playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Copycat Killer ซีรีส์ฆาตกรต่อเนื่องที่สะท้อนสังคมปั่นข่าวเรียกเรตติ้ง (ไม่สปอยล์)

Copycat Killer

Summary

ซีรีส์สืบสวนฆาตกรต่อเนื่องจากไต้หวันที่ยังผ่านเกณฑ์คุณภาพความสนุก งานโปรดักชั่นดี บทดราม่าลงลึกละเอียดลึกซึ้งให้เวลามากกับปมต่างๆ ในเรื่องทั้งความยุติธรรมตามกฎหมายที่ถูกสั่นคลอนโดยคนร้ายที่ใช้สื่อเล่นกับกระแสสังคม กับการที่ข่าวกลายเป็นการทำเพื่อเรียกเรตติ้งโดยไม่สนใจความรู้สึกของครอบครัวเหยื่อ ทั้งหมดค่อยๆ เกี่ยวพันกันและเฉลยออกมาได้ดี แต่การเล่าเรื่องที่ลงลึกมากเป็นพิเศษก็ทำให้ใช้เวลานานจนเรื่องสโลว์เบิร์นพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อเพราะส่วนของการสืบสวนฆาตกรระทึกๆ ก็มีแทรกมาเป็นระยะไม่มีช่วงขาดหายไป แต่ตัวฆาตกรช่วงหลังกับการก่อคดีฆาตกรรมจะเว่อร์เกินจนหลุดความเป็นจริงมากไป ในแง่ที่ว่าคนร้ายก่อคดีแล้วรอดจากเทคโนโลยีสืบสวนต่างๆ ที่มีไปได้ยังไง (แม้ในเรื่องจะเป็นยุค 90) แต่ก็ยังแนะนำว่าใครที่ชอบงานซีรีส์ไต้หวันมาก่อนก็ยังดูได้และน่าจะชอบได้เหมือนเดิมครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • แนวสืบสวนดราม่าฆาตกรรม
  • เนื้อเรื่องย้อนยุค 90
  • เล่นกับปมสื่อทีวีข่าวเรียกเรตติ้งไม่สนใจเหยื่อ
  • ฉากโหดร้ายกับผู้หญิงเยอะ
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • คนร้ายช่วงหลังก่อคดีแล้วรอดไปได้แบบง่ายๆ จนไม่น่าเชื่อ
  • เรื่องค่อนข้างสโลวเบิร์น

 

Copycat Killer ฆ่าเลียนแบบ ซีรีส์สืบสวนฆาตกรต่อเนื่องจาก Netflix ไต้หวัน 10 ตอนจบมีพากย์ไทย สร้างจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของมิยาเบะ มิยูกิ นักเขียนนิยายลึกลับชื่อดังชาวญี่ปุ่น เรื่องราวเกิดขึ้นในทศวรรษ 1990 เมื่อกั๋วเสี่ยวฉี (หวูคังเริน) อัยการผู้มีปมในอดีตถูกฆ่ายกครัว ต้องมาเจอกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องลักพาตัวและฆ่าหญิงสาว พร้อมทั้งส่งสารท้าทายมายังตำรวจเพื่อปั่นกระแสสังคมผ่านรายการทีวีสดชื่อดัง

Copycat Killer (2023) on IMDb

รีวิว Copycat Killer (ไม่มีสปอยล์)

แนวฆาตกรต่อเนื่องที่ไต้หวันนิยมชอบทำออกมามากในเน็ตฟลิกซ์ และก็ไม่เคยตกมาตรฐานเลยสักเรื่อง มีแค่ดีมากดีน้อย ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังจัดอยู่ในระดับมาตรฐานงานไต้หวันที่ดีเรื่องหนึ่ง ด้วยเรื่องเล่าที่พุ่งเป้าไปที่อัยการผู้รักษาความยุติธรรม แต่ถูกคนร้ายปั่นหัวด้วยศพแล้วศพเล่า พร้อมทั้งเล่นกับความรู้สึกของครอบครัวเหยื่อที่ลูกถูกลักพาตัวไปทรมานและส่งชิ้นส่วนของเหยื่อมาให้ดู ซึ่งก่อให้เกิดกระแสข่าวปั่นป่วนสังคมตามแผนที่คนร้ายวางไว้ 

