รีวิวซีรีส์ Bet Netflix โคตรเซียนโรงเรียนพนันเวอร์ชั่นที่ดูสดใหม่ แต่ไม่มากพอให้คุ้มค่าดูนักหรอก

Bet ซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันของ Netflix จำนวน 10 ตอนจบซีซั่นแรก ดัดแปลงจากอนิเมะและมังงะชื่อดัง “โคตรเซียนโรงเรียนพนัน” (Kakegurui) โดยเรื่องราวยังเป็นโลกแห่งการพนันในโรงเรียน แต่มีการเพิ่มเส้นเรื่องการแก้แค้นเข้ามาอย่างชัดเจนมากกว่าต้นฉบับเดิม

รีวิว Bet โคตรเซียนโรงเรียนพนันเวอร์ชั่นรีเมค

ทำไมต้องรีเมคใหม่เป็นเวอร์ชั่นฝรั่ง? นี่คงเป็นคำถามแรกที่ทุกคนสงสัย ก็คงต้องอธิบายว่า เวอร์ชั่นเก่า Live action ซีรีส์คนแสดงญี่ปุ่นที่ลงในเน็ตฟลิกซ์ถึงไม่ได้ถูกระงับหรือยกเลิกอย่างเป็นทางการ แต่หลังจากที่ภาพยนตร์ภาคต่อ Kakegurui 2: Ultimate Russian Roulette เข้าฉายในโรงปี 2021 ก็ไม่มีการประกาศเกี่ยวกับซีซันใหม่หรือโปรเจกต์ต่อเนื่องใด ๆ สาเหตุหลักก็คงเพราะโควิด-19 และอายุนักแสดงที่มากขึ้นถึง 5 ปี แถมหลายคนเปลี่ยนอาชีพจากนักแสดงไปเป็นอย่างอื่นแล้ว ซึ่งถึงเน็ตฟลิกซ์อยากทำต่อแค่ไหนก็คงทำไม่ได้ สุดท้ายก็เลยได้ Simon Barry ครีเอเตอร์ที่สร้าง Warrior Nun เวอร์ชั่นซีรีส์จากการ์ตูนแบบเดียวกันมาทำ ซึ่ง Warrior Nun ฉายได้ 2 ซีซั่นก็โดนระงับไปเหมือนกัน….

เรื่องราวยังคงเดิมด้วยการเล่าถึงเด็กสาวผู้มีพรสวรรค์ด้านการพนันถูกส่งไปยังโรงเรียนประจำ St. Dominic’s ซึ่งเป็นสถาบันสำหรับชนชั้นสูงที่ระบบการพนันเป็นหัวใจหลักของสังคม นักเรียนใช้เงินสนับสนุนจากผู้ปกครองในการเดิมพัน และผู้แพ้จะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกควบคุมโดยผู้ชนะ โดยที่เธอมีเป้าหมายสูงกว่านั้นคือการหาความเชื่อมต่อการตายของพ่อแม่กับโรงเรียนแห่งนี้

สำหรับเวอร์ชั่นนี้มีการดัดแปลงที่น้อยสุดคือตัวเอก ยูเมโกะที่แสดงโดยนักแสดงลูกครึ่งญี่ปุ่น-แคนาดา Miku Martineau มาเล่น โดยเธอเล่นตามแบบเดิมของต้นฉบับคือใส่อารมณ์จัดจ้านอินเนอร์มาเต็มที่เล่นโดยเอาความสนุกเป็นที่ตั้งล้วนๆ แล้วก็ใส่อารมณ์โอเวอร์แอคติ้งสไตล์ญี่ปุ่นลงไป แต่ให้เป็นนักแสดงฝรั่งมาแทน ซึ่งก็ยังได้เหมือนเวอร์ชั่นก่อนไม่ได้แตกต่างมาก ส่วนคนอื่นก็จะโอเวอร์แอคติ้งตามสไตล์ญี่ปุ่นกันหมด แต่มีการดัดแปลงไปใช้นักแสดงผิวดำเป็นตัวพระเอก มี LGTBQ เพิ่มเข้ามาออกจะ Woke กันแบบสุดๆ แบบที่เน็ตฟลิกซ์ชอบทำนั่นแหละ ซึ่งจุดนี้เป็นดาบสองคมมากจริงๆ ที่ซีรีส์กล้าเปลี่ยนนักแสดงกันสุดๆ แบบนี้ แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกเฉยๆ กับเรื่องนี้มาก อาจจะเพราะดูเยอะจนชินแล้วก็ได้ และก็เห็นว่าหลายคนคงตัดสินกันตั้งแต่หน้าปกแล้วว่า ไม่ดูดีกว่า แต่ตอนนี้ซีรีส์ขึ้นอันดับ 3 ในไทยอยู่ซึ่งถือว่าสูงมากอันดับต้นๆ เพราะประเทศอื่นเฉลี่ยอยู่ท้ายๆ ตาราง 10 อันดับกันหมด  

