playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

Doctor Sleep รีวิวภาคต่อ The Shining เปลี่ยนแนวสยองขวัญ หันมาสู้แบบ X-Men!

สรุป

หนังภาคต่อที่เหมาะที่สุดสำหรับคนดู The Shining ภาคแรกมาแล้ว (หาดูได้ผ่านเน็ตฟลิกซ์) แต่ถ้าไม่ได้ดูก็ยังเข้าใจเรื่องราวตามทันได้อยู่ แต่อาจจะไม่รู้สึกอินมีส่วนร่วมเท่ากับคนดูภาคแรกมา และภาคนี้ก็เปลี่ยนโทนจากดราม่าสยองขวัญกลายเป็นการต่อสู้กันด้วยพลังจิตแบบใน X-Men แทน ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีทดแทนส่วนสยองขวัญที่หดหายไป
หมายเหตุ:
สำหรับแฟนภาคแรกให้ 9/10
แต่ถ้าในฐานะคนดูทั่วไป 8/10

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • “รีเบคก้า เฟอกูสัน” งดงามโดดเด่นทุกฉากที่ออกมา
  • คืนชีพโรงแรมโอเวอร์ลุคกลับมาได้อย่างลงตัว
  • อธิบายเคลียร์ปมภาคแรกจนหมด
  • ฉากต่อสู้ในความคิดสุดครีเอท
  • พัฒนาการตัวละครแดนนี่ที่เปิดกับปิดเรื่องราวได้ลงตัว

Cons

  • ขาดฉากสยองขวัญออริจินอลแบบภาคแรก
  • ตัวร้ายสุดท้ายไม่ทันได้โชว์พลังอะไรมากอย่างที่คิด

Doctor Sleep ภาคต่อของอดีตที่กลับมาหลอนจากหนัง The Shining โรงแรมผีนรก ปี 1980 (คลิกรับชมผ่าน Netflix ที่นี่) ที่เป็น 1 ในหนังขึ้นหิ้งของผู้กำกับ Stanley Kubrick ที่จากโลกนี้ไปแล้ว โดยทำมาจากนิยายของเจ้าพ่อนิยายสยองขวัญ “สตีเฟน คิง” ที่คนส่วนใหญ่คงรู้จักกันดี ซึ่งภาคต่อนี่ได้ผู้กำกับสายหนังสยองขวัญชื่อดัง Mike Flanagan (กำกับหนัง Oculusซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ The Haunting of Hill House) มารับงานนี้ ซึ่งเรียกว่าหินพอตัวทีเดียวที่ต้องทำให้แฟนหนังภาคแรกพอใจกับเสน่ห์การกำกับสไตล์ Stanley Kubrick ที่โดดเด่่นเรื่องมุมกล้อง ดนตรีประกอบ ฉากสยองขึ้นหิ้งในเรื่อง แต่การเล่าเรื่องจะเนิบนาบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งในยุคนี้ผู้ชมที่ดู The Shining ก็คงไม่รู้สึกสนุกอะไรมาก นี่จึงเป็นการท้าทายมากที่ต้องทำให้ทั้งแฟนรุ่นเก่ากับคนดูหนังรุ่นใหม่พอใจกับเรื่องนี้

ตัวอย่างหนังซับไทย Doctor Sleep


*เนื้อหาต่อจากนี้มีคั่นสปอยล์ปิดไว้เป็นเรื่องจาก The Shining บางส่วนที่เชื่อมต่อกับ Doctor Sleep

หนังเริ่มเรื่องราวต่อจาก The Shining ในช่วงที่แดนนี่วัยเด็ก 5 ขวบกับแม่หนีออกมาจากโรงแรมโอเวอร์ลุค (Overlook Hotel) ที่เป็นที่รวมของผีปีศาจ แล้วย้ายมาใช้ชีวิตกันสองคนเงียบๆ แต่ผีร้ายจากโรงแรมโอเวอร์ลุคก็ยังตามหาแดนนี่จนเจอ ซึ่งทำให้แดนนี่ต้องเก็บซ่อน “สัมผัสวิเศษ (The Shining)” ที่เป็นสิ่งดึงดูดผีร้ายไว้เงียบๆ ไม่เปิดเผยจนอายุล่วงเลยมาถึง 40 ปี ซึ่งช่วงนี้เป็นการปูพื้นให้คนที่ไม่เคยดูภาคแรกมาก่อนให้พอเข้าใจได้ว่าแดนนี่คือใคร และมีสัมผัสวิเศษเชื่อมต่อเข้าไปในความคิดของคนอื่นได้