ตัวเนื้อเรื่องแบ่งเป็นครึ่งแรกคือการตามหาฆาตกรที่มีส่วนเชื่อมโยงกับคดีคล้ายกันในอดีตที่คนร้ายสารภาพรับโทษจำคุกไปแล้ว ซึ่งก็เป็นชื่อที่มาของเรื่องก็อปปี้แคทที่เหมือนถึงการเลียนแบบฆาตกรรม ซึ่งในส่วนนี้จะไม่ถึงกับเดาเรื่องอะไรยากมาก เพราะตัวคนร้ายก็มีเปิดมานิดๆ ให้น่าสงสัยอยู่หลายครั้งแบบชัดเจนว่ามีพิรุธ ตัวเรื่องจึงไปเน้นที่รูปแบบการทรมานเหยื่อหญิงสาวแบบโหดๆ กับวิธีการที่คนร้ายใช้เล่นเกมกับตัวเอก นอกจากนี้แล้วตัวเรื่องจะมีซับพล็อตบางๆ เล่าเกริ่นนำความเชื่อมโยงบางอย่างของตัวละครเสริมเรื่องที่ไปเกี่ยวกับคนร้ายและตัวเอกอัยการ เพื่อปูเรื่องเข้าสู่จุดหักมุมและเป็นหัวใจของเรื่องจริงๆ ในช่วงครึ่งหลัง

ในส่วนครึ่งหลังก็คือการเริ่มเรื่องจริงของผู้บงการตัวจริงที่ซ่อนตัวมาตลอด ซึ่งเรื่องราวช่วงนี้จะเข้มข้นกว่าครึ่งแรก แล้วก็เปิดตัวฆาตกรออกมาไวตั้งแต่ตอน 6-7 ก็จะรู้แล้วว่าเป็นใคร ก่อนที่จะเป็นเกมของคนร้ายกับตัวเอกอัยการผ่านรายการทีวีสด ซึ่งสเกลเรื่องจะขยายใหญ่โตจากความกลัวฆาตกรต่อเนื่องมาเป็นความคลั่งไคล้ที่ฆาตกรออกทีวีส่งสารท้าทายตำรวจ และยังให้ผู้ชมทางบ้านมีส่วนร่วมเล่นเกมที่มันออกแบบไว้ โดยมีสื่อช่วยขยายกระพือข่าวหากินกับเรตติ้งเป็นเชื้อไฟจุดให้สังคมตกต่ำลงตามที่ฆาตกรหวังไว้ 

ตัวเรื่องเล่าแบบลงลึกละเอียดยิบกับดราม่าทุกแง่มุมทุกตัวละคร ตั้งแต่อัยการที่มีบาดแผลทางจิตใจในอดีตและยังก้าวข้ามผ่านมันไปไม่ได้ ต้องเจอกับบททดสอบของฆาตกรที่กฎหมายจัดการมันไม่ได้ จนความรู้สึกศาลเตี้ยนอกระบบเริ่มเข้าครอบงำ /นักข่าวหน้าใหม่ที่เพื่อนเคยเป็นเหยื่อมาก่อนและต้องตั้งตำถามกับวิชาชีพที่ตนเองเชื่อมั่นศรัทธาว่าเป็นการช่วยสังคมหรือแค่การทำโชว์เรียกเรตติ้ง /แฟนสาวของพระเอกที่เป็นนักจิตวิทยาที่มีปมเรื่องน้องชายเคยก่อความรุนแรงและตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ แต่เธอไม่ยอมรับ / พิธีกรข่าวชื่อดัง 2 คนที่ทำช่องเดียวกันเป็นคู่แข่งที่แนวทางต่างกันในทางจริยธรรมการทำงานอย่างมาก/ ครอบครัวของเหยื่อแต่ละรายที่มีสตอรี่ปูมหลังความผูกพันและความผิดพลาด ที่ทำให้คนร้ายได้ตัวเหยื่อสาวที่มักเป็นเด็กวัยรุ่นไปทรมาน/ ซึ่งการเล่าเรื่องแบบละเอียดยิบย่อยไปทุกส่วนนี้ก็ทำให้เรื่องนี้ยาวและค่อนข้างสโลวเบิร์นมากในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับน่าเบื่อ เพราะตัวเรื่องก็ยังแทรกความตื่นเต้นของคนร้ายกับการสืบสวนของพระเอกไว้เป็นระยะๆ ได้ดีพอตัว