แต่ถ้าตัดเรื่องการดัดแปลงที่แตกต่างสุดขั้วนี้ออกไป ซีรีส์เล่าเรื่องราวได้กระชับไวกว่ามาก ในซีซั่นเดียวไปไกลกว่าถึงการล้างแค้นให้พ่อแม่ของเธอที่เป็นเป้าหมายจริงๆ ของเรื่องนี้แล้ว ซึ่งในครึ่งแรกคือการไล่ถล่มพวก 10 อันดับสภาโรงเรียน เวอร์ชั่นนี้เล่าเรื่องได้สนุกกว่า มีสีสันการตัดต่อภาพทันสมัยเหมือนพวกซีรีส์วัยรุ่นอเมริกาทำกัน อย่างการใช้ภาพขนาดจอที่ต่างออกไปในการเล่าเรื่องที่โฟกัสเฉพาะจุด ซีรีส์ใช้ฉากการตัดภาพมาเป็นจุดขายหนึ่งทำให้ดูแล้วสนุกขึ้นจริงๆ โดยที่เกมก็มีการดัดแปลงเปลี่ยนไปมาก ดูหลากหลายขึ้น อย่างเกมในตอน 2 เป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ด้วยความลับส่วนตัวที่ขุดกันมาแฉ โดยติดฮาร์ทเรตวัดชีพจรไว้ ใครหัวใจเต้นเกินขีดจำกัดก็แพ้ไป หรือเกมกิโยตินนิ้วที่ใครกล้าแช่นิ้วไว้นานที่สุดคือชนะ ซึ่งพวกนี้คือส่วนที่ดัดแปลงออกมาได้ดีเลย ทำให้เรื่องดูแตกต่างแล้วก็สนุกไปอีกแบบ

แต่ครึ่งหลังช่วงที่ยูเมโกะเริ่มเข้าโหมดล้างแค้นกลับดูเละเทะขึ้นเรื่อยๆ ตัวเรื่องเปลี่ยนไปเน้นให้เธอหมกหมุ่นหาทางฆ่าผู้ใหญ่ที่คุมโรงเรียนนี้แทน ซึ่งเรื่องวนเวียนอยู่กับการประดิษฐ์ระเบิด ใส่ยาพิษ โดยที่การดวลพนันลดน้อยลงจนแทบไม่ใช่จุดสำคัญของเรื่องเหมือนช่วงแรก โดยถึงจะพยายามตัดต่อฉากเล่าเรื่องให้วัยรุ่นทันสมัยยังไง มันก็ฉุดความน่าเบื่อที่สะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ จนกลายเป็นซีรีส์ที่ดูจบแล้วก็ผ่านไปเลย แม้เนื้อเรื่องจะไปไกลกว่าเวอร์ชั่นเดิมมากก็ตามครับ ซึ่งดูจากความนิยมในทั่วโลกก็ได้คะแนนต่ำมาก ก็มีโอกาสจะไม่ได้ทำต่อซ้ำรอยเดิมอีกรอบก็เป็นได้….

สรุป Bet โคตรเซียนโรงเรียนพนัน เวอร์ชั่นนี้ก็ยังทำออกมาไม่ได้ดีพอนัก ถึงจะได้ความสนุกกับเกมใหม่ๆ ที่ใส่เข้ามาบ้าง แต่มันก็ยังดูฉาบฉวยจบง่าย ไม่พอจะยกระดับให้สดใหม่ได้จริงๆ ถึงการเปลี่ยนตัวนักแสดงฝรั่งล้วนยกเว้นตัวเอกที่ยังใช้คนญี่ปุ่น (ลูกครึ่ง) แบบเดิม จะให้ความรู้สึกที่แตกต่าง แต่มันก็ดูมากเกินไปแล้วก็ไม่ได้การแสดงที่เข้ากันได้นัก กลายเป็นการผสมรวมซีรีส์วัยรุ่นอเมริกันโว้คที่เน็ตฟลิกซ์ชอบทำเข้ากับโอเวอร์แอคติ้งแบบญี่ปุ่นที่หลายคนก็ไม่ชอบ ซึ่งก็เหมือนเบิ้ลให้ทุกอย่างดูเลวร้ายลงไปอีก แต่หากคุณไม่คาดหวังต้นฉบับมากมาย ซีรีส์ก็ยังดูสนุกได้ช่วงครึ่งแรกกับเนื้อเรื่องในครึ่งหลังที่ไปไกลกว่าเวอร์ชั่นก่อนมาก เพียงแต่แนะนำว่ารอสักเดือนกว่าค่อยดูก็ได้ เพราะสุดท้ายอาจจะโดนระงับไม่ได้ทำต่อถึงขั้นลอยแพเคว้งเหมือนรอบก่อนอีกก็ได้ครับ

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่