playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว He’s All That (Netflix) ความพยายามดึงมนต์เสน่ห์เก่าๆ มาทำใหม่แต่กลับไม่ได้ดีเลย

He's All That

สรุป

หนังหยิบจับของเก่ามาแปลงใหม่ได้ดีแค่ช่วงแรก เคมีพระเอกนางเอกดูมีเสน่ห์เข้ากันได้ มีความพยายามใส่ประเด็นใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มหลายอย่าง แต่กลายเป็นไม่จริงจังเลยสักอย่าง บทอ่อนยวบรวบรัดจบทุกอย่างจนดูปลอมๆ ตัวร้ายทื่อๆ ไร้มิติจนดูโง่ และยิ่งความพยายามนำเอาเพลง Kiss Me มาใช้ใหม่ กลับใส่ไม่ถูกจังหวะจนกลายเป็นไร้มนต์เสน่ห์เมื่อเทียบกับจังหวะในเวอร์ชั่นก่อน เป็นหนังที่ดูเหมือนอยากดึงเอามนต์เสน่ห์เก่าๆ กลับมา แต่กลับได้ผลตรงกันข้ามทำลายความรู้สึกแฟนๆ รุ่นเก่าแทน แต่สำหรับผู้ชมที่ไม่ได้ดูเวอร์ชั่นก่อนก็อาจจะชิลๆ ไปกับเรื่องได้ง่ายกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่ก็ยังไม่ใช่หนังที่ดีอะไรนักเมื่อเทียบกับหนังรักวัยรุ่นชื่อดังเรื่องอื่นที่มีดีกว่ามากมายในประเด็นเดียวกันอีกด้วยครับ

Overall
5.5/10
5.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • พล็อตกลับด้าน She’s All That  ช่วงแรกมีอะไรน่าสนใจให้เล่นเยอะ
  • พระเอกนางเอกมีเคมีที่ดูเข้ากันได้ดี
  • มีฉากตลกขำๆ ไปกับเรื่องได้เรื่อยๆ
  • พระเอกดูหล่อป็อบมีเสน่ห์จริง
  • มีพากษ์ไทย

Cons

  • เรื่องรวบรัดจบทุกอย่างแบบง่ายๆ จนดูปลอม
  • ใส่ประเด็นเสริมมาหลายอย่าง แต่ทำแบบผ่านๆ ไม่ถึงสักอย่าง
  • เพลง KIss Me ใช้ผิดจังหวะจนไม่ช่วยส่งอารมณ์ให้หนังเลย
  • ตัวร้ายทื่อๆ โง่ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
  • เอาดาราเก่ากลับมาเล่นในเรื่องแบบผ่านๆ
  • ฉากงานพรอมที่มาพร้อมกับแข่งดวลแดนซ์แบบไม่เข้ากับเรื่องเลย

He’s All That ภารกิจปั้นหนุ่มในฝัน หนังรักวัยรุ่นไฮสคูลที่นำเค้าโครงเรื่องเดิมจากผลงานวัยรุ่นสุดคลาสสิกปี 1999  “She’s All That” มานำเสนอในรูปแบบใหม่ลง Netflix กลับด้านจากหญิงเป็นชาย เมื่ออินฟลูเอนเซอร์สาวตอบรับคำท้าในการพลิกโฉมหนุ่มสุดเห่ยประจำโรงเรียน ให้เป็นดาวงานพรอมให้ได้

 He's All That (2021) on IMDb

ตัวอย่าง He’s All That ภารกิจปั้นหนุ่มในฝัน

หนังวัยรุ่นตำนานคลาสสิคที่โด่งดังพร้อมเพลง Kiss Me ของวง sixpence none the richer มาจนปัจจุบันเพลงนี้ก็ยังเปิดฟังกันทั่วไปเรื่อยๆ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ก็มาพร้อมเครดิตผู้เขียนบทคนเดิม R. Lee Fleming Jr. แต่เปลี่ยนผู้กำกับเป็น Mark Waters ที่มีเครดิตดีหลายเรื่องอยู่ในตัว แต่ที่เรื่องนี้เอาชื่อเขามาโปรโมทคือหนังวัยรุ่นตัวแม่สุดคลาสสิคเช่นกันอย่าง Mean Girls (ปี 2004) ที่ดังระเบิดขนาดที่โอบาม่าก็ยังเอามาพูดถึงว่าต้องดู ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นสาววัยรุ่นที่ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองขนานใหญ่เพื่อเข้ากับสังคมไฮสคูลที่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในหมู่ผู้หญิงกันสุดๆ  (ใครที่ยังไม่เคยดูสามารถดูได้ทาง HBO แบบถูกลิขสิทธิ์ ตามลิ้งตรงนี้คลิ๊ก) พอมากำกับเรื่องนี้ก็เลยดูเหมาะเจาะมาก เพราะถึงแม้นี่จะเป็นเวอร์ชั่นผู้ชาย แต่ก็คือการเล่าเรื่องจากผู้หญิงที่มีสังคมไฮสคูลแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันทุกเวลา ซึ่งไฮไลท์สูงสุดอันเป็นรางวัลเกียรติยศคือราชินีงานพรอมเคียงคู่กับผู้ชายที่ต้องเป็นสุดป็อบในโรงเรียนเช่นกัน ซึ่งแม้พล็อตเรื่องอาจจะไม่ใหม่ แต่ดีกรีหนังในตำนานที่กลับมาพร้อมทีมงานชื่อชั้นขนาดนี้ คนดูย่อมต้องคาดหวังว่าจะสามารถนำมนต์ขลังใน She’s All That มาสู่ยุคนี้ได้พอตัว

