playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Heartstopper ซีรีส์วัยรุ่น LGBTQ ที่เสน่ห์เหลือล้น ด้วยโลกสวยสดใสน่ารัก!

สรุป

ซีรีส์วัยรุ่น LGBTQ ที่เป็นแนวรักสดใสเบาๆ แต่แฝงด้วยเนื้อหาสาระความเป็นจริงที่ละเอียดอ่อนทางความรู้สึกของความเป็นเพศทางเลือกใหม่ของสังคมในปัจจุบัน ตัวละครมีเสน่ห์สดใสชวนให้น่าหลงไหลติดตามมาก แม้จะไม่ใช่คนดูแนวนี้เองก็ตาม ถ้าได้ทดลองเปิดดูก็จะรู้สึกถึงเสน่ห์ของเรื่องนี้ในทันที เป็นซีรีส์น้ำดีที่มีองค์ประกอบทุกอย่างครบโดนใจพร้อมให้ผู้ชมหลงรักได้ง่ายๆ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
4.5 (6 votes)

Pros

  • วัยรุ่น LGBTQ ที่เป็นแนวรักสดใสมากๆ
  • ตัวละครมีเสน่ห์มากๆ เคมีเข้าคู่กันดีหมด
  • มีความฟินจิกหมอนอยู่ตลอดเวลา
  • ปมความรู้สึกเกย์ต่อคนอื่นที่ละเอียดอ่อน
  • ให้ความสำคัญกับความรักที่หลากหลายรูปแบบ
  • ใช้ฟิลเตอร์กับตัวการ์ตูนส่งเสริมถ่ายทอดอารมณ์ตัวละคร
  • เพลงประกอบเยอะลงตัว
  • มีพากย์ไทย (เสียงพากย์ดีมากๆ แนะนำ)

Cons

  • เรื่องอาจจะดูเบาๆ ไป (แต่ก็เพราะเจาะกลุ่มแนวนี้ที่เขาไม่ต้องการอะไรเครียดๆ)
  • บทของไอแซ็คเพื่อนชาร์ลีมีน้อยจนแทบหายไปจากเรื่องหลัก

Heartstopper เธอทำให้ใจฉันหยุดเต้น ซีรีส์ความรัก LGTBQ วัยรุ่น ที่สร้างมาจากการ์ตูนดังบนเว็บของนักเขียนชาวอังกฤษ Alice Oseman เรื่องนี้มีฉบับแปลตีพิมพ์ในไทยชื่อ หยุดหัวใจไว้ที่นาย ซึ่ง Netflix ก็ซื้อสิทธิมาสร้างเป็นซีรีส์ 8 ตอนจบซีซั่นแรก ที่ตอนนี้กระแสความนิยมในต่างประเทศกับคะแนนรีวิวที่ออกมาทั้งสื่อกับยูสเซอร์แฟนๆ ต้นฉบับนี่ดีมากๆ

 Heartstopper (2022) on IMDb

ตัวอย่าง Heartstopper

รีวิว Heartstopper

พล็อตเรื่องคือ ชาร์ลี (รับบทโดย Joe Locke) หนุ่มน้อยเนิร์ดที่เป็นเกย์ได้มาพบกับนิค (รับบทโดย Kit Connor) หนุ่มนักกีฬาชมรมรักบี้ ทั้งคู่ได้สานมิตรภาพระหว่างเพื่อนจนมีความรู้สึกลึกซึ้งเกินอธิบาย ขณะที่ต่างคนต่างรับมือกับชีวิตและปัญหาหัวใจที่แตกต่างกัน

 

จะเห็นว่าเนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ค่อนข้างตรงไปตรงมากับแนวทางความรักของเกย์มาก แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้มันโดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบมากก็เพราะมันเป็นเรื่องราวความรักวัยรุ่น LGTBQ ใสๆ แต่ละเอียดอ่อนในรายละเอียด ลงลึกไปถึงเรื่องเล็กน้อยของชีวิตเกย์วัยรุ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ชมที่ชื่นชอบแนวนี้จะต้องชอบมากแน่ๆ แต่สำหรับผู้ชมทั่วไปนี่ก็ยังเป็นซีรีส์ความรักวัยรุ่นที่ดูสนุกสดใสน่ารักมาก แบบท้าให้ลองเปิดดูแค่ช่วงแรกของตอนที่ 1 ก็จะรู้เลยว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่ธรรมดาในการนำเสนอเรื่องราวกับองค์ประกอบต่างๆ ออกมาได้สดใสไม่มีความรู้ว่าถูกยัดเยียดให้ดูแนวเกย์แต่อย่างใด