 

นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องรักแทรกเบาๆ กับปมของพระเอกอัยการที่หมกหมุ่นทำคดีตลอดเวลาจนไม่มีเวลาให้ใคร โดยมีนักข่าวสาวหน้าใหม่ที่เข้ามาช่วยเทคแคร์พระเอกเป็นช่วงๆ  โดยมีอดีตแฟนสาวที่เป็นนักจิตวิทยากลับเข้ามาในความรู้สึกระหว่างทำคดีนี้ด้วย ซึ่งดราม่าพวกนี้ทำมาคั่นเล็กๆ ไว้เสริมความสัมพันธ์ของตัวละครให้แนบแน่นขึ้นเท่านั้น ไม่ถึงกับเป็นแนวรักเต็มตัวแบบพวกซีรีส์เกาหลี

 

จุดด้อยของเรื่องหลักๆ คือความเว่อร์ของฆาตกรที่แม้จะแสดงให้เห็นแต่แรกว่าไม่ได้มีคนเดียว แต่การที่ทั้งลักพาตัว กักขัง มีมือถือเหยื่อติดไปด้วย บางครั้งก็ลงมือฆ่าคนในที่ๆ ไม่น่าเป็นไปได้อย่างอพาร์ทเมนท์ของเหยื่อที่ยังไงก็มีกล้องวงจรปิด แม้ตัวเรื่องจะเล่าในช่วงย้อนยุคปี 1990 แต่ในเรื่องก็มีมือถือใช้กันทุกคนที่สามารถเช็คตำแหน่งได้ และมีการเช็คกล้องวงจรปิดในคดีหลายครั้ง แต่ตัวเรื่องข้ามผ่านอุปกรณ์พวกนี้ไปแบบง่ายๆ อย่างเช็คแล้วไม่เจอในกล้อง หรือไม่ก็ทำลืมไปว่ามีทางหาตัวเหยื่อที่ถูกลักพาตัวไปได้แบบนี้ รวมถึงการที่ฆาตกรในช่วงหลังค่อนข้างเปิดเผยตัวมากๆ แต่เรื่องก็ยังดำเนินไปแบบว่าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ผู้ต้องสงสัยเท่านั้น แต่ผู้ต้องสงสัยนี้ก็ดันไปฆ่าคนต่อไปได้เรื่อยๆ อีก ซึ่งไม่สมเหตุผลมากกับคนที่ถูกตำรวจจับตาขนาดนี้

แต่โดยรวมก็ยังเป็นซีรีส์ไต้หวันที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพความสนุก งานโปรดักชั่นดี บทดราม่าลงลึกละเอียดลึกซึ้งกับปมต่างๆ ในเรื่องที่ค่อยๆ เฉลยมาได้ดี ก็แนะนำเลยว่าใครที่ชอบงานซีรีส์ไต้หวันก็ยังชอบเรื่องนี้ได้อยู่เช่นกันครับ

 

  ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!