Redrum
Redrum

ด้วยเวลาของหนังยาวถึง 151 นาที  ผู้กำกับจึงใช้เวลาการปูเรื่องราวของแดนนี่เต็มที่ กับการเดินทางเร่ร่อนยาวนานจนมาพบจุดหมายปลายทางชีวิตในเมืองเล็กๆ ซึ่งตรงนี้จะเผยถึงที่มาของชื่อเรื่อง “ด็อกเตอร์สลีป” นี้ด้วยว่ามาจากไหน

แดนนี่ทำงานในโรงพยาบาลศูนย์ดูแลคนชรา และได้คอยช่วยเป็นเพื่อนก่อนคนเหล่านี้จากโลกไป ด้วยพลังการส่งคำพูดเข้าไปในหัวช่วยกล่อมให้คนใกล้ตายได้จากไปอย่างสงบ จนได้ฉายาจากคนชราที่นั่นว่า “ด็อกเตอร์สลีป” 

 

และนี่เป็นจุดเริ่มที่ทำให้แดนนี่ได้กลับมาใช้พลังอีกครั้ง จนนำไปสู่การเชื่อมต่อกับ “เอบรา” เด็กสาวผิวสีที่เป็นตัวเอกใหม่ในภาคนี้ ซึ่งกรณีของเอบรานั้นต่างออกไปจากแดนนี่ เธอมีรับสัมผัสได้ไกลกว่าแดนนี่มากและไม่กลัวการใช้พลังมาตั้งแต่เด็ก หนังให้เวลาเล่าเรื่องของเอบราตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ จนโตเป็นสาวน้อยที่ควบคุมพลังของตนได้ดี ไม่ได้เปิดเผยกับใครแม้แต่พ่อแม่ แต่ก็ไม่หยุดฝึกฝนการใช้พลัง ซึ่งต่างกับแดนนี่ที่กลบพลังไว้ให้ห่างจากฝันร้ายในอดีต เธอจึงเป็นเด็กสาวที่คิดว่าตัวเองแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับอะไรหลายๆ อย่าง จนมาพบกับสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต กลุ่มคนที่เหมือนปีศาจร้ายไล่ล่าสูบกินชีวิตเด็กที่มีสัมผัสวิเศษ นั่นทำให้เธอต้องมาขอร้องให้แดนนี่ช่วย จุดนี้หนังจึงได้ดึงตัวละครเก่าภาคแรกกลับมาชี้นำให้แดนนี่เข้าใจพันธะหน้าที่ของผู้มี The Shining ซึ่งเป็นการช่วยเคลียร์ปมเรื่องราวของตัวละครในภาคก่อนไปพร้อมกัน

ตัวละคนเก่าจากภาคแรกคือ เชฟผิวสีจากโรงแรมโอเวอร์ลุคผู้กลับมาในร่างเหมือนมีชีวิตกึ่งวิญญาณ กับการอธิบายว่ายายของเขาสอนการใช้พลังเพื่อให้เขาได้ช่วยเหลือเด็กอย่างแดนนี่ ก่อนที่จะให้แดนนี่ส่งต่อการใช้พลังไปในทางที่ถูกต้องนี้ให้กับคนอื่นต่อไป 