สิ่งที่เรื่องนี้ทำได้ดีสุดคือเสน่ห์เหลือล้นของตัวละคร กับการถ่ายทอดเรื่องราวความรู้สึกของการตกหลุมรักป๊อบปี้เลิฟในแต่ละคู่ ที่ทุกคนเริ่มจากมิตรภาพแบบเพื่อน ก่อนพัฒนาไปสู่ความรักในแบบที่เป็นธรรมชาติของวัยรุ่นเอง ซึ่งความใสของตัวเอกชาร์ลีที่เป็นเกย์แบบปิดเผยแสนดีกับคนที่เขารู้สึกรัก ถูกแสดงออกด้วยภาษากาย ความคิด การกระทำที่ไม่ล่วงล้ำมิตรภาพของความเป็นกับนิค จนทำให้นิคเองกลับหวั่นไหวในตัวตนความดีของชาร์ลี ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นการเปลี่ยนผ่านตัวตนของนิค (Coming of Age) จากหนุ่มนักกีฬาชายที่เริ่มสับสนในตัวเอง และก็พยายามค้นหาคำตอบว่าเขาเป็นเกย์หรืออะไรกันแน่ ซึ่งเรื่องราวถูกถ่ายทอดออกมาแบบค่อยเป็นค่อยไปผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีชาร์ลีมาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเขามากขึ้นเรื่อยๆ และก็ไม่เคยรุกล้ำเร่งเร้าความรู้สึกอะไรกับนิคเลย

นอกจากในมุมของนิคที่เป็นพระเอกของเรื่องนี้แล้ว ตัวนางหรือนายเอกแสนดีชาร์ลีก็มีมุมเรื่องราวที่แอบกดดันลึกๆ ในใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งปมจากคนรักเก่าที่อยู่ในโรงเรียนด้วยกัน ความรู้สึกผิดที่ตัวตนเกย์ทำให้คนที่เขารักอาจจะต้องอึดอัดและเสียสังคมเพื่อนกับความเป็นตัวเองไปจากการที่มาสนิทสนมกับเกย์ ซึ่งตัวเรื่องถ่ายทอดปมความรู้สึกเหล่านี้ออกมาได้อย่างกินใจ ให้ผู้ชมได้รับรู้เข้าใจปมเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งนอกจากผู้ชมจะเห็นใจแล้วก็จะรู้สึกชื่นชมในตัวละครเกย์แบบชาร์ลีมาก ซึ่งเชื่อว่าเกย์ส่วนใหญ่ก็น่าจะมีปมความรู้สึกนึกคิดแบบในเรื่องนี้ แต่ไม่เคยมีเรื่องไหนพยายามถ่ายทอดออกมาละเมียดละไมแบบเรื่องนี้ (จากประสบการณ์ที่ดูหนังเกย์มาพอสมควร) เพราะมักจะข้ามไปให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมากกว่าปมด้อยตัวตนความเป็นเกย์ที่ส่งผลต่อคนที่เขารัก

ในขณะที่คู่อื่นๆ แม้เป็นคู่รองแต่เรื่องราวก็น่าติดตามไม่แพ้กัน ซีรีส์เรื่องนี้พาผู้ชมไปสำรวจความหลากหลายทางเพศของวัยรุ่นในปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ โดยเรื่องแอบซับซ้อนนิดๆ เมื่อวัยเด็กของนิคชอบสาวน้อยผิวดำคนหนึ่ง มีจูบแรกด้วยกัน แต่เธอเติบโตมาเป็นเลสเบี้ยนในภายหลัง ซึ่งเรื่องราวถูกนำมาเกี่ยวกับนิคในแง่ของความรู้สึกปัจจุบันว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ในเมื่อเริ่มชอบชาร์ลีก็จริง แต่อดีตก็ชอบเธอจริงๆ หรือเขาจะเป็นไบเซ็กชวล ซึ่งสาวน้อยคนนี้ก็จะกลายมาเป็นคนให้คำปรึกษาเรื่องราวการรู้สึกถึงตัวตนกับการเปิดเผยตัวต่อสังคม ที่ส่งผลกระทบหลายอย่างกลับมาหาเธอเช่นกัน ตัวเรื่องนำเสนอความรู้สึกนึกคิดของเลสเบี้ยนวัยรุ่นได้ดีพอๆ กับเรื่องราวเกย์ของชาร์ลีกับนิค และทั้งสองคู่นี้ก็ยังสอดประสานเรื่องราวไปด้วยกันได้อย่างดี