โครงเรื่องราวยังเป็นเช่นเดิม แต่มีการอัพเดทเทคโนโลยีให้ร่วมสมัยขึ้น สำหรับคนไม่เคยดูก็เ]jkคร่าวๆ ว่าภาคนี้นางเอก Padgett Sawyer (รับบทโดย Addison Rae เล่นหนังใหญ่เรื่องแรกด้วย) เธอเป็นคนดังในโลกออนไลน์ ที่พลาดหลุดเหวี่ยงใส่แฟนตอนถ่ายทอดสดหลังเจอแฟนนอกใจ ด้วยความนิยมที่ตกต่ำลง สปอนเซอร์ก็ถอนตัว เธอจึงหาทางกลับมาด้วยการรับคำท้าเพื่อนในแก๊งว่าให้ปั๊มหนุ่มหล่อขึ้นมาใหม่ให้เป็นราชางานพรอมพร้อมกับเธอให้ได้ โดยเลือกหนุ่มสุดเห่ยในโรงเรียนอย่าง Cameron Kweller (รับบทโดย Tanner Buchanan) ให้มารับบทนี้โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นของเดิมพันกัน แต่กลายเป็นว่าเขาเปล่งประกายมีเสน่ห์ขึ้นมาเกินคาด จนทำให้เธอหวั่นไหวชอบเขาขึ้นมาจริงๆ

ในฐานะที่ตัวผู้เขียนเองก็เป็นแฟนเรื่องนี้ขนาดหนักเช่นกัน (ดูจบในโรงออกมาไปซื้อแผ่นเพลง Kiss me กลับบ้านเลย) เข้าใจว่าแฟนรุ่นเก่าก็คงรับได้ที่พล็อตมันยังเชยๆ อยู่เช่นเดิม แต่กับคนรุ่นใหม่พล็อตแบบนี้คงยิ่งกว่าเชย แถมเกร่อสุดๆ ตรงนี้ขอข้ามไปรีวิวในฐานะแฟนรุ่นเก่ากับเรื่องนี้มากกว่านะครับ ที่แฟนรุ่นเก่าต้องการคือการนำความคลาสสิคมาดัดแปลงให้ดูสดใหม่ทันสมัย ซึ่งไอเดียการกลับด้านตัวเอกทั้งคู่ก็ถือว่าใช้ได้เลย ทำให้เห็นว่าพอมีอะไรที่จะสดใหม่ได้แน่ๆ ซึ่งตัวหนังในช่วงแรกจนถึงกลางเรื่องไปถือว่าสนุก ชวนอมยิ้มกับการกลับคาแรกเตอร์ ทำให้คนดูได้เห็นมุมของสาววัยรุ่นที่หมกหมุ่นอยู่กับความสวยทรงเสน่ห์เพื่อหาผู้ติดตามมาเพิ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายพระเอกกลับตรงข้ามกันเป็นพวกติสแตกกับสังคมโลกใบนี้ ไม่อยากให้ใครรับรู้เรื่องราวของตัวเขา แถมยังแอนตี้ระบบสังคมในปัจจุบันแทบจะทั้งหมด พระเอกไม่ได้สนใจเรียนหรือเข้ามหาวิทยาลัย อยากใช้ชีวิตอิสระท่องเที่ยวถ่ายรูปที่เก็บไว้ดูเป็นส่วนตัว ซึ่งตัวนางเอกพอมาคลุกคลีกับพระเอกในช่วงเห่ย เคมีที่คาดหวังไว้ก็ถือว่าได้ แม้ในตอนแรกอาจจะดูไม่อินกับหน้าตานางเอกสักเท่าไหร่ แต่ฉากแรกที่ทั้งคู่หัวเราะกันหลังเปื้อนขี้ม้า ผมถือว่าผ่านเลยกับเคมีที่ต้องเข้ากันได้ เรียกว่าแฟน She’s All That แอบใจชื้นขึ้นมาเลยว่าหนังน่าจะดีพอตัวไม่แพ้กัน เพราะคู่เดิม เฟรดดี พรินซ์ จูเนียร์ กับ เรเชล ลีห์ คุ๊กคือเคมีเข้ากันมากจริงๆ ซึ่งตัวเรเชลเองก็กลับมารับบทแม่ของนางเอกในเรื่องนี้ด้วย แต่ได้บทเพียงน้อยนิดเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้มีฉากสำคัญอะไรกับเรื่องเลย จนแอบน่าเสียดายหน่อยๆ ที่เอาเธอกลับมาเล่นแค่นี้ (ส่วนเฟรดดีพริ้นเลิกเป็นนักแสดงไปนานแล้ว)