ช่วงแรกนอกจากเรื่องราวของแดนนี่แล้ว หนังเล่าเรื่องราวของกลุ่ม “the True Knot” ที่ไล่ล่าสูบพลังเด็กที่มีสัมผัสวิเศษไปพร้อมกัน โดยเผยให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของพวกนี้ที่มีชีวิตมายาวนาน นำโดย Rose The Hat สาวสวยสวมหมวกมายากล (เล่นโดย Rebecca Ferguson นางเอกมิชั่นอิมพอสซิเบิลภาคล่าสุด) ที่มีรูปแบบพลังคล้ายกับที่เอบราและแดนนี่มี ซึ่งหนังเล่าเรื่องโดยให้เห็นพิธีกรรมการกำเนิดของพวกนี้ที่มาจากผู้มีสัมผัสวิเศษเช่นเดียวกัน แต่กลับใช้ไปในทางชั่วร้าย กลายเป็นว่าภาคนี้เป็นการเล่าเรื่องราวของผู้มีพลัง 2 ฝ่าย ไม่ต่างอะไรกับ X-Men ดีๆ นี่เอง ซึ่งเป็นอะไรที่ต่างจากภาคแรกมาก หนังใช้การปะทะกันผ่านพลังจิตพิเศษทางไกลต่อสู้กันในหัวอีกฝ่าย เหมือนโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ VS.จีนเกรย์ แต่ออกลึกลับหลอนๆ ในความคิด ซึ่งผู้กำกับคนนี้ถนัดแนวนี้อยู่แล้ว แถมหนังได้เรต R ก็ใส่เลือดใส่ความสยองมาให้เห็นกันชัดๆ แต่ก็ไม่ได้ขนาดชวนแหวะแต่อย่างใด

The True Knot
The True Knot

ซึ่งในส่วนของการใช้พลัง The Shining ไม่ใช่แค่ที่ว่ามาเพียงอย่างเดียว หนังยังนำมาพลิกแพลงเป็นความสามารถใหม่ต่อยอดไปได้อีก ซึ่งส่วนนี้คงเป็นอะไรที่ถูกใจคอหนังรุ่นใหม่แน่ๆ จนแอบคิดว่าบางทีการมาของภาคนี้ที่ตั้งใจฉีกแนวจากหนังดราม่าสยองขวัญ ให้กลายมาเป็นแนวการต่อสู้ด้วยพลังเหนือธรรมชาติผสมรวมไปด้วย ถ้ามีภาคต่ออาจจะทำให้ค่ายหนังมีโอกาสฉีกเรื่องราวไปเป็น X-Men จากสตีเฟนคิงก็เป็นได้ (อันนี้ผู้เขียนมโนล้วนๆ ถึงความเป็นไปได้ถ้าภาคนี้ผลตอบรับดีทำเงินถล่มทลาย)

หนังเล่นเรื่องราวการต่อสู้ด้วยพลังพิเศษกันอย่างจุใจในชั่วโมงหลังจากปูเรื่องราว 3 ฝ่ายครบแล้ว ก่อนที่จะพาผู้ชมไปพบกับโทนหนังเรื่องราวดั้งเดิมของ The Shining โรงแรมผีนรก ผ่านโรงแรมโอเวอร์ลุคในแบบเนรมิตฉากเก่าให้มาคืนชีพใหม่ ซึ่งถ้าใครดูภาคแรกและติดตาจำได้จะสนุกในส่วนนี้มากเป็นพิเศษ เหมือนตัวเองกลายเป็นแดนนี่ที่ย้อนกลับมาโรงแรมนี้อีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่แค่การนำฉากในภาคแรกมาใช้ แต่เป็นการคาราวะผลงานของผู้กำกับ Stanley Kubrick ทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่ดนตรีประกอบ มุมกล้อง ฉากสยองคลาสสิค ซึ่งตรงนี้เป็นอะไรที่คนดูภาคแรกมาแล้วถึงจะซึมซับได้เต็มๆ หนังพาไปพบสวนเขาวงกตในตอนจบของภาคแรก แถมยังเล่นเรื่องราวการหลอกล่อแบบเดิม ย้อนรอยให้เราแอบลุ้นว่ามุกเก่าของแดนนี่ที่นำมาใช้ใหม่จะได้ผลหรือไม่ รวมถึงฉากขวานในตำนานตั้งแต่บันไดห้องโถงไปจนถึงห้อง 237 อาถรรพ์ รวมถึงการกลับมาของกรุผีแตก ที่ภาคแรกอาจจะแยกกันอยู่ แต่ภาคนี้นำมารวมกันไว้ที่เดียวหมด ก็เป็นอะไรแอบเซอร์ไพรส์นิดๆ แต่สะใจมาก เพียงแต่เสียดายว่ามาไวไปไวหน่อยเท่านั้นเอง

