playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

For All Mankind เมื่อประวัติศาตร์เปลี่ยนใหม่ให้โซเวียตเหยียบดวงจันทร์ได้ชาติแรก!

For All Mankind

สรุป

หนังซีรีส์ที่หน้าหนังอาจจะเหมือนสารคดี แต่นี่เป็นหนังแท้ๆ ที่เล่นเรื่องจริงผสมเรื่องสมมุติให้สมจริงเป็นประวัติศาสตร์ใหม่คู่ขนานกับที่เราเคยรับรู้มา แบบ What if? หลังโซเวียตขึ้นเหยียบดวงจันทร์ได้ก่อนอเมริกา จนนำไปสู่การแข่งขันด้านอวกาศสองชาติแบบหายใจจี้รดต้นคอ ซึ่งซีรีส์นี้จะจำลองความดุเดือดเข้มข้นทั้งทางการเมือง สังคมโลก รวมถึงผลักดันความฝันของผู้หญิงทั้งหลายให้กลายเป็นจริง

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • เรื่องราวเฟมินิสต์เข้มข้น แต่บทของผู้ชายก็ยังเด่นสมดุลย์กับเรื่องราว
  • จินตนาการประวัติสาสตร์ใหม่ได้อย่างแนบเนียนไปกับเรื่องราวจริง
  • เก็บรายละเอียดขั้นตอนโครงการอวกาศได้ดี
  • เสียดสีการเมืองระดับชาติของอเมริกาได้อย่างเจ็บแสบ

Cons

  • หนังย้อนยุคไปสมัยบุกเบิกอวกาศ อาจจะไม่ถูกใจผู้ชมใหม่ๆ ที่ไม่ได้ติดตามหรืออินกับประวัติศาสตร์
  • บิดเรื่องราวประวัติศาสตร์จริงไปมากมาย อาจจะไม่ถูกใจคนชอบเรื่องราวจริง

For All Mankind ผลงานซีรีส์ใหม่เปิดตัวบน Apple TV+ เท่านั้น (คลิกรับชมผ่านเว็บไซต์ได้ที่นี่) เป็นผลงานของ Ronald D. Moore ผู้ชนะรางวัล Emmy Award และผู้เข้าชิงรางวัล Golden Globe ที่นำเสนอมุมมองต่อประวัติศาสตร์โดยตั้งคำถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้น” (What..if?) เมื่อโซเวียตเป็นชาติแรกที่เหยียบดวงจันทร์ ความพ่ายแพ้ทำให้โครงการแข่งขันสำรวจอวกาศดำเนินไปอย่างดุเดือด โดยมีเรื่องการเมืองเรื่องหน้าตาของประเทศเป็นเดิมพัน และการแข่งขันนี้ยังกลายมาเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ความหวัง และความฝันของอเมริกา

หมายเหตุ: รีวิวนี้รีวิวจาก 3 ตอนที่เปิดให้รับชม ก่อนที่จะมาเพิ่มทุกวันศุกร์ หลังจากนี้จะมีอัพเดทถ้าเรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก และเมื่อจบแล้วจะมาอัพเดทรีวิวทั้งเรื่องอีกครั้ง 

ตัวอย่างหนัง For All Mankind Apple TV+

“นั่นคือก้าวเล็ก ๆ ของคนคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ” ประโยคประวัติศาตร์ของ “นีล อาร์มสตรอง” ไม่เคยเกิดขึ้นในเรื่องนี้ แต่กลายเป็นประโยคชื่นชมลัทธิมากซ์กับลัทธิเลนินของนักบินอวกาศโซเวียตแทน นั่นคือหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องด้วยการสมมุติว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งการเหยียบดวงจันทร์ได้เป็นชาติแรกของอเมริกา ผ่านองค์กรอวกาศนาซ่าในยุคนั้นมีความหมายกับคนในประเทศอย่างสูง หลังอเมริกาผ่านช่วงทศวรรษแห่งความสับสนปั่นป่วนที่มีทั้งเหตุลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี เหตุปะทะจลาจลเนื่องจากการเหยียดผิวตามเมืองใหญ่หลายแห่ง และความขัดแย้งภายในที่มาจากสงครามเวียดนาม สิ่งเหล่านี้สั่นคลอนการปกครองในแบบประชาธิปไตยว่าไม่มั่นคงแข็งแกร่งเท่ากับคอมมิวนิสต์ ด้วยความกลัวการแผ่ขยายอำนาจของคอมมิวนิวนิสต์ในยุคนั้น โครงการเหยียบดวงจันทร์จึงกลายเป็นเหมือนศูนย์รวมใจของคนอเมริกาทั้งประเทศ รวมไปถึงประเทศอื่นๆ ในโลกอีกด้วย