ซึ่งพอเคมีของตัวเอกเข้ากันได้แบบนี้ หนังก็เดินหน้าไปด้วยการเดินตามสูตรเดิม แต่แอบหยอดเพิ่มประเด็นเข้ามาหลายอย่างแบบนิดๆ อย่างปมแม่ของพระเอกที่เสียชีวิตไปจนทำให้ตัวเองเศร้าหมองที่มาของการแอนตี้สังคมในตอนแรก นางเอกเองก็มีพื้นฐานทางบ้านฐานะปานกลาง แต่ทำตัวไฮโซหลอกคนอื่นว่าบ้านรวย เพื่อนของทั้งคู่ก็เป็นเลสเบี้ยนที่แอบมาปิ๊งกัน น้องสาวพระเอกก็ชอบคนมีชื่อเสียง พอเห็นนางเอกเข้าหาพี่ชายของตัวเองก็กลายเป็นอยากเข้ามาในสังคมป็อบนี้เช่นกัน ซึ่งประเด็นเหล่านี้ในเวอร์ชั่นเก่าไม่ได้มีแฝงไว้นัก เรียกว่าตัวเรื่องตรงแหน่วโฟกัสที่เรื่องรักของทั้งคู่มากกว่า แต่มาเวอร์ชั่นนี้การใส่ประเด็นเสริมพวกนี้มาก็เข้าใจได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยทำให้เรื่องดูทันสมัยขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่ไม่ดีคือตัวเรื่องหลังนี้กลับไม่นำเอาประเด็นเหล่านี้ไปใช้จริงจัง แถมยังรวบรัดทุกอย่างให้ผ่านไปอย่างง่ายๆ จนทำให้คนดูรู้สึกได้เลยว่าหลังจากการแปลงโฉมพระเอกเห่ยไปหล่อ ตัวบทดูเหมือนหมดมุกพยายามรวบรัดเรื่องอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่พระเอกที่อยู่ๆ ก็จะจูบนางเอกก่อนหลายครั้งทั้งๆ ที่ภาพลักษณ์เดิมคือคนเห่ยๆ แถมยังทำให้พระเอกดูเป็นคนเก่งขึ้นมาทันทีหลายอย่างจนเกินไป ดูเหมือนไม่ต้องแปลงโฉมเลยก็ได้ถ้าจะเก่งขนาดนี้ ต่างกับเวอร์ชั่นก่อนที่แม้นางเอกจะมีดีในตัว แต่ก็ยังไม่พลิกกันปุ๊บปั๊บขนาดนี้ จนทำให้ประเด็นก่อนหลังแปลงโฉมเหลือแค่ทรงผมหน้าตาที่ต่างกันเท่านั้น

หรือการที่นางเอกคิดได้ขึ้นมาทันทีว่าที่ผ่านมาตัวเองไม่ได้ขายความจริงใจให้กับแฟนๆ ผู้ติดตาม ซึ่งตัวเรื่องอยู่ๆ ก็ให้นางเอกคิดได้ตาสว่างกับทุกอย่างขึ้นมาง่ายๆ จนไม่ทำให้เชื่อได้ลงสักเท่าไหร่ ซึ่งบทช่วงท้ายพยายามรวบรัดตัดตอนให้ทุกอย่างไปสู่บทสรุปแบบแทบไม่ต้องมีการดิ้นรนพยายามอะไรเลย ซึ่งถึงแม้เป็นหนังรักวัยรุ่นก็ตามก็ควรต้องมีอะไรมากกว่านี้ อย่าง Mean Girls ของผู้กำกับคนนี้ก็เล่นประเด็นเดียวกันกลับทำได้ดีกว่าทั้งการกลับใจที่ดูจริงกับบทสรุปสอนคนดูในตอนท้ายได้อย่างน่าสนใจ แต่กลับเรื่องนี้คือดูปลอมง่ายๆ ไปหมด จนถึงขนาดฉากแนวพระเอกขี่ม้าขาวมาในตอนจบที่ดูขายฝันน้ำเน่าจนดูปลอมมาก