โรงแรมโอเวอร์ลุค Doctor Sleep
โรงแรมโอเวอร์ลุคกลับมาอีกครั้งใน Doctor Sleep

ไม่ใช่แค่ทำมาเพื่อคาราวะผู้กำกับเท่านั้น หนังในส่วนนี้ยังเป็นช่วยเฉลยข้อสงสัยว่าโรงแรมโอเวอร์ลุคแห่งนี้คืออะไร ผีร้ายที่อยู่ในที่แห่งนี้ต้องการอะไร รวมถึงการกลับมาของพ่อแดนนี่ที่แม้ไม่ได้เล่นโดยแจ็คนิโคลสัน แต่หนังก็เรียกว่าหานักแสดงที่คล้ายที่สุดมาเล่นแทน (ซึ่งตัวละครอื่นก็เช่นกันอย่างแม่ของแดนนี่ในช่วงแรก) และก็ใส่บทสนทนาคลายปมเรื่องราวความสัมพันธ์ผ่านบาร์เหล้าในภาคแรก ที่เป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนไปของพ่อแดนนี่ที่คลั่งเอาขวานไล่ฆ่าลูกเมียตนเอง ซึ่งถ้าใครไม่ได้ดูภาคแรกมาอาจจะงงๆ ไม่เข้าใจบทสนทนายาวๆ ตรงนี้ได้ แต่ถึงไม่เข้าใจก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเรื่องราวทั้งหมดที่นี่เป็นบทสรุปปิดท้ายโรงแรมโอเวอร์ลุคอย่างแท้จริง

หนังได้งานสร้างที่เรียกว่าทั้งคลาสสิคทั้งทันสมัยไปพร้อมกันตั้งแต่ดนตรี มุมกล้อง การแบ่งเล่าเรื่องราวทั้งแบบเก่าและใหม่เติมเต็มรวมกันจนเป็นอะไรที่เกือบเปอร์เฟ็กต์ หนังเดินเรื่องยาวนานแต่ไม่ได้ทำน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย กลับกันหนังคงความลึกลับน่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา ผ่านอารมณ์เนิบๆ แต่ไม่ช้ายืดยาดแบบภาคแรก ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างมากกับการทำหนังขึ้นหิ้งในตำนาน ให้กลับมาถูกใจทั้งคนดูรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ไปพร้อมกัน

นอกจากงานสร้างที่โดดเด่นมากแล้ว นักแสดงในเรื่องก็เป็นอะไรที่สุดยอดไม่แพ้กัน เชื่อว่านอกจากบทแดนนี่ตอนโตที่ได้ Ewan McGregor ดาราหนุ่มสูงวัยสุดหล่อมาเล่นเป็นแดนนี่ในแบบอบอุ่น เป็นที่พึ่งของ “เอบรา” ได้อย่างสนิทใจ และก็เป็นอาจารย์สอนวิชาไปในตัว ซึ่งเอบราที่เล่นโดยน้อง Kyliegh Curran เป็นนักแสดงเด็กหน้าใหม่พึ่เล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ที่โดดเด่นเข้าตาเป็นอย่างมากกับความสวยในแบบผิวสี พร้อมทั้งบุคลิกการแสดงในเรื่องที่เป็นเด็กสาวแกร่งกล้าสู้กับทุกอย่าง แต่ก็ยังเชื่อฟังแดนนี่ที่ในเรื่องเธอยกให้เป็นอา หนังทำตัวละครนี้ออกมาในแบบที่สามารถแยกเธอให้เป็นเรื่องราวใหม่สานต่อภาคนี้ไปได้เลย (ซึ่งเชื่อว่าผู้สร้างมีคิดไว้แน่ๆ ถึงทิ้งท้ายไว้แบบนั้น อ่านในสปอยล์ด้านล่างสุดครับ)

ส่วนกลุ่ม “the True Knot” ก็ได้ตัวละคร Rose The Hat ที่เล่นโดย “รีเบคก้า เฟอกูสัน” งดงามโดดเด่นทุกฉากที่ออกมา ซึ่งในบทเธอจะบอกว่าตัวเองเป็นมนุษย์กึ่งปีศาจที่สวยสุดบนโลก ซึ่งก็ต้องยอมรับจริงๆ เชื่อว่าทุกคนที่ดูคงละสายตาจากเธอไม่ได้ ยิ่งดวงตาที่มีเสน่ห์มาตั้งแต่เล่นเป็นสายลับในมิชชั่นอิมพอสซิเบิล 5 จนคนดูติดใจเธอ ทำให้ผู้สร้างเขียนบทปรับให้เธอกลายเป็นนางเอกในภาค 6 เต็มตัวไปเลย ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเธอมีเสน่ห์สูงเหลือล้นและเหมาะเจาะกับบทโรส สาวอมตะใน Doctor Sleep นี้จริงๆ นอกจากโรสแล้วหนังยังแพ็คคู่สาวสวยอีกคนด้วยตัวละครฉายา “Snakebite Andi” ซึ่งก็บทบาทรองมาจากโรส พร้อมทั้งรูปแบบสะกดจิตเฉพาะตัวที่โดดเด่น ส่วนตัวละครชายในเรื่องมีบท แต่ไม่ได้มีโชว์พลังพิเศษอะไรจนกลายเเป็นบทสมทบของกลุ่มมากกว่า