แม้ซีรีส์นี้จะเริ่มเรื่องราวด้วยประวัติศาสตร์แบบสมมุติขึ้นเอง แต่ก็มีการอ้างอิงเรื่องราวของการแข่งขันของสองชาตินี้จริงๆ มาประกอบแทรกในเรื่องด้วย โดยการเปลี่ยนลำดับความสำเร็จของสองชาตินี้ใหม่ ให้โซเวียตก้าวหน้าทำอะไรสำเร็จไปก่อน ซึ่งก็ทำให้ประธานาธิปดีนิกสันในยุคนั้นเต้นเป็นเจ้าเข้า ถึงกับสั่งการให้ทำเรื่องที่นอกเหนือจากโครงการสำรวจอวกาศ อย่างการตั้งฐานทัพทหารบนดวงจันทร์ให้ได้เป็นที่แรก (แต่ในความจริงยังไม่เคยมีเป็นรุปเป็นร่างจริงมาก่อน) แต่แล้วจุดเปลี่ยนของเรื่องราวอยู่ที่การเหยียบดวงจันทร์ครั้งที่ 2 ของโซเวียตในเวลาต่อจากครั้งแรกไม่นาน และเป็นการเปิดตัวนักบินอวกาศหญิงที่ทำให้ผู้คนบนโลกเปลี่ยนมุมมองไปอย่างสิ้นเชิงว่าผู้หญิงก็สามารถก้าวขึ้นมาอยู่จุดนี้ได้ (ซึ่งความจริงถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีนักบินอวกาศหญิงเหยียบดวงจันทร์เลยสักคน)

นี่คือหนังที่เล่าเรื่องราวหลักของ “นักบินอวกาศหญิง” ในยุคสมัยที่ผู้หญิงยังถูกมองแค่ว่าเป็นแม่บ้านทำตัวสวยๆ หาคนมาแต่งงานก็พอ หนังหยิบเอากระแสเฟมินิสต์ ในยุคปัจจุบันที่ผู้หญิงก้าวหน้าแซงผู้ชายหลายอย่างไปแล้ว ย้อนกลับไปใส่ในยุคนั้น ผ่านเรื่องราวการผลักดันโครงการนักบินอวกาศหญิงสู่ดวงจันทร์ของประธานาธิปดีนิกสัน ที่เรียกกันเล่นๆ ว่า “Nixon’s Woman” ซึ่งเอาจริงๆ ก็เป็นแค่เรื่องการเมือง หาเสียงกับผู้หญิง แม้แต่ฝ่ายการเมืองก็ยังหวังแค่ให้นาซ่าเอาผู้หญิงสวยๆ ผมบลอนด์ ดูเป็นอเมริกามากที่สุดมาจับแต่งตัวยัดขึ้นกระสวยไปดวงจันทร์ เพื่อกลบกระแสสื่อจิกกัดเรื่องนี้ก็พอ