อีกจุดที่แย่คือตัวละครร้ายๆ ในเรื่องที่แบนไร้มิติแบบทื่อๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่ใช่แค่ทื่อ แต่ทำออกมาดูโง่ ไม่มีความรู้สึกว่าตัวละครอย่างแฟนเก่านางเอกเป็นคนเด่นดังป็อบได้ยังไง ทั้งๆ ที่แพ้พระเอกไปขนาดนั้น นางอิจฉาตัวร้ายก็ร้ายแบบตื้นๆ พร้อมกับบทสรุปจบฉีกหน้านางให้แตกแบบไม่ได้มีสาระอะไรกับเรื่องสักเท่าไหร่เลย ต่างกับเวอร์ชั่นเก่าที่ตัวร้ายก็ยังพยายามแย่งนางเอกมาจากพระเอก แต่ในเวอร์ชั่นนี้เป็นแนวตัวใครตัวมันแข่งชิงดีเด่นเฉยๆ ซึ่งตื้นเขินเอามากๆ แม้หนังวัยรุ่นแนวนี้มันจะตื้นโดยปกติอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่จะทำให้ลึกไม่ได้ ดูอย่าง Mean Girls ของผู้กำกับคนนี้ที่ทุกตัวละครมีมิติมากกว่าที่เห็นกันหมด จนทำให้ทีมนักแสดงในเรื่องนี้แจ้งเกิดกันทุกคน

นอกจากนี้เสน่ห์ของเพลงอย่าง KIss Me ที่น่าจะใส่มาส่งเสริมเรื่องได้แบบเวอร์ชั่นก่อน กลับถูกนำมาใช้ไม่ถูกจังหวะของเรื่องเลย ซึ่งเวอร์ชั่นก่อนจังหวะที่เพลงนี้ขึ้นคือช่วงที่นางเอกแปลงโฉมใส่เดรสแดงเดินลงบันไดมาให้ทุกคนตะลึง แต่เรื่องนี้กลับไร้เพลงประกอบใดๆ จนตอนจบเอาเพลง Kiss Me มาเป็นเพลงเต้นในงานพรอมส่งท้ายแค่นั้น ซึ่งนอกจากจะไม่เข้าท่าแล้ว ยังกลายเป็นการทำลายความรู้สึกเพลงหวานๆ คู่กับอารมณ์โรแมนติกไปในทันที กลายเป็นฉากแดนซ์ของแต่ละคนกับเพลงนี้อย่างไม่เข้ากันเลยจริงๆ และในช่วงงานพรอมก็ยังพยายามใส่ฉากแข่งทีมดวลแดนซ์เข้ามา ซึ่งก็ไม่ได้ดูสนุกอะไร แถมจบแล้วก็จบเลยไม่มีอะไรต่อ จนดูเหมือนผู้กำกับแค่อยากหาอะไรมาอุดๆ ในงานพรอมไฮไลท์ที่ไร้สีสันของเรื่องนี้มาก มีแค่การพยายามเอานักแสดงจากเวอร์ชั่นก่อนอย่าง Matthew Lillard มาเป็นครูในงานพรอมเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรกับเรื่องเลยเพราะโผล่มาแค่ตอนจบ พอๆ กับ เรเชล ลีห์ คุ๊ก ที่มีก็เหมือนไม่มีในเรื่องนี้เช่นกัน

RACHAEL LEIGH COOK ในบทแม่ที่แทบไม่มีบทบาทอะไรกับเรื่องเลย

ทั้งหมดนี้ก็ต้องบอกไม่ใช่อคติติดเทียบกับเวอร์ชั่นก่อน แต่เวอร์ชั่นนี้หลายอย่างในช่วงหลังทั้งขาดเสน่ห์และไม่โอเคจริงๆ เสียดายที่นักแสดงอุตส่าห์มีเคมีที่ดูเข้ากันได้แล้ว แต่บทกับอะไรหลายๆ อย่างมันกลับลดทอนทำให้เรื่องราวดูอ่อนลงไปจนกลายเป็นหนังวัยรุ่นธรรมดาเรื่องนึงไปเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดูเวอร์ชั่นก่อนเลยก็อาจจะชอบได้มากกว่า เพราะไม่มีภาพจำเปรียบเทียบขึ้นมาในหัวขณะดู แต่ยังไงนี่ก็ไม่ใช่หนังรักวัยรุ่นที่ดีอะไรมาก เรียกว่าแค่ดูได้ผ่านๆ แล้วก็จบทิ้งจากความทรงจำไปได้เลย ไม่เหมือนกับ She’s All That ที่แม้จะเก่าเชยๆ แต่ก็มีเสน่ห์กับบทจังหวะต่างๆ ลงตัวให้จดจำมาตลอดได้จนทุกวันนี้ครับ

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!