นอกจากนี้แล้วในมุมของมิตรภาพระหว่างเพื่อนในแก๊งค์ของชาร์ลีเองที่มีกัน 4 คนก็ถูกนำเสนอออกมาแบบให้ความสำคัญกับเรื่องราวหลักมาก โดยเฉพาะ เทา (รับบทโดย William Gao) ที่เป็นกระเทยสาวจ๋านิสัยแรงๆ (ไม่แน่ใจว่าผู้เขียนใช้คำผิดไหมเพราะในเรื่องก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเพศไหนตรงๆ) ที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพระหว่างเพื่อนมากที่สุด คาดหวังไม่ให้ชาร์ลีต้องเจ็บปวดกับการไปรักนิค แต่ตัวเทาเองกลับได้รับผลกระทบจากความหวังดีแบบเกินไป จนกลายมาเป็นปมดราม่าระหว่างเพื่อนที่ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครมาคบเท่าไหร่ เพราะเป็นตัวแปลกแยกถูกกลั่นแกล้งบูลลี่ในโรงเรียนอยู่แล้ว

นอกจากนี้แล้วเทายังมีบทที่ถูก แอลล์ (รับบทโดย Yasmin Finney) เพื่อนสาวผิวดำในแก๊งค์แอบชอบและปิดบังความรู้สึกมาตลอด ซึ่งกลายเป็นความรักแบบซ่อนเร้นยากกว่าทั้งเกย์กับเลสเบียนไปอีก ที่ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะไปจบที่ตรงไหนยังไง เพราะแอลล์ให้ความสำคัญกับมิตรภาพมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งบทของเทากับแอลล์นี่เป็นอะไรที่ชวนลุ้นเอามากๆ เผลอๆ มากกว่าคู่รักของเรื่องอีก

นอกจากนี้งานถ่ายทำโปรดักชั่นองค์ประกอบต่างๆ ของเรื่องนี้ก็ดูเฟี้ยวฟ้าวทันสมัยมาก ที่ถูกนำมาใช้บ่อยๆ คือการใช้พวกตัวลายเส้นการ์ตูนประกอบเรื่องแทนความรู้สึกของตัวละครในขณะนั้น ไม่ก็เป็นฟิลเตอร์แบ้วๆ ใส่มาเพิ่มอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครให้ดูน่ารักมากขึ้นเป็นกอง มุมมองโทนสีของภาพในเรื่องก็ละมุนกลมกล่อม ให้ความรู้สึกดีตลอดเรื่อง แม้เรื่องจะมีดราม่าเศร้าเข้ามาก็จริง แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความหนักให้ดูเครียดเลย จากองค์ประกอบที่ใส่มาทำให้เรื่องดูซอฟท์ลงมาก

จุดด้อยของเรื่องนี้ก็มี แต่ที่จริงมันก็ไม่เชิงว่าเป็นจุดด้อย ก็คือความเบาของเรื่องราว มีอุปสรรคดราม่าความรัก มีการบูลลี่กลั่นแกล้งในโรงเรียน ปัญหาของโรงเรียนชายล้วน หญิงล้วน แต่เรื่องก็ผ่านไปได้แบบเบาๆ ไปหมด ซึ่งอันที่จริงมันก็เป็นการนำเสนอแบบโลกสวยสดใสตามโจทย์ของผู้เขียนดั้งเดิมที่ตั้งใจเจาะกลุ่มผู้อ่านแนวนี้โดยเฉพาะ ไม่มีใครอยากได้เรื่องดราม่าเกย์เศร้าๆ หนักๆ เพราะชีวิตจริงก็มีแบบนั้นตลอดอยู่แล้ว สำหรับผู้ชมนอกกลุ่มมาดูก็อาจจะรู้สึกว่าเรื่องมันเบาง่ายๆ ไปหน่อย แต่ก็คงไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าในความเบาๆ นั้นเรื่องราวก็ออกมาสนุกและสะท้อนความจริงในแบบที่เป็นอยู่เช่นกัน แค่ซีรีส์ไม่ได้เลือกเน้นเอาดราม่าหนักๆ มาขายเท่านั้น (แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มี)

บอกเลยว่านี่เป็นซีรีส์น้ำดีแบบม้ามืดมากๆ ของเน็ตฟลิกซ์ในช่วงหลัง เชื่อเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นซีรีส์ที่ปากต่อปากไปเรื่อยๆ คือห้ามพลาดโดยเด็ดขาด แม้ว่าคุณจะคิดแล้วว่าไม่ใช่กลุ่มผู้ชมแนวนี้ก็อยากให้ลองทดสอบเปิดดูก่อนค่อยตัดสินใจอีกครั้งก็ได้ครับ

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!