้ว
  • ตลก+ปั่นประสาทไปพร้อมกัน
  • นักแสดงมาร์ธาเล่นได้สมบทบาท
  • จำนวนเวลาในตอนสั้น

Cons

  • การตัดสินใจของตัวเอกจะดูแปลกๆ ไม่สมเหตุผลหลายครั้ง

Baby Reindeer เบบี้ เรนเดียร์ ซีรีส์ Original Netflix อังกฤษ แนวดราม่าตลก 7 ตอนจบ เรื่องราวของชายผู้ฝันอยากเป็นนักแสดงตลกแต่เขาต้องพบเจอกับสตอล์กเกอร์สาวอ้วนจนเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวของเขากับเธอ ซึ่งพาไปสู่การเปิดบาดแผลบาดแผลที่ฝังลึกและมืดมน
Baby Reindeer (2024) on IMDb

 

ตัวอย่าง Baby Reindeer เบบี้ เรนเดียร์ (ไม่สปอยล์)

ซีรีส์อังกฤษ 7 ตอนจบที่ความยาวไม่มากนัก รวมแล้ว 3 ชั่วโมงนิดๆ ด้วยเนื้อหาของผู้ป่วยโรคจิตสตอล์กเกอร์กับอาการหลงผิดในตัวเองอย่างสุดขั้ว โดยเรื่องเกิดจากแค่การเลี้ยงชา 1 แก้วให้กับ มาร์ธา (เล่นโดย Jessica Gunning) ผู้หญิงอ้วนวัย 40 ปีที่น่าสงสาร แต่เธอกลับคิดว่าเขามีใจให้เธอจนสู่การหมกหมุ่นตามติดชีวิตแบบสตอกเกอร์ ซีรีส์นำเสนอเรื่องแบบดิ่งลึกสุดขั้วของคนเป็นโรคนี้จริงๆ (ตอนเริ่มเรื่องก็โปรยว่าสร้างจากเรื่องจริง) ซึ่งมันส่งผลน่ากลัวปั่นจิตใจมาก อย่างการดักเจอแบบซ้ำๆ ทุกวัน แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด หรือการติดต่อผ่านอีเมล์ โซเชียล ข้อความเสียง ที่เต็มไปด้วยคำพูดลามกอนาจารแต่ก็ไม่ถึงขั้นผิดกฏหมาย ซึ่งเรื่องก็วางแบ็คกราวด์ให้เธอเป็นอาชญากรที่โปรเรื่องนี้มากจนหาช่องทางหลบรอดไปได้เรื่อยๆ โดยที่อารมณ์ของเรื่องเป็นแนวการก่อกวนเล็กๆ ที่อาจจะดูตลก แต่พอซ้ำไปเรื่อยๆ นี่คือเรื่องราวที่กดดันทางจิตกันสุดๆ แบบหาทางออกไม่ได้ โดยที่ซีรีส์ก็ไต่อารมณ์ความหมกมุ่นจนเกินขีดขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกตอน แม้จะมีฉากน่าสงสารอยู่เป็นระยะๆ จากการที่เธอเป็นผู้ป่วยชัดเจน แต่ความน่าสงสารนั้นก็คือเชื้อไฟที่ไปจุดติดทำให้เธอกลับมาได้เสมอ ซึ่งนักแสดงเล่นได้กินขาดมากทั้งอารมณ์โรคจิตสลับกับอารมณ์น่าสงสารไปพร้อมกัน 

แต่เรื่องก็ไม่ได้นำเสนอแค่ด้านสตอกเกอร์เพียงอย่างเดียว ตัวเอก ดอนนี่ ดันน์ (แสดงโดย Richard Gadd) ก็เต็มไปด้วยปมบาดแผลในชีวิต โดยนอกจากความฝันอยากเป็นตลกเดี่ยวไมค์โครโฟนที่ทำไม่ได้สักที เขายังมีเส้นทางชีวิตที่เดินผิดพลาดคบคนผิดตั้งแต่แรก ซึ่งในตอน 4 จะเป็นเรื่องราวชีวิตที่เหลวแหลกของดอนนี่ทั้งตอน ต่างไปจาก 3 ตอนแรกที่เขาโดนคุกคาม ซีรีส์หันมาโฟกัสในจุดที่ว่าทำไมเขาตัดสินใจผิดๆ กับมาร์ธาเสมอ ซึ่งผู้ชมอาจจะหงุดหงิดกับการตัดสินใจไม่สมเหตุผล แบบนี้หลายครั้ง แต่เรื่องก็พยายามใส่เหตุผลมาให้พอเข้าใจได้ เพราะตัวดอนนี่เองก็เต็มไปด้วยบาดแผลและคำโกหกที่หนักหนาสาหัสกว่าเรื่องของมาร์ธาซะอีก ซีรีส์นำเสนอคนมีบาดแผลทางจิตสองคนที่แตกต่างมาเจอกัน  ก่อนหาทางคลายปมต้นเหตุของบาดแผลทางจิตของทั้งคู่ในแบบดราม่าที่ซึมลึกสะเทือนจิตใจพอสมควรเลย  ซึ่งเรื่องเก็บงำคำที่มาร์ธาเรียกดอนนี่ว่า เจ้ากวางน้อย (เบบี้ เรนเดียร์) ตั้งแต่แรกมาเป็นตัวปิดฉากเรื่องนี้ได้ดีมาก

นอกจากนี้เรื่องยังมีตัวละคร เทอรี่ เล่นโดย Nava Mau หญิงข้ามเพศจริงมารับบทนี้ (ชายข้ามมาเป็นหญิง) เธอเป็นคนรักกับดอนนี่ในแบบถูกปิดบังไว้หลายอย่าง และการเป็นนักบำบัดก็ส่งผลให้เธออยากเข้าใจสิ่งที่ดอนนี่เจอ เทอรี่เป็นตัวละครสำคัญที่ทั้งฉุดรั้งและผลักดันให้ดอนนี่ต่อสู้กับมาธาร์ให้ได้ โดยมีความรักของเธอเป็นเดิมพันตัดสิน

 

สรุปเป็นซีรีส์ดราม่าที่เล่าเรื่องผู้ป่วยโรคจิตสตอล์กเกอร์ได้อย่างลงลึกสุดขั้ว เรื่องให้ทั้งอารมณ์ตลกจากพฤติกรรมแปลกประหลาดกับความน่ากลัวปั่นประสาทมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่กฏหมายเอาผิดไม่ได้ พร้อมกับสำรวจชีวิตตัวเอกลูสเซอร์ที่เต็มไปด้วยบาดแผลหลายอย่างฝังลึกไว้ จนเป็นเหตุให้เขาต้องมาเจอเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องคลายปมบาดแผลของทั้งคู่ได้อย่างน่าสะเทือนใจและจบได้ดีเลยครับ

 

 


รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!