สำหรับ Doctor Sleep โดยตัวเองไม่ได้เป็นหนังสยองขวัญที่มีฉากน่ากลัวแบบออริจินอลของตัวเองอีกแล้ว แต่เป็นการนำฉากไฮไลท์จากภาคแรกกลับมาซ้อนทับลงไปในเรื่องแทน อย่างตัวหนังสือ REDRUM หรือผีผู้หญิงในอ่างน้ำที่เอามาใช้หลายรอบเหลือเกิน ซึ่งก็พอจะได้อารมณ์สยองขวัญเก่าๆ กลับมาอยู่ แต่ด้วยตัวหนังนำเสนอฉากต่อสู้ด้วยพลังวิเศษที่โดดเด่นเกินหน้าฉากสยองขวัญมาก ก็ทำให้ภาคนี้แทบไม่ได้เหลือความรู้สึกว่าเป็นหนังสยองขวัญโดยตรงสักเท่าไหร่ ถ้าใครคาดหวังอารมณ์ตรงนี้ไว้ก็คงต้องเสียใจด้วย ให้นึกซะว่านี่เป็นหนังต่อยอดไปในแนวทางใหม่ มากกว่าจะเดินเรื่องราวสยองขวัญคลาสสิคแบบเดิมครับ

ตัวอย่างฉากสยองคลาสสิคฉากหนึ่งของ The Shining “มาเล่นกับพวกเราตลอดไป” 

สปอยล์ตอนจบพร้อมปมที่ทิ้งไว้

หลังโรงแรมโอเวอร์ลุคถูกไฟไหม้จนหมด แดนนี่ที่ตายในโรงแรมแห่งนั้นก็กลายมาเป็นร่างจิตผู้ช่วยชี้นำเอบรา เหมือนที่เขาเองก็มีเชฟของโรงแรมโอเวอร์ลุคคอยช่วยชี้นำมาก่อนเช่นกัน (เชฟตายจากขวานพ่อแดนนี่ในตอนจบภาคแรก) ซึ่งเอบราถามแดนนี่ว่าเชื่อตามที่โรสบอกไหมว่าเธอไม่ใช่มนุษย์กึ่งปีศาจคนสุดท้ายในโลกนี้ ซึ่งแดนนี่ก็ยอมรับว่าคนแบบโรสก็ยังมีอยู่อีก โรสเองก็เล่าตอนสู้กับเอบราที่สวนวงกตว่า เอบราเป็นเหมือนตัวเธอตอนเด็กๆ จนมาพบกับผู้ให้พลังชีวิตยืนยาวเกือบอมตะถึงทำให้เธอเปลี่ยนไปจนมาเป็นกลุ่ม “the True Knot” ที่ซุกซ่อนอยู่ในเงามืดของประวัติศาสตร์โลกมาตลอด แม้ว่าจะยังมีพวกนี้อยู่ แต่ก็อาจจะมีเด็กที่กล้าสู้กับพวกนี้แบบเอเบราเช่นกัน 
และแดนนี่ก็บอกเอบราว่าไม่ต้องปิดบังซุกซ่อนพลัง The Shining นี้อีกต่อไป จงภูมิใจกับมัน มากกว่าจะกลัวว่าตัวเองจะเป็นตัวประหลาดอย่างที่ผ่านมา ซึ่งก็ทำให้เอบราเปิดเผยกับแม่ของเธอในตอนจบ ซึ่งช่วยปิดปมค้างคาในจิตใจพ่อที่ตายไป และเปิดทางไปต่อด้วยเรื่องราวของตัวเธอเองกับแดนนี่อีกด้วย 

 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!