แต่ฝั่งนาซ่าไม่ได้คิดแบบนั้น แม้จะยอมทำตามคัดหาผู้หญิงมาร่วมทีมด่วน ซึ่งในตอนนั้นไม่มีเลยสักคน ก็กลายเป็นการคัดหัวผู้หญิงหัวกะทิ 20 คนเพื่อนำมาเข้าแคมป์ฝึกหนักให้เหลือรอดเพียงคนเดียวเพื่อไปเหยียบดวงจันทร์ จากเรื่องการเมืองเพียงเพื่อต้องการให้ทัดเทียมโซเวียตเท่านั้น  แต่กลายเป็นว่าโครงการนี้กลายเป็นยิ่งกว่านั้น เรื่องราวการแข่งขันของผู้หญิงไปดวงจันทร์ ทำให้ผู้หญิงทั่วทั้งอเมริกาและโลกตื่นตัว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงสามารถเป็นอะไรก็ได้ถ้าสังคมเปิดโอกาสให้ ซึ่งนี่คือหัวใจหลักของซีรีส์ชุดนี้ นอกเหนือไปจากเรื่องราวประวัติศาสตร์สมมุติใหม่ที่สนุกไม่แพ้กัน ทั้งจากเกมการเมือง ชีวิตครอบครัวของนักบินอวกาศ ที่แม้แต่แค่จะหย่ายังลำบากเนื่องจากสื่อจับจ้องรุมทึ้งให้กลายเป็นภาพลักษณ์ไม่ดีของโครงการทั้งสิ้น

 

ถึงหนังจะเป็นการสมมุติด้านประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งรายละเอียดความสมจริงของโครงการอวกาศไว้อย่างครบถ้วน หนังทำให้เราได้เห็นขั้นตอนการฝึกที่มีเครื่องจำลองการบินในยานอวกาศ การฝึกทิ้งให้อยู่รอดกลางทะเลทรายให้เหมือนจริงบนดวงจันทร์ ซึ่งหลายอย่างเข้าขั้นอันตรายถึงตายได้เลย แต่นักบินอวกาศทุกคนก็เต็มใจเสี่ยง และไม่ใช่แค่ความสมจริงในส่วนของนักบินอวกาศ แต่ส่วนของห้องบังคับการก็ไม่แพ้กัน หนังลงรายละเอียดยิบๆ กับการทำงานภาคพื้นดินที่จะต้องช่วยเหลือนักบินแบบชี้เป็นชี้ตายได้เลยเช่นกัน โดยผ่านตัวละครหญิงคนแรกที่ได้มาทำงานในห้องนี้ แม้มันสมองจะไม่แพ้ผู้ชาย แต่ก็ต้องสู้กับการไม่ยอมรับความสามารถผู้หญิงในยุคนั้นเช่นกัน

For All Mankind เป็นหนังซีรีส์ที่หน้าหนังอาจจะเหมือนสารคดี แต่นี่เป็นหนังแท้ๆ ที่เล่นเรื่องจริงผสมเรื่องสมมุติให้สมจริงเป็นประวัติศาสตร์ใหม่คู่ขนานกับที่เราเคยรับรู้มา เหมาะกับคนที่ติดตามเรื่องราวก่อนมาถึง “อะพอลโล 11” ที่สหรัฐอเมริกาทำสำเร็จ ทำให้หยุดแข่งขันด้านอวกาศแบบหายใจจี้รดต้นคอ ซึ่งซีรีส์นี้จะจำลองการแข่งขันที่ว่านั้นต่อเนื่องจากประวัติศสตร์ ซึ่งมีความดุเดือดเข้มข้นทั้งทางการเมือง สังคมโลก รวมถึงการสร้างจินตนาการความฝันของผู้หญิงทั้งหลายให้กลายเป็นจริง

 

“For All Mankind” 3 ตอนแรกจะมีให้รับชมบน Apple TV+ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนเป็นต้นไป และจะเปิดให้ชมตอนใหม่ๆ ทุกสัปดาห์ในวันศุกร์ ทดลองดูฟรี 7 วันได้ผ่านทางเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น Apple TV ก็ได้เช่นกัน สมัครสมาชิก Apple TV+ ดูผ่านเว็บไซต์ได้ที่นี่ ด้วยราคาสมาชิกแสนถูกเดือนละ 99 บาท (แถมแชร์ได้หน้าจอได้ 10 เครื่อง อ่านรายละเอียดเพิ่มคลิกที่นี่)

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!